เช้าวันรุ่งขึ้นจี้เฟิงก็ตื่นแต่เช้าเพื่อติดต่อหาอาสามของเขา
ความจริงแล้วทั้งสองครอบครัวอยู่หมู่บ้านเดียวกันจึงไม่จำเป็นต้องติดต่อทางโทรศัพท์ แต่จี้เฟิงได้ไปหาจี้เจิ้นผิงที่บ้านก่อนแล้วแต่พบว่าจี้เจิ้นผิง อาสามของเขานั้นตื่นเช้ากว่าเขาเสียอีก แถมหลังจากตื่นมาเขาก็ตรงไปที่ค่ายทหารเลยทันที เรื่องนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกตกใจมาก
เพราะตามหลักแล้วต่อให้เป็นคนขยันและทุ่มเทกับงานมากแค่ไหน แต่ด้วยตำแหน่งของอาสามแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปที่ค่ายทหารแต่เช้าขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ
“ไม่ใช่ว่าการแข่งประลองใหญ่ของทหารมีปัญหาอะไรหรอกหรือ!”เหลียงหงตัน อาสะใภ้สามของจี้เฟิงดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นสามีของเธอต้องยุ่งวุ่นวายจนถึงขั้นนอนหลับไม่สนิท เธอก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา จี้เฟิงไม่รู้จะตอบอะไรดีเขาได้แต่ยิ้มน้อยๆและกล่าวว่า “อาสะใภ้ครับ แม่ของผมอยู่ที่บ้าน ถ้าอาสะใภ้เบื่อๆก็…”
“เจ้าเด็กคนนี้!”เหลียงหงตันดุด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
จี้เฟิงหัวเราะคิกคักจากนั้นก็กล่าวลาอาสะใภ้สามและเดินลงบันไดไป
แต่ภายในใจของเขากลับพึมพำว่า‘อาสามจะเข้าร่วมการแข่งขันการประลองใหญ่ของทหารเหรอ อาสามของเรานี่ฟิตดีจริงๆแฮะ วัยกลางคนแล้วแท้ๆ ยังชอบต่อสู้ขนาดนี้! ช่วยไม่ได้แฮะ เหลือแค่ต้องโทรหาแล้วล่ะ!’
“เจ้าเด็กเหลือขอมีไรก็รีบพูดมาเร็วๆเลยฉันกำลังยุ่งกับการประชุมอยู่!” จี้เจิ้นผิงพูดขึ้นทันทีที่รับสาย
จี้เฟิงอึ้งไปเสี้ยววิก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า“ผมมีเรื่องบางเรื่องที่จะต้องถามอาสามหน่อยนะครับ แต่เป็นเรื่องที่ต้องไปคุยกันต่อหน้า อ้อ!แล้วก็ผมกับพี่รองอยากไปเจอช่าวหยินด้วยเหมือนกัน…” เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกจี้เจิ้นผิงขัดจังหวะ“งั้นพวกนายก็ตรงมาที่ค่ายทหารนี่เลยก็แล้วกัน ช่วงนี้เจ้าเด็กตัวแสบช่าวหยินก็ทำผลงานได้ไม่เลว ถึงขนาดเพื่อนๆในทีมส่งมาเป็นตัวแทนในการแข่งคัดเลือก นายมาที่นี่ก็พอดีเลยมาชมการซ้อมรบของทีมเรดแอร์โรว์สักหน่อยสิ เพื่อนายจะมีอะไรติชมแนะนำได้บ้างแล้วเรื่องที่จะถามเรื่องอะไรล่ะ”
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้งและกล่าวว่า“เรื่องนี้ถามทางโทรศัพท์คงไม่สะดวกเท่าไหร่”
“งั้นนายมาถึงเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากันแล้วกันแค่นี้ก่อนนะ ฉันกำลังประชุมอยู่!” เมื่อพูดจบจี้เจิ้นผิงก็วางสายไปทันที
