เช้าตรู่ของวันต่อมาจี้เฟิงตื่นแต่เช้าตามความเคยชิน เมื่อเขามาถึงสนามหลังบ้าน เขาก็เห็นผู้อาวุโสเฒ่ากำลังออกกำลังกายเบาๆอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เถี่ยจุนองครักษ์คนสนิทจับตาดูทุกฝีก้าวอยู่ข้างๆ อย่างไม่ละสายตา ราวกับกลัวว่าหากเขากะพริบตานานเกินไปเขาจะพลาดอะไรไป
จี้เฟิงอดยิ้มไม่ได้เขารีบวิ่งไปยืนดูปู่ของเขากายบริหารอยู่ไม่ไกล
เจ้าลิงน้อยเจ้าไม่ต้องฝึกหรอกหรือ ผู้อาวุโสเฒ่ารู้ว่าจี้เฟิงเป็นผู้มีวิชากังฟูและยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า การฝึกแบบนี้สำหรับผมแล้วมันไม่ค่อยได้ช่วยอะไรผมเท่าไหร่เลยน่ะครับคุณปู่
หืม ผู้อาวุโสเฒ่าหัวเราะเบาๆ และมีท่าทีสนอกสนใจ ดี! เจ้าลิงน้อย งั้นเจ้าก็แสดงให้ปู่ของเจ้าดูหน่อยสิว่ากังฟูของเจ้านั้นแข็งแกร่งขนาดไหน!
เมื่อได้เห็นหลานชายของเขาเติบโตขึ้นมาได้เป็นอย่างดีผู้อาวุโสเฒ่าก็มีความสุขมาก โดยเฉพาะหลานชายที่มีความสามารถพิเศษอย่างเช่นกังฟู!
แสดงกังฟู
ทางด้านจี้เฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะเกาหัวเรื่องนี้มันทำให้เขาลำบากใจไม่น้อย เพราะทักษะที่เขามีเกือบทั้งหมดนั้นเป็นทักษะการลอบสังหาร ถ้าไม่อาศัยโอกาสเหมาะๆหรือการวางแผนไว้ก่อนก็คงเป็นเรื่องยากที่จะให้เขาแสดงความแข็งแกร่งออกมาโดยทันที
เจ้าลิงน้อยเจ้าต้องการคู่ซ้อมหรือเปล่าล่ะ ผู้อาวุโสเฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม เถี่ยจุนมาตรงนี้!
ครับ!ท่านหัวหน้า! เถี่ยจุนตอบรับทันทีอย่างเช่นทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาได้อธิบายเพิ่มเติมว่า รายงานท่านหัวหน้า ด้วยความสามารถของผม ผมเกรงว่านายน้อยซาน(หมายถึงจี้เฟิง) จะไม่สามารถใช้พลังทั้งหมดของเขาได้
อืม..ก็จริง! ก่อนหน้านี้เถี่ยจุนเคยกล่าวไว้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่คู่ซ้อมของจี้เฟิง เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นห่างกันมาก มากเกินกว่าที่จี้เฟิงจะทันได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาได้
จี้เฟิงมองไปรอบๆในที่สุดสายตาเขาก็ไปพบเข้ากับเป้าหมายหนึ่งที่น่าเหมาะสมที่สุดในเวลานี้ มันเป็นโต๊ะหินตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ในลานบ้าน
เขารีบก้าวเท้าตรงไปทางตรงหินอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นการกระทำของจี้เฟิงผู้อาวุโสเฒ่าและเถี่ยจุนก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที พวกเขารู้ได้ทันทีว่าจี้เฟิงต้องการจะทำอะไรบางอย่างกับโต๊ะหินนี้
ฟู่~!
จี้เฟิงมาถึงโต๊ะหินเขาหยุดมองครู่หนึ่งจากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเขา
ฮึ้บ—!!
