“เฮ้อฉันว่าแค่นี้คงไม่พอที่จะทำให้จี้เฟิงเหงื่อออกได้ซะมั้ง!”
จี้ช่าวเหลยมองไปยังคนสองคนที่อยู่บนสนามที่กำลังยืนอยู่ตรงข้ามกันแล้วก็อดที่จะบ่นพึมพำไม่ได้“น่าสงสารพี่บึ้กคนนี้เหมือนกันแฮะมาท้าจี้เฟิงสู้คนแรกโดยที่ไม่รู้อะไรเลย” เขารู้ดีว่าจูหยงเต๋าผู้ซึ่งเคยติดตามเฉียวเจียไคไปที่เจียงโจวไม่เพียงแต่มีรูปร่างสูงใหญ่แต่ฝีมือการต่อสู้ของเขายังน่ากลัวมากอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาและพี่น้องร่วมสำนักอีกสามสี่คนที่รุมล้อมจี้เฟิงไปพร้อมๆกันก็ยังต้องพบจุดจบของการต่อสู้ที่ไม่สวยนัก พวกเขาถูกจี้เฟิงเตะจนกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง
แม้ว่าชายร่างใหญ่ตรงหน้าจี้เฟิงคนนี้จะดูแข็งแรงมากแต่จี้ช่าวเหลยกลับสัมผัสไม่ได้ถึงแรงกดดันที่ดูเป็นอันตรายเหมือนอย่างตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเฉียวเจียไคและคนอื่นๆเลย
เห็นได้ชัดว่าพี่บึ้กคนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจี้เฟิงอย่างแน่นอน
เมื่อฮุ่ยอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยินจี้ช่าวเหลยบ่นพึมพำเขาก็พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วยเขามองไปที่คู่ต่อสู้ของจี้เฟิงด้วยแววตาเห็นใจ ผู้ชายคนนี้หุนหันพลันแล่นเกินไป แม้ว่าหัวหน้าทีมจะบอกว่าคนที่สามารถเอาชนะจี้เฟิงได้ จะได้เข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ของเขตทหารแห่งชาติในอีกหนึ่งปีให้หลังโดยที่ไม่ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกในปีนี้… ก็ต้องยอมว่าเป็นรางวัลที่ดีจริงๆ!
แต่อย่างไรก็ตามในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ
ฮุ่ยอี้จำได้อย่างชัดเจนว่าหัวหน้าทีมยังไม่ทันได้บอกว่าถ้าพวกเขาพ่ายแพ้จะมีบทลงโทษอย่างไร…รางวัลที่ล่อตาล่อใจขนาดนี้บทลงโทษก็คงจะไม่ใช่อะไรง่ายๆแน่ๆ!
ฮุ่ยอี้นั้นอดสงสัยไม่ได้ว่าต่อให้หัวหน้าทีมได้พูดถึงบทลงโทษจนจบ ทหารเหล่านี้จะยังสนใจอยู่รึเปล่า รางวัลที่ดีเยี่ยมแลกกับการเอาชนะเด็กคนเดียว มันเป็นทางเลือกที่ไม่ยากเลย
แต่ฮุ่ยอี้นั้นรู้ดีว่าถ้าทหารเหล่านี้ไม่ล้อมจี้เฟิงแล้วแสดงฝีมืออย่างจริงจังพวกเขาคงจะไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้เลย
เขายังคงติดตราตรึงใจฝีมือการต่อสู้ที่แปลกประหลาดและน่ากลัวของจี้เฟิงมาก
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ตกว่าในตอนที่เขาจับตาดูจี้เฟิงอยู่ไกลๆจี้เฟิงรู้ตัวและหาเขาพบได้อย่างไร ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือจี้เฟิงมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาเงียบๆโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย…. ซึ่งตอนนั้นเขาอยู่บนต้นไม้!
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของฮุ่ยอี้แต่เพียงไม่นานเขาก็สงบสติอารมณ์และปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเองในการปกป้องหัวหน้าทีม!
ในฐานะองครักษ์แม้ว่าเขาจะอยู่ในค่ายทหาร เขาก็ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง! “อาจารย์ฝึกสอนระวังตัวด้วย!” ฝั่งตรงกันข้ามกับจี้เฟิง ทหารพิเศษร่างใหญ่ค่อยๆ ตั้งท่าการต่อสู้ของเขาและกล่าวเตือนจี้เฟิง
ในสายตาของเขาจี้เฟิงมีรูปร่างที่ผอมและอ่อนแอเกินไป เขากลัวว่าหมัดเพียงแค่หมัดเดียวของเขาจี้เฟิงก็อาจจะไม่สามารถรับเอาไว้ได้
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างระวัง“ฉันจะระวัง!”
ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่จี้เฟิงต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเขาจะรวบรวมสมาธิและตั้งใจทำหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงเพื่อพยายามฆ่าศัตรูให้ได้มากที่สุด แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้เผชิญหน้ากับศัตรู แต่จี้เฟิงก็จะพยายามอย่างเต็มที่ เพราะนี่คือเป็นการแสดงความเคารพต่อฝ่ายตรงข้าม
“ย๊าก!”