รอยยิ้มของจี้เฟิงบิดเบี้ยวมากขึ้นทุกทีอาสามของเขายังคงเป็นคนที่ตรงไปตรงมาทำอะไรรวดเร็วกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม เขาดูแตกต่างจากอารองราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่พี่น้องกัน ถ้าไม่ติดว่าพวกเขามีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายกัน บางทีคนภายนอกอาจจะไม่เชื่อก็ได้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันจริงๆ
แต่ก็เพราะนิสัยความเป็นกันเองของเขานี่แหละจึงทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของรุ่นน้องและหลานๆอย่างเช่นเขากับพี่รอง แม้ว่าพี่รองจะบอกว่าหวาดกลัวอาสามแต่ความจริงแล้วเขาชอบพูดคุยและสนิทกับอาสามมาก ว่ากันว่าตอนที่พี่ใหญ่จี้ช่าวตงยังรุ่นๆอยู่ เขาก็ติดอาสามมากเหมือนกัน หากเปรียบเทียบกับพ่อของพวกเขาแล้ว พี่รองดูเหมือนจะสนิทกับอาสามมากกว่าด้วยซ้ำ
แต่ลองมาคิดๆดูอารองก็น่ากลัวจริงๆนั่นแหละ เผลอๆจะดูน่าเกรงขามกว่าพ่อของเขาเองซะอีก เพราะแม้แต่พี่รองยังไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ถ้ากล้าทำตัวเหมือนอย่างปกติต่อหน้าอารองได้ก็แปลกแล้ว!
เมื่อคิดถึงพี่รองจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเสียงที่ได้ยินในโทรศัพท์เมื่อคืน เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่รองจะตื่นไหวหรือเปล่า แล้วไหนจะประโยคที่เขาพูดว่า‘พรุ่งนี้ถ้าฉันยังเดินไหว…’ จี้เฟิงอดหัวเราะไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขากับเซียงยี่โหรวกำลังทำอะไรกันอยู่
จี้เฟิงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาแวบหนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วต่อสายหาจี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองของเขา“พี่รอง พร้อมรึยัง”
“น้องสามวันนี้พี่น่าจะไปไม่ได้แล้ว” เสียงของจี้ช่าวเหลยดูไร้เรี่ยวแรง “ฉันบาดเจ็บ”
“บาดเจ็บเหรอ”จี้เฟิงตกใจและถามอย่างรีบร้อน “พี่รอง ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน ผมจะไปหาพี่เดี๋ยวนี้แหละ!”
“ไอ้หนูไม่ต้อง! ไม่ต้องมา! พี่ไม่มีหน้าไปพบใครได้หรอก…” จี้ช่าวเหลยตะคอกแต่น้ำเสียงเจือไปด้วยความเศร้า “พรุ่งนี้ค่อยไปไม่ได้เหรอ วันนี้พี่ขอลาพักผ่อนซักวันหนึ่งก็แล้วกัน!”
“ไม่ได้!”จี้เฟิงปฏิเสธทันที “ผมนัดกับอาสามไว้แล้ว ต้องวันนี้เท่านั้น… พี่รอง ถ้าพี่ไม่ไปผมคงต้องบอกเรื่องนี้กับอาสามไปตามตรง” “บอกเรื่องนี้เรื่องอะไร?!” จี้ช่าวเหลยถามด้วยความสงสัย
“จะเรื่องไหนซะอีกก็เรื่องที่ผมได้ยินในโทรศัพท์เมื่อคืนนี้…” ทันทีที่จี้เฟิงพูด เขาก็ได้ยินเสียงของจี้ช่าวเหลยตะโกนขึ้นมาทันที
“ไป!ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” จี้ช่าวเหลยดูเหมือนจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ‘พูดเป็นเล่น! ถ้าอาสามรู้เรื่องนี้เข้า ฉันคงไม่มีหน้าไปพบใครแล้วจริงๆ!’