ขาขวาของจี้เฟิงยกขึ้นสูงมันสูงจนเลยศีรษะของเขาไป
ฟึ่บ—! ขาขวาของจี้เฟิงเหวี่ยงลงมาอย่างแรงและรวดเร็ว
ตู้ม—! โต๊ะหินอ่อนที่มีความหนามากกว่า 10 เซนติเมตรถูกจี้เฟิงใช้เท้าฟาดลงมาจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับว่ามันไม่ใช่โต๊ะหินอ่อนแต่เป็นเพียงแผ่นไม้บางๆ!
โอ้! ผู้อาวุโสเฒ่าถึงกับอุทานและมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย!
แต่แววตาของเถี่ยจุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาหันไปมองจี้เฟิงด้วยความประหลาดใจ พลังของคนคนนี้… น่ากลัวมาก!
โต๊ะหินอ่อนพังลงภายในพริบตาด้วยขาของจี้เฟิงที่ฟาดลงมาเพียงครั้งเดียวแต่ท่าทีของจี้เฟิงตอนนี้ดูสงบนิ่งและไม่มีอาการเหนื่อยหอบแต่อย่างใดเลย พูดอีกอย่างก็คือเขาไม่ได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ หรืออาจจะใช้ไม่ถึง 10% เลยด้วยซ้ำ
พูดถึงการทำลายโต๊ะหินอ่อนให้เป็นสองส่วนเถี่ยจุนก็ทำได้เช่นกัน แต่ในกรณีอย่างจี้เฟิงที่เขาแทบจะไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยกขาขึ้นและฟาดลงอย่างแรงจนโต๊ะหินอ่อนหักแบบนี้… เถี่ยจุนลองถามตัวเองว่าเขาจะทำได้มั้ย แน่นอนว่าคำตอบคือเขาไม่สามารถทำมันได้อย่างง่ายดายแบบนี้!
เถี่ยจุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นเกรงในความแข็งแกร่งของจี้เฟิงต้องขอบอกเลยว่า เถี่ยจุนนั้นได้เรียนรู้กังฟูจากพ่อของเขาอย่างหนักมาเป็นเวลามากกว่าสิบปี แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำได้แบบนี้
ดังนั้นถ้าจี้เฟิงใช้พลังอย่างเต็มที่เขาจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ที่ชกเขาเพียงหมัดเดียวในวันนั้นถึงทำให้เขารู้สึกอันตรายมาก ตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็พอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเกินไป
หึหึ!เจ้าลิงน้อย ฝีมือของเจ้าไม่เลวเลย ไม่เลว! ผู้อาวุโสจี้ดูมีความสุขมาก แต่เขาไม่ได้ถามว่าจี้เฟิงไปเรียนรู้วิชากังฟูนี้มาจากไหน
จี้เฟิงยิ้มน้อยๆ คุณปู่ชมเกินไปแล้ว!
เจ้าลิงน้อยยิ่งเจ้าเก่งกังฟูมากเท่าไหร่ หัวใจของเจ้าก็ต้องยิ่งมีเมตตาธรรมมากขึ้นด้วย ไม่อย่างนั้นเจ้าจะลุ่มหลงในพลังอำนาจความแข็งแกร่งของตัวเองจนค่อยๆ ลืมหัวใจของความเป็นมนุษย์ไป เจ้าต้องเรียนรู้กังฟูด้วยสมองและหัวใจ อย่างนั้นเจ้าถึงจะมีคุณสมบัติในการเป็นผู้นำที่ดี เจ้าเข้าใจไหม ผู้อาวุโสเฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้โยกใต้ต้นไม้ใหญ่และพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
จี้เฟิงพยักหน้าทันทีและพูดว่า ผมจะจำสิ่งที่คุณปู่สั่งสอนไว้ให้ขึ้นใจ! อืม!ดี! ดีมาก! แต่ไม่เพียงแค่ต้องจำเท่านั้น เจ้ายังต้องรู้จักเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยตัวเจ้าเองด้วย เพราะมันจะทำให้เจ้าได้เติบโต! ผู้อาวุโสเฒ่ายิ้มและพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาพึงพอใจกับหลานชายคนนี้ของเขามาก แต่ในไม่ช้าผู้อาวุโสเฒ่าก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เจ้าลิงน้อย คืนนี้เจ้าจะไปงานเลี้ยงกับพี่ชายคนรองของเจ้าใช่ไหม
จี้เฟิงพยักหน้าทันที ครับคุณปู่ พี่รองบอกว่าจะไปงานเลี้ยง…
เมื่อจี้เฟิงพูดมาถึงตรงนี้มันทำให้เขาเกือบจะหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าพี่รองของเขา
สาวน้อยตระกูลเซียงไม่เลวเลย! แม้ว่าพี่รองของเจ้าจะเถลไถลไปบ้าง แต่ก็ถือว่ายังมีความดีอยู่ อย่างน้อยเจ้าเด็กนั่นก็ไม่ปฏิบัติต่อสาวน้อยคนนั้นอย่างไม่เป็นธรรม ผู้อาวุโสเฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
จี้เฟิงคาดเดาความหมายในคำพูดของผู้อาวุโสเฒ่าหรือคุณปู่อยากให้เราช่วยพี่รองให้คว้าตัวผู้หญิงตระกูลเซียงมาให้ได้…
ไม่สิ!