ทหารร่างใหญ่ตะโกนเสียงดังทันใดนั้นเขาก็เหมือนนักวิ่งที่ออกตัวหลังจากตั้งท่าสตาร์ท เขาพุ่งทะยานไปทางจี้เฟิงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าชายคนนี้จะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่เขากลับคล่องแคล่วมากไม่ดูเทอะทะเลย
เพียงพริบตาขาข้างหนึ่งของเขาก็มาอยู่ตรงหน้าจี้เฟิงแล้ว เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้กันยิ่งทำให้เห็นถึงความแตกต่างของร่างกาย
ในขณะเดียวกันทุกคนที่กำลังชมการต่อสู้อยู่นั้นต่างคิดในใจว่าถ้าเป็นพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้ พวกเขาจะมีวิธีการรับมืออย่างไร
ขาของทหารร่างใหญ่อยู่ในตำแหน่งที่ดีมากไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป จี้เฟิงไม่สามารถกระโดดข้ามขึ้นไปด้านบนได้ นับประสาอะไรกับการก้มหลบที่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ มีเพียงการตั้งรับหรือเลือกที่จะถอยกลับเท่านั้น
แต่ความเร็วของทหารร่างใหญ่คนนี้รวดเร็วเกินไปจึงทำให้ถอยไปไม่ทัน
เหลือแค่ต้องตั้งรับกระบวนท่านี้เท่านั้น!
แต่ในวินาทีถัดมาทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า จี้เฟิงที่เดิมทีดูผ่อนคลายสบายใจ จู่ๆก็เหมือนคนที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างกะทันหันออร่าบนร่างกายของเขาเปลี่ยนไปราวกับลูกแกะที่กลายร่างเป็นราชสีห์ในพริบตา
ทุกคนรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าเบลอไปครู่หนึ่งจากนั้นพวกเขาก็เห็นจี้เฟิงอยู่ในท่าหกสูงอยู่บนหัวของทหารร่างใหญ่ โดยมีมือข้างหนึ่งจับคอของทหารร่างใหญ่ไว้
จี้เฟิงลดตัวลงและพับข้อศอกของทหารร่างใหญ่ไขว้ไว้ด้านหลังจากนั้นก็เหวี่ยงออกไปอย่างแรง
ฟึ่บ—!
ทหารร่างใหญ่ที่ดูแข็งแรงถูกโยนออกไปในพริบตา
โครม—!
ทหารร่างใหญ่ล้มลงกับพื้นอย่างแรง
ตอนนี้ทุกคนที่กำลังตั้งใจดูฉากการต่อสู้นี้อยู่รู้สึกตื่นตัวอย่างกะทันหันหางตาของพวกเขากระตุกถี่รัว สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและเหลือเชื่อ!
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงกลับลงสู่พื้นอย่างมั่นคงเขาดูสงบนิ่งราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่มีใครพูดหรือส่งเสียงใดๆออกมาห้องโถงอันกว้างใหญ่ที่บรรจุคนจำนวนหลายร้อยคนกลับเงียบกริบ เกรงว่าถ้าไม่มีเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจที่เต้นรัว ที่นี่ก็คงไม่ต่างจากห้องที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่
เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็สามารถเอาชนะผู้ชายตัวใหญ่ล่ำบึ้กได้ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
แม้แต่ครูฝึกหลายคนก็ยังมองหน้ากันไปมาต่อให้เป็นพวกเขา หากต้องเผชิญหน้ากับทหารร่างใหญ่คนคนนี้เพียงลำพัง ก็ไม่มีทางเอาชนะได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมหัวหน้าถึงบอกว่าเขาได้เชิญยอดฝีมือทางด้านการต่อสู้มาถ้าฝีมือระดับนี้ยังไม่เรียกว่ายอดฝีมือก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว!
จี้เจิ้นผิงก็กำลังจับตามองจี้เฟิงทุกความเคลื่อนไหวอยู่เช่นกันพอเห็นว่าจี้เฟิงแสดงพลังออกมาขนาดนี้ ตาของเขาก็กระตุกเองอย่างห้ามไม่ได้ เจ้าหนูนี่น่ากลัวเกินไป
กระบวนท่าที่จี้เฟิงได้ทำมันจบลงเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมาคนที่สายตาไม่ดีพอจะไม่รู้เลยว่าจี้เฟิงทำได้อย่างไร แต่จี้เจิ้นผิงมองออกได้อย่างชัดเจน
เหตุผลที่จี้เฟิงสามารถกระโดดขึ้นไปสูงขนาดนั้นได้ก็เพราะความเร็วของเขาที่พุ่งถึงขีดสุดและอาศัยขาของทหารร่างใหญ่ที่เตะออกมาใช้ปลายเท้าของเขาเหยียบลงขาของทหารร่างใหญ่แล้วดีดตัวขึ้นไป และม้วนตัวลงมาจับข้อศอกพับไปด้านหลังและเหวี่ยงทหารร่างใหญ่ออกไป
รวดเร็ว!แม่นยำ! เด็ดขาด!
จี้เฟิงใช้สามสิ่งนี้จนเกิดประโยชน์สูงสุดหากจี้เฟิงไม่ต้องออมมือโดยการเลือกที่จะเอาชนะทหารร่างใหญ่คนนั้นด้วยการเหวี่ยงเขาออกไป จี้เฟิงที่จับคอของเขาไว้ได้อย่างง่ายดายก็มีไม่รู้ตั้งกี่วิธีที่จะฆ่าอีกฝ่ายได้
หากคนที่จี้เฟิงกำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้อยู่ในฐานะศัตรูก็เกรงว่าคนคนนั้นคงจะถูกฆ่าไปแล้ว
สีหน้าของจี้เจิ้นผิงอยู่ในสายตาของครูฝึกหลายคนพวกเขาเข้าใจทันทีว่าหัวหน้าใหญ่เริ่มที่จะไม่พอใจแล้ว!