“หึหึ!ดีๆ พี่รองทำถูกแล้วล่ะ คนเรานัดกันแล้วจะผิดนัดได้ยังไงล่ะเนอะ!” จี้เฟิงหัวเราะ
“ไอ้เด็กตัวแสบจิตใจช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!” จี้ช่าวเหลยกัดฟันพูด “นายมารับฉันก็แล้วกัน ที่อยู่คือ….”
ทันทีที่เขาบอกที่อยู่ให้กับจี้เฟิงเรียบร้อยจี้ช่าวเหลยก็วางสายไปดูเหมือนว่าเขาจะโกรธ
แต่จี้เฟิงไม่สนใจเขายิ้มและเก็บโทรศัพท์จากนั้นก็ขับรถตรงไปยังที่อยู่ที่จี้ช่าวเหลยบอก
ตามการคาดเดาของจี้เฟิงเหตุผลที่จี้ช่าวเหลยบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บ น่าจะเพราะเมื่อคืนนี้เขากับเซียงยี่โหรวเคลื่อนไหวรุนแรงกันเกินไป ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่เมื่อจี้เฟิงมาถึงหน้าโรงแรมที่จี้ช่าวเหลยพักอยู่และเห็นจี้ช่าวเหลยที่ยืนรออยู่ริมถนน จี้เฟิงก็ตกใจมาก และทันใดนั้นมุมปากของเขาก็ค่อยๆโค้งขึ้นและกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง
“ฮ่าฮ่า~!!” ในที่สุดจี้เฟิงก็หัวเราะออกมา จี้เฟิงที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยแทบจะไม่สามารถกลั้นขำได้เลย
ตอนนี้สภาพใบหน้าของจี้ช่าวเหลยบวมเป่งขอบตาก็เป็นสีดำคล้ำ ผมของเขายุ่งเหยิง แถมขาของเขาก็เหมือนจะได้รับบาดเจ็บจนต้องเดินกะเผลก ถ้าไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเขาจี้เฟิงคงจะจำเขาไม่ได้ไปแล้ว!
จี้ช่าวเหลยมองจี้เฟิงด้วยสีหน้ามืดมนและกัดฟันถาม“ไอ้เด็กตัวแสบ นายหัวเราะพอหรือยัง!”
“พอ…ฮ่าฮ่า! พอแล้ว ฮ่าๆๆ หัวเราะพอแล้ว!” แม้จี้เฟิงจะบอกว่าพอ แต่เขาก็ยังคงกลั้นหัวเราะไม่ได้อยู่ดี หลังจากที่พยายามอยู่พักหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสงบลงแล้ว แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ไม่สามารถซ่อนได้ “พี่รอง ทำไมถึงได้มีสภาพน่าสมเพชขนาดนี้ล่ะ ไปถูกหมาที่ไหนฟัดมา หรือว่าถูกดักปล้น?”
“ฮึ่ม!”จี้ช่าวเหลยแค่นเสียงอย่างเย็นชา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดี “ถูกปล้นคงจะดีซะกว่า เพราะสภาพก็คงไม่เป็นแบบนี้…”
จี้เฟิงพยายามกลั้นหัวเราะอีกครั้งและถามหยั่งเชิงว่า“ถูกเซียงยี่โหรวซ้อมมาเหรอ”
“เหอะ!รอให้ฉันเอาชนะเธอให้ได้ก่อนเถอะ จะเอาให้หนักเลย!” จี้ช่าวเหลยกัดฟันพูดอย่างโมโหมาก!