จี้เฟิงส่ายหัวแล้วยิ้มคุณปู่บอกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เลว นั่นก็อาจจะหมายความว่าคุณปู่เองก็ไม่คัดค้านที่พี่รองจะให้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นหลานสะใภ้รองในอนาคตของคุณปู่!
แต่ถ้าอีกฝ่ายเขาไม่ชอบจริงๆเจ้าก็อย่าไปฝืนใจหรือทำอะไรบุ่มบ่ามล่ะ เข้าใจไหม ผู้อาวุโสเฒ่ากำชับอีกครั้ง
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างจริงจัง ครับคุณปู่ ผมเข้าใจแล้ว!
เอาล่ะไปกินข้าวเช้ากันก่อนเถอะ! กินเยอะๆ จะได้มีแรงที่จะทำงาน! ผู้อาวุโสเฒ่าหัวเราะเบาๆ
จี้เฟิงเองก็หัวเราะเช่นกันการได้พูดคุยและหัวเราะกับคุณปู่ของเขาในยามเช้าแบบนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกสงบและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย
ผู้อาวุโสจี้ไม่ได้พูดอะไรมากแต่ทุกประโยคของเขาล้วนแฝงไปด้วยความหมายที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริงที่ลึกซึ้ง ประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตของผู้อาวุโสเฒ่าช่างเป็นอะไรที่ควรค่าแก่การศึกษาอย่างจริงจังสำหรับจี้เฟิง
ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตของผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ชายชราธรรมดา แต่ชีวิตของเขาล้วนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่มีข้อมูลเชิงลึกมากมายที่คู่ควรแก่การเรียนรู้ของคนหนุ่มคนสาว
ไม่นานจี้ช่าวเหลยก็เดินเข้ามาแต่คุณปู่ไม่ได้พูดถึงเรื่องงานเลี้ยงเย็นนี้ต่อหน้าเขา และแม้แต่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสเฒ่า แต่จี้ช่าวเหลยก็ทำตัวสบายๆ ตอนกินข้าวยิ่งแล้วใหญ่ เขากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนภาพลักษณ์ เพราะไม่ว่าผู้อาวุโสเฒ่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนสำหรับคนอื่น แต่นี่ก็คือคุณปู่ของเขา
ผู้อาวุโสเฒ่าก็มองไปที่หลานชายของตัวเองด้วยรอยยิ้มเช่นกัน หลังจากพวกเขากินข้าวเช้ากันเสร็จผู้อาวุโสเฒ่าก็ถามจี้ช่าวเหลยว่า เจ้าเด็กเหลือขอ บุหรี่ของข้า ถูกเจ้าเอาไปหมดแล้วใช่ไหม
จี้ช่าวเหลยอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะหึหึ เป็นเพราะผมห่วงใยสุขภาพของคุณปู่นะครับเนี่ย!