ครูฝึกหลายคนกัดฟันและโบกมือจากนั้นพวกเขาก็พากันล้อมรอบจี้เฟิงอย่างพร้อมเพรียงกัน
เหล่าทหารที่อยู่ด้านล่างเกิดความโกลาหลขึ้นทันทีเหล่าครูฝึกคิดที่จะรุมเจ้าเด็กผอมแห้งคนนั้นเนี่ยนะ หรือว่าเด็กนั่นจะเก่งจริงๆ?
ครูฝึกหลายคนรู้ว่าความเร็วของจี้เฟิงนั้นเร็วเกินไปและทางด้านความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่เหวี่ยงผู้ชายตัวโตจนปลิวไปแบบนั้นอย่างง่ายดาย พวกเขาไม่สามารถเอาชนะจี้เฟิงได้หากเป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง
แม้ว่าจะมีบางคนในพวกเขาต้องพบกับความล้มเหลวแต่เหล่าครูฝึกก็ตัดสินใจที่จะใช้ความล้มเหลวของตนเองและคนอื่นๆ เพื่อให้เหล่าเด็กในสังกัดของตนได้เปิดหูเปิดตาและทำให้พวกเขาได้รู้ว่าอะไรคือยอดฝีมือที่แท้จริง
จี้เฟิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบเขามองไปที่ครูฝึกทั้งเจ็ดคนที่ล้อมรอบตัวเขา เขาค่อยๆตั้งท่าเตรียมต่อสู้อย่างช้าๆ
แม้แต่ในการต่อสู้จริงๆนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จี้เฟิงถูกปิดล้อม เขามีประสบการณ์ในด้านนี้อยู่แล้ว
“ย๊ากกก—!”
ครูฝึกทั้งเจ็ดคนกระโจนเข้าใส่พร้อมๆกันพวกเขางัดวิชาที่ภาคภูมิใจที่สุดและทรงพลังที่สุดของตัวเองออกมาและพุ่งเข้าใส่จี้เฟิง
สีหน้าของจี้เฟิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเขาใช้มือข้างหนึ่งปัดหมัดของครูฝึกคนหนึ่งออกไปนอกทิศทาง และในเวลาเดียวกันเขาก็ก้าวไปข้างหน้าใช้ไหล่ของตัวเองกระแทกเข้ากับหน้าอกของครูฝึกคนหนึ่ง ปึ้ก—!
ครูฝึกคนหนึ่งที่ถูกกระแทกกระเด็นออกไปทันทีความเจ็บปวดที่ได้รับโดยไม่ทันตั้งตัวมันรุนแรงราวกับหน้าอกของเขาจะระเบิด แม้ว่าเขาอยากจะลุกขึ้นมาแต่ก็เป็นไปไม่ได้
ปั้ก—!
ขาของครูฝึกอีกคนถูกเตะกวาดก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงกับพื้นก็โดนจี้เฟิงโจมตีเตะซ้ำอีกครั้งจนกระเด็นออกไป
ปึ้ก—!ปั้ก—! ผั้วะ—!! พลั่ก—!!!
.. . . . .
เมื่อเสียงการต่อสู้หยุดลงครูฝึกทั้งเจ็ดคนที่กระเด็นออกไปได้แต่นอนครวญครางเบาๆด้วยความเจ็บปวด ไม่มีใครสามารถลุกขึ้นได้อีก
สีหน้าของทุกคนในที่นี้เปลี่ยนไปทันที
เหล่าทหารต่างมีสีหน้าตกตะลึงพวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง ครูฝึกที่ปกติดุดันเหมือนยักษ์ขี้โมโห ล้วนถูกทุบตีจนกระเด็นออกไปทั้งๆที่เป็นฝ่ายรุมล้อมเขาถึงเจ็ดคน
เหล่าทหารสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่อย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย
เมื่อพวกเขาหันไปมองที่จี้เฟิงอีกครั้งท่าทีของพวกเขาที่มีต่อจี้เฟิงก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ที่แท้เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะอ่อนแอคนนี้ก็เป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้จริงๆ และ… เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่ากลัวมากด้วย!
จี้เจิ้นผิงกลับตากระตุกครูฝึกทหารพวกนั้นเรียกได้ว่าเป็นทหารชั้นยอดของเขา กลับถูกจี้เฟิงทำร้ายจนบาดเจ็บ
เขาถลึงตาใส่จี้เฟิงทันทีแต่จี้เฟิงกลับส่งยิ้มและส่งสายตาที่เหมือนจะบอกว่าสบายใจได้กลับมา
จี้เฟิงเป็นคนรอบคอบความจริงแล้วที่ทหารเหล่านี้ต้องนอนจมอยู่กับความเจ็บปวดโดยที่ไม่สามารถลุกขึ้นได้เป็นอาการเพียงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาเพียงแค่ต้องพักฟื้นประมาณครึ่งชั่วโมงพวกเขาก็สามารถกลับมายืนขึ้นได้อีกครั้ง
หากจะพูดถึงคนที่ได้รับบาดเจ็บก็คงจะมีแต่ทหารร่างใหญ่คนแรกที่ถูกโยนจนกระเด็นออกไปเท่านั้น แต่ก็น่าจะไม่ได้เป็นการบาดเจ็บที่ร้ายแรงจนเกินไป
จี้เจิ้นผิงเข้าใจทันทีว่าจี้เฟิงหมายถึงอะไรเขาหันกลับไปมองครูฝึกทั้งเจ็ดที่นอนอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เย็นชา และจากนั้นก็หันไปมองเหล่าทหารที่มีสีหน้าประหลาดใจ
“ฮึ่ม!มีใครอยากจะท้าประลองกับเขาอีกมั้ย!” จี้เจิ้นผิงถามด้วยสีหน้าเย็นชา
คราวนี้ไม่มีใครพูดอะไรอีก
“ในเมื่อไม่มีใครอยากขึ้นมางั้นเรามาพูดถึงบทลงโทษสำหรับความล้มเหลวกัน!” จี้เจิ้นผิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร
ทันใดนั้นทุกคนก็ตกใจหัวหน้าทีมบอกแค่เรื่องรางวัลเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆถึงมาพูดถึงบทลงโทษได้?