จี้เฟิงเข้าใจในทันทีว่าจี้ช่าวเหลยถูกเซียงยี่โหรวซ้อมมาอย่างแน่นอนแต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้น “พี่ชาย แล้วทำไมเซียงยี่โหรวถึงต้องทุบตีพี่ด้วยล่ะ หรือว่าไปทำอะไรไม่ดีกับเธอจนถึงขนาดต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนี้”
“ใช่!ฉันทำ!” จี้ช่าวเหลยดูหดหู่มาก เขาเปิดประตูรถแล้วนั่งลงข้างๆคนขับ “ก็ปกติเวลาฉันดื่มเหล้าเสร็จ ฉันก็มักจะทำอะไรบางอย่างเสมอ ฉันก็เห็นว่าเธอดูไม่ได้คัดค้านอะไร ก็เลยพาเธอมาที่โรงแรม…”
“แล้วยังไงต่อคงไม่ใช่ว่าพอมาถึงโรงแรมแล้วเธอก็ทุบตีพี่ทันทีโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ?” จี้เฟิงถามด้วยความสงสัย
“เจ้าเด็กเหลือขอจะถามมากไปทำไม!” จี้ช่าวเหลยดุ แต่ท่าทางและน้ำเสียงของเขาดูกระอักกระอ่วนมาก
จี้เฟิงหัวเราะอย่างโง่งมเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีอะไรซับซ้อนกว่าที่คิด ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ หลังจากมาถึงโรงแรมแล้วพี่รองจะต้องทำอะไรที่ไม่สมควรทำ ถึงได้ถูกซ้อมจนมีสภาพน่าอนาถขนาดนี้!
เพื่อไม่ให้จี้ช่าวเหลยรู้สึกกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้จี้เฟิงจึงไม่ได้ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขาสตาร์ทรถและรีบไปที่ค่ายทหาร
จี้ช่าวเหลยเองก็ไม่ได้พูดอะไรได้แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา คิดดูแล้วเรื่องนี้ทำให้เขาหดหู่มาก
จี้เฟิงพยายามกลั้นหัวเราะอยู่หลายครั้งและเขาก็ขับรถเร็วมาก แต่ในใจของเขาก็กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าเซียงยี่โหรวแข็งแกร่งมากขนาดนั้น ถ้าพี่รองต้องการจะทำอะไรที่ฝืนใจเธอ เธอก็น่าจะขัดขวางพี่รองได้ง่ายๆ แต่ทำไมเธอต้องทุบตีเขาขนาดนั้นด้วยล่ะ…
“น้องสามนายมีวิชากังฟูที่ทำให้เก่งได้เร็วๆมั้ย” จี้ช่าวเหลยที่นิ่งเงียบมาตลอดทางจู่ๆก็ถามขึ้น “ถ้าจะให้ดี เอาที่เป็นยอดฝีมือได้ภายใน 3-5 เดือน ไม่สิ! ไม่ต้องถึงขนาดเป็นยอดฝีมือก็ได้ แค่เอาชนะเซียงยี่โหรวให้ได้ก็พอ!”
3-5เดือน! จี้เฟิงแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง หมอนี่เขาคิดว่าการฝึกฝนทักษะการต่อสู้มันจะฝึกสำเร็จกันได้ง่ายๆเหมือนกับการทำกับข้าวเหรอ?
จี้เฟิงแค่นเสียง“มีอยู่วิชานึง แถมวิชานี้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาฝึกถึง 3 เดือนด้วยซ้ำ อันที่จริง… ใช้เวลาแค่หนึ่งนาทีก็สามารถเรียนรู้ได้แล้ว!”
“ห๊ะหนึ่งนาทีเหรอ? มันมีจริงๆเหรอ?!” จี้ช่าวเหลยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “นายสอนฉันหน่อยได้มั้ย?”
“แน่นอน!”
“แค่หาปืนสักกระบอกแล้วลองฝึกยิงซักนาทีหนึ่ง ต่อให้เป็นเด็กอนุบาลก็ยิงได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจแค่ไหน ก็คงไม่กล้ารับกระสุนปืนตรงๆหรอก! ทั้งทรงพลัง ทั้งประหยัดเวลา ตรงตามที่พี่รองต้องการทู้กอย่าง!”