เจ้าเด็กเหลือขอ! ผู้อาวุโสเฒ่าก่นด่าพลางหัวเราะ
ท่านผู้อาวุโสหลังจากที่กระผมนำบุหรี่ของท่านไปแล้ว กระผมจะเป็นคนทำลายมันด้วยตัวของกระผมเอง แต่ถ้าท่านผู้อาวุโสต้องการจะสูบ หลานตัวน้อยๆคนนี้คงจะต้องรายงานต่อน้าหงและสอบถามว่าสุขภาพของท่านผู้อาวุโสพอจะสูบมันได้หรือยัง ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร จี้ช่าวเหลยพูดด้วยความอ่อนน้อมแต่ช่างตรงข้ามกับสีหน้าอันยียวนของเขา
ผู้อาวุโสเฒ่าถลึงตาใส่จี้ช่าวเหลยทันที ไอ้เด็กเวร ได้คืบจะเอาศอก มาดูกันว่าตาแก่อย่างข้ายังจะมีแรงใช้ไม้เท้าฟาดเจ้าได้อยู่หรือเปล่า!
จี้ช่าวเหลยหัวเราะเขาลุกขึ้นและรีบวิ่งหนีไป
จี้เฟิงได้แต่หัวเราะอย่างว่างเปล่าเมื่อเห็นการโต้เถียงกันของปู่กับหลานคู่นี้จากนั้นเขาก็กล่าวลาปู่ของเขา และลุกขึ้นเดินออกไปเช่นกัน
น้องสามอย่าลืมปาร์ตี้เย็นนี้นะ เดี๋ยวตอนใกล้ถึงเวลาฉันจะโทรไป! ไม่รู้ว่าจี้ช่าวเหลยไปเอารถบูอิค (BUIKC) มาจากไหน เขาก้าวขึ้นรถไปจากนั้นก็ลดกระจกลงและตะโกนบอกจี้เฟิง เมื่อพูดจบเขาก็เหยียบคันเร่งและจากไปโดยไม่รอคำตอบ
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่นนิสัยของพี่ชายคนที่สองของเขานั้นเป็นคนที่รักอิสระ ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์สักเท่าไหร่ แถมบางครั้งก็ดูจะเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเกินไปด้วยซ้ำ
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งจี้เฟิงก็ตัดสินใจไปหาแม่ของเขา การมาหยานจิงแต่ละครั้งคงไม่ง่ายนัก เขาต้องใช้เวลาอยู่กับแม่ของเขาให้มากที่สุด
แต่พอเขามาถึงบ้านจี้เฟิงก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าที่กลางบ้านกำลังตั้งวงไพ่นกกระจอกกันอยู่ มีเซียวซูเหม่ยแม่ของเขา อาสะใภ้สาม และอาหญิงจี้หยินหงด้วย ส่วนคนสุดท้ายหรือจะเรียกว่าขาสุดท้ายดี นั่นก็คือเสี่ยวอิง ทั้งสี่คนกำลังแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน
แม่…แม่เล่นไพ่นกกระจอกเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ จี้เฟิงถามด้วยความประหลาดใจ เมื่อก่อนแม่ของเขาแทบจะไม่แตะสิ่งบันเทิงใดๆเลย
แม่เพิ่งจะเล่นเป็นได้ไม่นานอาสะใภ้สามของเราเป็นคนสอนแม่! เซียวซูเหม่ยเห็นลูกชายมาก็อดดีใจไม่ได้
จี้เฟิงก็เกิดความสนใจเช่นกันเขายิ้มและพูดว่า ดีเลย งั้นผมจะรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ค่อยช่วยแม่อยู่ข้างๆเอง! แต่ใครจะรู้ว่าแม้จี้เฟิงจะเล่นหมากรุกได้เก่งมากแต่ในด้านการเล่นไพ่นกกระจอกเขานั้นกระจอกยิ่งกว่าชื่อไพ่เสียอีก หลังจากที่เขาช่วยแนะนำแม่ของเขาจนแพ้ติดๆกันไปสองสามตา เขาก็ถูกแม่ไล่ออกไป
เมื่อไม่มีอะไรทำจี้เฟิงจึงมาหมกตัวอยู่ในห้องและโทรศัพท์หาเซียวหยูซวนกับถงเล่ย
เขาไม่ได้เจอแฟนสาวทั้งสองของเขามาเดือนกว่าแล้วและถ้าจะบอกว่าเขาไม่คิดถึงพวกเธอเลยคงจะเป็นเรื่องโกหก จี้เฟิงไม่อยากปิดบังความรู้สึกของตัวเอง เขาคุยโทรศัพท์ไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ เซียวหยูซวนและถงเล่ยต่างผลัดกันคุยกับจี้เฟิง จนกระทั่งโทรศัพท์เริ่มร้อนเขาจึงจำต้องวางสายไป