“ตัดสิทธิ์ทุกคนที่จะเข้าร่วมการประลองในกองทัพครั้งนี้!และคนที่ถูกคัดออกจะต้องได้รับการฝึกเพิ่มเป็นสองเท่า! และก่อนที่จะถึงการประลองของเขตทหารแห่งชาติครั้งหน้า ผมจะเชิญผู้เชี่ยวชาญคนนี้มาตรวจสอบผลการฝึกของพวกคุณ หากผลงานของพวกคุณยังคงเหมือนวันนี้ พวกคุณทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการแข่งขันระดับชาติ!” จี้เจิ้นผิงแค่นเสียงแล้วหันหลังกลับเดินจากไปทันที
ทหารทุกคนได้แต่มองหน้ากันไปมาแต่ไม่มีอะไรจะพูดพวกเขาคิดว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งมาก แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ที่แท้จริงนั้นไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลย
จี้เฟิงจี้ช่าวเหลยและฮุ่ยอี้ก็เดินตามจี้เจิ้นผิงออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจของจี้เจิ้นผิง เพราะจี้เจิ้นผิงเป็นผู้นำทหารมาหลายปี จะต้องรู้วิธีฝึกทหารมากกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน
มีเพียงจี้ช่าวเหลยเท่านั้นที่ตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าพูดตามตรง ความแข็งแกร่งของครูฝึกเจ็ดคนนั้นไม่เลวเลย หากเปรียบเทียบในบรรดานักต่อสู้ด้วยกันพวกเขาก็เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้าก็ว่าได้
น่าเสียดายที่คนที่พวกเขาพบในครั้งนี้ดันเป็นจี้เฟิงคงไม่มีอะไรจะเหมาะสมไปกว่าการเรียกว่าพวกเขานั้นโชคร้าย!
แต่ก็ด้วยเหตุนี้เองจึงยิ่งแสดงให้เห็นว่าทักษะการต่อสู้ของจี้เฟิงนั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน นั่นหมายความว่าเป้าหมายของเขาในการที่จะเอาชนะเซียงยี่โหรวจะต้องสำเร็จไปได้ด้วยดีและรวดเร็วที่สุด!
ทั้งสี่คนนั่งรถจี๊ปกลับไปที่อาคารสำนักงานของจี้เจิ้นผิงสีหน้าของจี้เจิ้นผิงกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาพูดกับจี้เฟิงว่า “เสี่ยวเฟิง วิชากังฟูของนายไม่สมควรที่จะเก็บเอาไว้แบบนี้ เอาส่วนหนึ่งที่เหมาะสมกับทหารเหล่านี้มาใช้ฝึกสอนพวกเขา!”
เมื่อเห็นสีหน้าที่งงงวยของจี้เฟิงจี้เจิ้นผิงก็กล่าวว่า “ที่ครั้งนี้ฉันยืมมือนายมาเคาะกะโหลกหนาๆของพวกเด็กๆ ก็เพราะอยากให้พวกเขาได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า จะได้ไม่หลงตัวเองว่าแข็งแกร่งแล้วไม่ต้องขยันฝึกแล้วแถมยังเป็นการปลุกใจพวกเขาด้วย แต่จุดประสงค์หลักก็เพื่อการประลองใหญ่ของเขตทหารแห่งชาติในอีกหนึ่งปีต่อจากนี้ นอกจากนี้เขตทหารอื่นๆก็มีหน่วยรบพิเศษที่แข็งแกร่งมากอยู่เช่นกัน ดังนั้นฉันจะให้เด็กๆของฉันพ่ายแพ้ไม่ได้!”
บทที่ 365 การสอนยิมนาสติกเพื่อสุขภาพ
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติคำขอของอาสามนั้นไม่ได้มากเกินไปเลย ฝีมือของเขาก็ไม่เลว ย่อมสามารถเลือกสิ่งที่เหมาะสมเพื่อช่วยฝึกฝนทหารเหล่านั้นได้
หากเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทักษะการต่อสู้คนอื่นๆก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ประเด็นคือจี้เฟิงแตกต่างจากผู้เชี่ยวชาญทั่วๆไปอย่างสิ้นเชิง!