“….”จี้ช่าวเหลยพูดไม่ออก
“พี่รองวิชาการต่อสู้ที่ร้ายกาจน่ะมันก็มีอยู่หรอก แต่จะฝึกให้สำเร็จภายในสามเดือนห้าเดือน… ผมเกรงว่าในโลกนี้คงไม่มีวิชาการต่อสู้หรือกังฟูชนิดไหนที่ร้ายกาจขนาดนั้น!” จี้เฟิงถอนหายใจเบาๆ เพราะแม้แต่ตัวเขาเอง ขนาดมีความช่วยเหลือจากสมองอัจฉริยะ ก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีกว่า ถึงจะนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ
ส่วนคนที่บอกว่าฝึกกังฟูมา3-5 เดือนแล้วกลายเป็นยอดฝีมือ นอกจากพวกนักต้มตุ๋นที่หลอกคนอื่นแล้วจี้เฟิงก็ไม่เคยได้ยินชื่อของยอดฝีมือที่ทำได้แบบนั้นมาก่อนเลย
“พี่รองพี่ต้องการจะเอาชนะเซียงยี่โหรวอย่างนั้นเหรอ” จี้เฟิงถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจ “หลังจากที่พี่แต่งงานกับเธอแล้ว มันสำคัญด้วยเหรอว่าใครจะต่อสู้เก่งกว่ากัน?”
“ประเด็นคือถ้าฉันเอาชนะเธอไม่ได้ ฉันก็แต่งงานไม่ได้!” จี้ช่าวเหลยรู้สึกหดหู่มาก
“นี่เป็นเงื่อนไขของเธอเหรอ”จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
จี้ช่าวเหลยแค่นเสียง“มันเป็นเป้าหมายของฉัน!”
ในความเป็นจริงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างจี้ช่าวเหลยและเซียงยี่โหรวไม่ใช่แบบนี้
เมื่อคืนจี้ช่าวเหลยอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับเซียงยี่โหรวเลยจะชวนเธอวอร์มเครื่องนิดหน่อย และเซียงยี่โหรวก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่เธอเสนอเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมาว่าถ้าจี้ช่าวเหลยสามารถเอาชนะเธอได้ ทุกอย่างถึงจะเป็นไปตามที่เขาต้องการ ส่วนเรื่องแต่งงานนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ถ้าจี้ช่าวเหลยไม่สามารถเอาชนะเธอได้ก่อนแต่งงานก็อย่าได้คิดเรื่องอื่นเลย และหลังจากแต่งงานแล้ว จี้ช่าวเหลยจะต้องทำตามคำสั่งของเธอ…
ในฐานะลูกผู้ชายจี้ช่าวเหลยจะยอมให้ผู้หญิงกดขี่อยู่บนหัวได้ยังไง
ต่อให้เป็นผู้หญิงที่เขารักแต่ด้วยนิสัยของจี้ช่าวเหลย เขาทนไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายตัดสินใจอยู่คนเดียวเมื่ออยู่บนเตียง! ดังนั้นจี้ช่าวเหลยจึงต้องการขัดขืน!
แต่ผลก็คือเขาถูกตีจนหัวแตกใบหน้าบวมเป่ง
จี้เฟิงไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้และเรื่องที่น่าอับอายแบบนี้มีหรือที่จี้ช่าวเหลยจะพูดออกมา!
“พี่รองถ้าพี่อยากจะเรียนกังฟูจริงๆ ผมช่วยแนะนำให้ได้นะ แต่ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนผมไม่สามารถรับประกันได้จริงๆว่าพี่จะเก่งขึ้นได้แค่ไหน แต่ถ้าพี่สามารถอดทนฝึกตามที่ผมบอกได้ถึง 1 ปี ผมรับรองว่าพี่จะสามารถเอาชนะเซียงยี่โหรวได้อย่างแน่นอน!” จู่ๆจี้เฟิงก็พูดขึ้น
โอ้วว!