ทันทีที่จี้เฟิงวางสายเซียวซูเหม่ยและคนอื่นๆก็เดินตามเข้ามา จี้เฟิงตกใจและรีบถามว่า มีเรื่องด่วนอะไรกันรึเปล่าครับ
จี้เฟิงรู้สึกแปลกๆจู่ๆ ทั้งๆสามคนก็เดินเข้ามาในห้องของเขาพร้อมๆกัน หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก เซียวซูเหม่ยถามทันที เสี่ยวเฟิง เรื่องโรงงานผลิตยาที่ลูกซื้อมา มันเป็นมายังไงกันแน่
จี้เฟิงรู้สึกสับสนแต่เขาก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา เขาเพียงแค่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อโรงงานยา แต่สิ่งที่เขาบอกนั้นเป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่งเท่านั้น เขาบอกว่าในทีแรกเหตุผลที่เขาต้องการซื้อโรงงานผลิตยา เป็นเพราะเขาต้องการช่วยเหลือเพื่อนของเซียวฉางเหอเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เขาตั้งใจจะผลิตยาตัวใหม่นั้นเขาไม่ได้บอกออกไป
เซียวซูเหม่ยพูดเสียงเบาเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรไปด้วย เสี่ยวเฟิง แล้วโรงงานของลูกต้องการบุคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการผลิตหรือการวิจัยยาหรือเปล่า
ครับแน่นอนผมต้องการ! จี้เฟิงกล่าวอย่างไม่ลังเล ตราบใดที่ผมมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ ผมก็จะสามารถพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้นได้แต่เนื่องจากผมเองก็เพิ่งจะซื้อโรงงานมา ยังไม่ได้เริ่มธุรกิจในด้านนี้อย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงไม่สามารถดึงดูดคนที่มีความสามารถในด้านนี้ให้มาร่วมงานได้!
เสี่ยวเฟิง…เอาแบบนี้ดีมั้ย ให้อาเขยของเราไปช่วยในเรื่องนี้เถอะ! เซียวซูเหม่ยพูดเข้าประเด็นทันที
อาเขย จี้เฟิงไม่เข้าใจ เขามองไปที่แม่ของเขาและคนอื่นๆ อย่างงงๆ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและกล่าวว่า แม่ พูดมาตรงๆเถอะ ขอแค่แม่บอกมา ผมจะทำตามที่แม่บอกอย่างแน่นอน!
ก็อย่างที่บอกนั่นแหละสามีของอาหง อาหญิงของเจ้า พอดีว่าเขาเป็นวิศวกรรมทางด้านการแพทย์ พวกเขาอยากจะไปเจียงโจวเพื่อพัฒนาธุรกิจในด้านนี้ แต่พวกเขายังไม่พบสถานที่ที่เหมาะสมหรือดีพอ แม่ก็เลยมาถามเรานี่แหละ! เซียวซูเหม่ยอธิบายเพิ่มเติม
จี้เฟิงตกใจเขาคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่แม่ของเขาต้องการจะพูดจะเป็นเรื่องนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะนิ่งเงียบเพื่อคิดไตร่ตรองถ้าให้สามีของอาหงไปที่โรงงาน จริงๆแล้วก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร แต่พูดก็พูดเถอะ โรงงานของเขาตอนนี้เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นยากจนก็ว่าได้ เป็นเพียงธุรกิจขนาดเล็ก อุปกรณ์ก็ไม่ได้มีอะไรมาก ส่วนยาที่พัฒนาขึ้นด้วยตัวเองก็ยังไม่มีเลย
ถ้าสามีของอาหงรู้เรื่องนี้เขายังจะอยากไปอยู่อีกหรือเปล่าล่ะ….