สิ่งที่เขาได้เรียนรู้แทบไม่มีวิชากังฟูที่ดูปกติในสายตาคนอื่นเลยตลอด 1 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่จี้เฟิงได้เรียนรู้และนำมาใช้เกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้ความช่วยเหลือจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพทั้งสิ้น และยังไม่มีวิชากังฟูที่สมบูรณ์เลย
หากเป็นวิชากังฟูแบบดั้งเดิมของประเทศจีนก็จะมีรูปแบบที่เรียกว่าวิชาหมัดเช่น หมัดหงฉวน หมัดหย่งชุน หรือวิชาอื่นๆที่คนทั่วไป
จี้ช่าวเหลยมองไปยังคนสองคนที่อยู่บนสนามที่กำลังยืนอยู่ตรงข้ามกันแล้วก็อดที่จะบ่นพึมพำไม่ได้“น่าสงสารพี่บึ้กคนนี้เหมือนกันแฮะมาท้าจี้เฟิงสู้คนแรกโดยที่ไม่รู้อะไรเลย” เขารู้ดีว่าจูหยงเต๋าผู้ซึ่งเคยติดตามเฉียวเจียไคไปที่เจียงโจวไม่เพียงแต่มีรูปร่างสูงใหญ่แต่ฝีมือการต่อสู้ของเขายังน่ากลัวมากอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาและพี่น้องร่วมสำนักอีกสามสี่คนที่รุมล้อมจี้เฟิงไปพร้อมๆกันก็ยังต้องพบจุดจบของการต่อสู้ที่ไม่สวยนัก พวกเขาถูกจี้เฟิงเตะจนกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง
แม้ว่าชายร่างใหญ่ตรงหน้าจี้เฟิงคนนี้จะดูแข็งแรงมากแต่จี้ช่าวเหลยกลับสัมผัสไม่ได้ถึงแรงกดดันที่ดูเป็นอันตรายเหมือนอย่างตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเฉียวเจียไคและคนอื่นๆเลย
เห็นได้ชัดว่าพี่บึ้กคนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจี้เฟิงอย่างแน่นอน
เมื่อฮุ่ยอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยินจี้ช่าวเหลยบ่นพึมพำเขาก็พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วยเขามองไปที่คู่ต่อสู้ของจี้เฟิงด้วยแววตาเห็นใจ ผู้ชายคนนี้หุนหันพลันแล่นเกินไป แม้ว่าหัวหน้าทีมจะบอกว่าคนที่สามารถเอาชนะจี้เฟิงได้ จะได้เข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ของเขตทหารแห่งชาติในอีกหนึ่งปีให้หลังโดยที่ไม่ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกในปีนี้… ก็ต้องยอมว่าเป็นรางวัลที่ดีจริงๆ!
แต่อย่างไรก็ตามในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ
ฮุ่ยอี้จำได้อย่างชัดเจนว่าหัวหน้าทีมยังไม่ทันได้บอกว่าถ้าพวกเขาพ่ายแพ้จะมีบทลงโทษอย่างไร…รางวัลที่ล่อตาล่อใจขนาดนี้บทลงโทษก็คงจะไม่ใช่อะไรง่ายๆแน่ๆ!
ฮุ่ยอี้นั้นอดสงสัยไม่ได้ว่าต่อให้หัวหน้าทีมได้พูดถึงบทลงโทษจนจบ ทหารเหล่านี้จะยังสนใจอยู่รึเปล่า รางวัลที่ดีเยี่ยมแลกกับการเอาชนะเด็กคนเดียว มันเป็นทางเลือกที่ไม่ยากเลย
แต่ฮุ่ยอี้นั้นรู้ดีว่าถ้าทหารเหล่านี้ไม่ล้อมจี้เฟิงแล้วแสดงฝีมืออย่างจริงจังพวกเขาคงจะไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้เลย
เขายังคงติดตราตรึงใจฝีมือการต่อสู้ที่แปลกประหลาดและน่ากลัวของจี้เฟิงมาก
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ตกว่าในตอนที่เขาจับตาดูจี้เฟิงอยู่ไกลๆจี้เฟิงรู้ตัวและหาเขาพบได้อย่างไร ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือจี้เฟิงมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาเงียบๆโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย…. ซึ่งตอนนั้นเขาอยู่บนต้นไม้!
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของฮุ่ยอี้แต่เพียงไม่นานเขาก็สงบสติอารมณ์และปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเองในการปกป้องหัวหน้าทีม!
ในฐานะองครักษ์แม้ว่าเขาจะอยู่ในค่ายทหาร เขาก็ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง! “อาจารย์ฝึกสอนระวังตัวด้วย!” ฝั่งตรงกันข้ามกับจี้เฟิง ทหารพิเศษร่างใหญ่ค่อยๆ ตั้งท่าการต่อสู้ของเขาและกล่าวเตือนจี้เฟิง
ในสายตาของเขาจี้เฟิงมีรูปร่างที่ผอมและอ่อนแอเกินไป เขากลัวว่าหมัดเพียงแค่หมัดเดียวของเขาจี้เฟิงก็อาจจะไม่สามารถรับเอาไว้ได้
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างระวัง“ฉันจะระวัง!”
ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่จี้เฟิงต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเขาจะรวบรวมสมาธิและตั้งใจทำหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงเพื่อพยายามฆ่าศัตรูให้ได้มากที่สุด แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้เผชิญหน้ากับศัตรู แต่จี้เฟิงก็จะพยายามอย่างเต็มที่ เพราะนี่คือเป็นการแสดงความเคารพต่อฝ่ายตรงข้าม
“ย๊าก!”
ทหารร่างใหญ่ตะโกนเสียงดังทันใดนั้นเขาก็เหมือนนักวิ่งที่ออกตัวหลังจากตั้งท่าสตาร์ท เขาพุ่งทะยานไปทางจี้เฟิงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าชายคนนี้จะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่เขากลับคล่องแคล่วมากไม่ดูเทอะทะเลย
เพียงพริบตาขาข้างหนึ่งของเขาก็มาอยู่ตรงหน้าจี้เฟิงแล้ว เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้กันยิ่งทำให้เห็นถึงความแตกต่างของร่างกาย
ในขณะเดียวกันทุกคนที่กำลังชมการต่อสู้อยู่นั้นต่างคิดในใจว่าถ้าเป็นพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้ พวกเขาจะมีวิธีการรับมืออย่างไร
ขาของทหารร่างใหญ่อยู่ในตำแหน่งที่ดีมากไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป จี้เฟิงไม่สามารถกระโดดข้ามขึ้นไปด้านบนได้ นับประสาอะไรกับการก้มหลบที่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ มีเพียงการตั้งรับหรือเลือกที่จะถอยกลับเท่านั้น
แต่ความเร็วของทหารร่างใหญ่คนนี้รวดเร็วเกินไปจึงทำให้ถอยไปไม่ทัน
เหลือแค่ต้องตั้งรับกระบวนท่านี้เท่านั้น!
แต่ในวินาทีถัดมาทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า จี้เฟิงที่เดิมทีดูผ่อนคลายสบายใจ จู่ๆก็เหมือนคนที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างกะทันหันออร่าบนร่างกายของเขาเปลี่ยนไปราวกับลูกแกะที่กลายร่างเป็นราชสีห์ในพริบตา
ทุกคนรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าเบลอไปครู่หนึ่งจากนั้นพวกเขาก็เห็นจี้เฟิงอยู่ในท่าหกสูงอยู่บนหัวของทหารร่างใหญ่ โดยมีมือข้างหนึ่งจับคอของทหารร่างใหญ่ไว้
จี้เฟิงลดตัวลงและพับข้อศอกของทหารร่างใหญ่ไขว้ไว้ด้านหลังจากนั้นก็เหวี่ยงออกไปอย่างแรง
ฟึ่บ—!
ทหารร่างใหญ่ที่ดูแข็งแรงถูกโยนออกไปในพริบตา
โครม—!
ทหารร่างใหญ่ล้มลงกับพื้นอย่างแรง
ตอนนี้ทุกคนที่กำลังตั้งใจดูฉากการต่อสู้นี้อยู่รู้สึกตื่นตัวอย่างกะทันหันหางตาของพวกเขากระตุกถี่รัว สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและเหลือเชื่อ!
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงกลับลงสู่พื้นอย่างมั่นคงเขาดูสงบนิ่งราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่มีใครพูดหรือส่งเสียงใดๆออกมาห้องโถงอันกว้างใหญ่ที่บรรจุคนจำนวนหลายร้อยคนกลับเงียบกริบ เกรงว่าถ้าไม่มีเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจที่เต้นรัว ที่นี่ก็คงไม่ต่างจากห้องที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่
เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็สามารถเอาชนะผู้ชายตัวใหญ่ล่ำบึ้กได้ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
แม้แต่ครูฝึกหลายคนก็ยังมองหน้ากันไปมาต่อให้เป็นพวกเขา หากต้องเผชิญหน้ากับทหารร่างใหญ่คนคนนี้เพียงลำพัง ก็ไม่มีทางเอาชนะได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมหัวหน้าถึงบอกว่าเขาได้เชิญยอดฝีมือทางด้านการต่อสู้มาถ้าฝีมือระดับนี้ยังไม่เรียกว่ายอดฝีมือก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว!
จี้เจิ้นผิงก็กำลังจับตามองจี้เฟิงทุกความเคลื่อนไหวอยู่เช่นกันพอเห็นว่าจี้เฟิงแสดงพลังออกมาขนาดนี้ ตาของเขาก็กระตุกเองอย่างห้ามไม่ได้ เจ้าหนูนี่น่ากลัวเกินไป
กระบวนท่าที่จี้เฟิงได้ทำมันจบลงเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมาคนที่สายตาไม่ดีพอจะไม่รู้เลยว่าจี้เฟิงทำได้อย่างไร แต่จี้เจิ้นผิงมองออกได้อย่างชัดเจน
เหตุผลที่จี้เฟิงสามารถกระโดดขึ้นไปสูงขนาดนั้นได้ก็เพราะความเร็วของเขาที่พุ่งถึงขีดสุดและอาศัยขาของทหารร่างใหญ่ที่เตะออกมาใช้ปลายเท้าของเขาเหยียบลงขาของทหารร่างใหญ่แล้วดีดตัวขึ้นไป และม้วนตัวลงมาจับข้อศอกพับไปด้านหลังและเหวี่ยงทหารร่างใหญ่ออกไป
รวดเร็ว!แม่นยำ! เด็ดขาด!
จี้เฟิงใช้สามสิ่งนี้จนเกิดประโยชน์สูงสุดหากจี้เฟิงไม่ต้องออมมือโดยการเลือกที่จะเอาชนะทหารร่างใหญ่คนนั้นด้วยการเหวี่ยงเขาออกไป จี้เฟิงที่จับคอของเขาไว้ได้อย่างง่ายดายก็มีไม่รู้ตั้งกี่วิธีที่จะฆ่าอีกฝ่ายได้
หากคนที่จี้เฟิงกำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้อยู่ในฐานะศัตรูก็เกรงว่าคนคนนั้นคงจะถูกฆ่าไปแล้ว
สีหน้าของจี้เจิ้นผิงอยู่ในสายตาของครูฝึกหลายคนพวกเขาเข้าใจทันทีว่าหัวหน้าใหญ่เริ่มที่จะไม่พอใจแล้ว!
ครูฝึกหลายคนกัดฟันและโบกมือจากนั้นพวกเขาก็พากันล้อมรอบจี้เฟิงอย่างพร้อมเพรียงกัน
เหล่าทหารที่อยู่ด้านล่างเกิดความโกลาหลขึ้นทันทีเหล่าครูฝึกคิดที่จะรุมเจ้าเด็กผอมแห้งคนนั้นเนี่ยนะ หรือว่าเด็กนั่นจะเก่งจริงๆ?
ครูฝึกหลายคนรู้ว่าความเร็วของจี้เฟิงนั้นเร็วเกินไปและทางด้านความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่เหวี่ยงผู้ชายตัวโตจนปลิวไปแบบนั้นอย่างง่ายดาย พวกเขาไม่สามารถเอาชนะจี้เฟิงได้หากเป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง
แม้ว่าจะมีบางคนในพวกเขาต้องพบกับความล้มเหลวแต่เหล่าครูฝึกก็ตัดสินใจที่จะใช้ความล้มเหลวของตนเองและคนอื่นๆ เพื่อให้เหล่าเด็กในสังกัดของตนได้เปิดหูเปิดตาและทำให้พวกเขาได้รู้ว่าอะไรคือยอดฝีมือที่แท้จริง
จี้เฟิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบเขามองไปที่ครูฝึกทั้งเจ็ดคนที่ล้อมรอบตัวเขา เขาค่อยๆตั้งท่าเตรียมต่อสู้อย่างช้าๆ
แม้แต่ในการต่อสู้จริงๆนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จี้เฟิงถูกปิดล้อม เขามีประสบการณ์ในด้านนี้อยู่แล้ว
“ย๊ากกก—!”
ครูฝึกทั้งเจ็ดคนกระโจนเข้าใส่พร้อมๆกันพวกเขางัดวิชาที่ภาคภูมิใจที่สุดและทรงพลังที่สุดของตัวเองออกมาและพุ่งเข้าใส่จี้เฟิง
สีหน้าของจี้เฟิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเขาใช้มือข้างหนึ่งปัดหมัดของครูฝึกคนหนึ่งออกไปนอกทิศทาง และในเวลาเดียวกันเขาก็ก้าวไปข้างหน้าใช้ไหล่ของตัวเองกระแทกเข้ากับหน้าอกของครูฝึกคนหนึ่ง ปึ้ก—!
ครูฝึกคนหนึ่งที่ถูกกระแทกกระเด็นออกไปทันทีความเจ็บปวดที่ได้รับโดยไม่ทันตั้งตัวมันรุนแรงราวกับหน้าอกของเขาจะระเบิด แม้ว่าเขาอยากจะลุกขึ้นมาแต่ก็เป็นไปไม่ได้
ปั้ก—!
ขาของครูฝึกอีกคนถูกเตะกวาดก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงกับพื้นก็โดนจี้เฟิงโจมตีเตะซ้ำอีกครั้งจนกระเด็นออกไป
ปึ้ก—!ปั้ก—! ผั้วะ—!! พลั่ก—!!!
.. . . . .
เมื่อเสียงการต่อสู้หยุดลงครูฝึกทั้งเจ็ดคนที่กระเด็นออกไปได้แต่นอนครวญครางเบาๆด้วยความเจ็บปวด ไม่มีใครสามารถลุกขึ้นได้อีก
สีหน้าของทุกคนในที่นี้เปลี่ยนไปทันที
เหล่าทหารต่างมีสีหน้าตกตะลึงพวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง ครูฝึกที่ปกติดุดันเหมือนยักษ์ขี้โมโห ล้วนถูกทุบตีจนกระเด็นออกไปทั้งๆที่เป็นฝ่ายรุมล้อมเขาถึงเจ็ดคน
เหล่าทหารสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่อย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย
เมื่อพวกเขาหันไปมองที่จี้เฟิงอีกครั้งท่าทีของพวกเขาที่มีต่อจี้เฟิงก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ที่แท้เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะอ่อนแอคนนี้ก็เป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้จริงๆ และ… เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่ากลัวมากด้วย!
จี้เจิ้นผิงกลับตากระตุกครูฝึกทหารพวกนั้นเรียกได้ว่าเป็นทหารชั้นยอดของเขา กลับถูกจี้เฟิงทำร้ายจนบาดเจ็บ
เขาถลึงตาใส่จี้เฟิงทันทีแต่จี้เฟิงกลับส่งยิ้มและส่งสายตาที่เหมือนจะบอกว่าสบายใจได้กลับมา
จี้เฟิงเป็นคนรอบคอบความจริงแล้วที่ทหารเหล่านี้ต้องนอนจมอยู่กับความเจ็บปวดโดยที่ไม่สามารถลุกขึ้นได้เป็นอาการเพียงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาเพียงแค่ต้องพักฟื้นประมาณครึ่งชั่วโมงพวกเขาก็สามารถกลับมายืนขึ้นได้อีกครั้ง
หากจะพูดถึงคนที่ได้รับบาดเจ็บก็คงจะมีแต่ทหารร่างใหญ่คนแรกที่ถูกโยนจนกระเด็นออกไปเท่านั้น แต่ก็น่าจะไม่ได้เป็นการบาดเจ็บที่ร้ายแรงจนเกินไป
จี้เจิ้นผิงเข้าใจทันทีว่าจี้เฟิงหมายถึงอะไรเขาหันกลับไปมองครูฝึกทั้งเจ็ดที่นอนอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เย็นชา และจากนั้นก็หันไปมองเหล่าทหารที่มีสีหน้าประหลาดใจ
“ฮึ่ม!มีใครอยากจะท้าประลองกับเขาอีกมั้ย!” จี้เจิ้นผิงถามด้วยสีหน้าเย็นชา
คราวนี้ไม่มีใครพูดอะไรอีก
“ในเมื่อไม่มีใครอยากขึ้นมางั้นเรามาพูดถึงบทลงโทษสำหรับความล้มเหลวกัน!” จี้เจิ้นผิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร
ทันใดนั้นทุกคนก็ตกใจหัวหน้าทีมบอกแค่เรื่องรางวัลเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆถึงมาพูดถึงบทลงโทษได้?
“ตัดสิทธิ์ทุกคนที่จะเข้าร่วมการประลองในกองทัพครั้งนี้!และคนที่ถูกคัดออกจะต้องได้รับการฝึกเพิ่มเป็นสองเท่า! และก่อนที่จะถึงการประลองของเขตทหารแห่งชาติครั้งหน้า ผมจะเชิญผู้เชี่ยวชาญคนนี้มาตรวจสอบผลการฝึกของพวกคุณ หากผลงานของพวกคุณยังคงเหมือนวันนี้ พวกคุณทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการแข่งขันระดับชาติ!” จี้เจิ้นผิงแค่นเสียงแล้วหันหลังกลับเดินจากไปทันที
ทหารทุกคนได้แต่มองหน้ากันไปมาแต่ไม่มีอะไรจะพูดพวกเขาคิดว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งมาก แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ที่แท้จริงนั้นไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลย
จี้เฟิงจี้ช่าวเหลยและฮุ่ยอี้ก็เดินตามจี้เจิ้นผิงออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจของจี้เจิ้นผิง เพราะจี้เจิ้นผิงเป็นผู้นำทหารมาหลายปี จะต้องรู้วิธีฝึกทหารมากกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน
มีเพียงจี้ช่าวเหลยเท่านั้นที่ตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าพูดตามตรง ความแข็งแกร่งของครูฝึกเจ็ดคนนั้นไม่เลวเลย หากเปรียบเทียบในบรรดานักต่อสู้ด้วยกันพวกเขาก็เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้าก็ว่าได้
น่าเสียดายที่คนที่พวกเขาพบในครั้งนี้ดันเป็นจี้เฟิงคงไม่มีอะไรจะเหมาะสมไปกว่าการเรียกว่าพวกเขานั้นโชคร้าย!
แต่ก็ด้วยเหตุนี้เองจึงยิ่งแสดงให้เห็นว่าทักษะการต่อสู้ของจี้เฟิงนั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน นั่นหมายความว่าเป้าหมายของเขาในการที่จะเอาชนะเซียงยี่โหรวจะต้องสำเร็จไปได้ด้วยดีและรวดเร็วที่สุด!
ทั้งสี่คนนั่งรถจี๊ปกลับไปที่อาคารสำนักงานของจี้เจิ้นผิงสีหน้าของจี้เจิ้นผิงกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาพูดกับจี้เฟิงว่า “เสี่ยวเฟิง วิชากังฟูของนายไม่สมควรที่จะเก็บเอาไว้แบบนี้ เอาส่วนหนึ่งที่เหมาะสมกับทหารเหล่านี้มาใช้ฝึกสอนพวกเขา!”
เมื่อเห็นสีหน้าที่งงงวยของจี้เฟิงจี้เจิ้นผิงก็กล่าวว่า “ที่ครั้งนี้ฉันยืมมือนายมาเคาะกะโหลกหนาๆของพวกเด็กๆ ก็เพราะอยากให้พวกเขาได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า จะได้ไม่หลงตัวเองว่าแข็งแกร่งแล้วไม่ต้องขยันฝึกแล้วแถมยังเป็นการปลุกใจพวกเขาด้วย แต่จุดประสงค์หลักก็เพื่อการประลองใหญ่ของเขตทหารแห่งชาติในอีกหนึ่งปีต่อจากนี้ นอกจากนี้เขตทหารอื่นๆก็มีหน่วยรบพิเศษที่แข็งแกร่งมากอยู่เช่นกัน ดังนั้นฉันจะให้เด็กๆของฉันพ่ายแพ้ไม่ได้!”
บทที่ 365 การสอนยิมนาสติกเพื่อสุขภาพ
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติคำขอของอาสามนั้นไม่ได้มากเกินไปเลย ฝีมือของเขาก็ไม่เลว ย่อมสามารถเลือกสิ่งที่เหมาะสมเพื่อช่วยฝึกฝนทหารเหล่านั้นได้
หากเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทักษะการต่อสู้คนอื่นๆก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ประเด็นคือจี้เฟิงแตกต่างจากผู้เชี่ยวชาญทั่วๆไปอย่างสิ้นเชิง!
สิ่งที่เขาได้เรียนรู้แทบไม่มีวิชากังฟูที่ดูปกติในสายตาคนอื่นเลยตลอด 1 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่จี้เฟิงได้เรียนรู้และนำมาใช้เกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้ความช่วยเหลือจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพทั้งสิ้น และยังไม่มีวิชากังฟูที่สมบูรณ์เลย
หากเป็นวิชากังฟูแบบดั้งเดิมของประเทศจีนก็จะมีรูปแบบที่เรียกว่าวิชาหมัดเช่น หมัดหงฉวน หมัดหย่งชุน หรือวิชาอื่นๆที่คนทั่วไป