ดวงตาของจี้ช่าวเหลยเป็นประกาย“จริงเหรอ”
“ผมจะโกหกเพื่อ”จี้เฟิงเหลือบมองเขา
“เยี่ยมไปเลย!น้องสามเราจะเริ่มกันได้เมื่อไหร่ดี ชีวิตในอนาคตที่เต็มไปด้วยความสุขของพี่ตกอยู่ในกำมือนายแล้ว!” จี้ช่าวเหลยพูดอย่างจริงจัง
จี้เฟิงหัวเราะ“พี่รอง ไม่ว่าพี่จะใจร้อนแค่ไหน แต่เรื่องบางเรื่องก็ทำแบบรีบๆไม่ได้อยู่ดี เอาเป็นว่าถ้าพี่ช่วยผมทำเรื่องหนึ่งเสร็จ เราจะเริ่มฝึกกันทันที!”
“เรื่องอะไรเหรอ”จี้ช่าวเหลยถามทันที สีหน้าของเขาดูวิตกกังวลมาก
ที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรอแต่ในเมื่อนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตของเขา แล้วจะไม่ให้เขารีบร้อนได้ยังไง
“หลังจากไปเจออาสามที่ค่ายทหารแล้วพวกเราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที” จี้เฟิงหัวเราะเบาๆ เขาก็พอจะเข้าใจได้อยู่ว่าทำไมพี่รองถึงได้ดูเป็นกังวลขนาดนี้
ความจริงแล้วทั้งสองครอบครัวอยู่หมู่บ้านเดียวกันจึงไม่จำเป็นต้องติดต่อทางโทรศัพท์ แต่จี้เฟิงได้ไปหาจี้เจิ้นผิงที่บ้านก่อนแล้วแต่พบว่าจี้เจิ้นผิง อาสามของเขานั้นตื่นเช้ากว่าเขาเสียอีก แถมหลังจากตื่นมาเขาก็ตรงไปที่ค่ายทหารเลยทันที เรื่องนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกตกใจมาก
เพราะตามหลักแล้วต่อให้เป็นคนขยันและทุ่มเทกับงานมากแค่ไหน แต่ด้วยตำแหน่งของอาสามแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปที่ค่ายทหารแต่เช้าขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ
“ไม่ใช่ว่าการแข่งประลองใหญ่ของทหารมีปัญหาอะไรหรอกหรือ!”เหลียงหงตัน อาสะใภ้สามของจี้เฟิงดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นสามีของเธอต้องยุ่งวุ่นวายจนถึงขั้นนอนหลับไม่สนิท เธอก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา จี้เฟิงไม่รู้จะตอบอะไรดีเขาได้แต่ยิ้มน้อยๆและกล่าวว่า “อาสะใภ้ครับ แม่ของผมอยู่ที่บ้าน ถ้าอาสะใภ้เบื่อๆก็…”
“เจ้าเด็กคนนี้!”เหลียงหงตันดุด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
จี้เฟิงหัวเราะคิกคักจากนั้นก็กล่าวลาอาสะใภ้สามและเดินลงบันไดไป
แต่ภายในใจของเขากลับพึมพำว่า‘อาสามจะเข้าร่วมการแข่งขันการประลองใหญ่ของทหารเหรอ อาสามของเรานี่ฟิตดีจริงๆแฮะ วัยกลางคนแล้วแท้ๆ ยังชอบต่อสู้ขนาดนี้! ช่วยไม่ได้แฮะ เหลือแค่ต้องโทรหาแล้วล่ะ!’
“เจ้าเด็กเหลือขอมีไรก็รีบพูดมาเร็วๆเลยฉันกำลังยุ่งกับการประชุมอยู่!” จี้เจิ้นผิงพูดขึ้นทันทีที่รับสาย
จี้เฟิงอึ้งไปเสี้ยววิก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า“ผมมีเรื่องบางเรื่องที่จะต้องถามอาสามหน่อยนะครับ แต่เป็นเรื่องที่ต้องไปคุยกันต่อหน้า อ้อ!แล้วก็ผมกับพี่รองอยากไปเจอช่าวหยินด้วยเหมือนกัน…” เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกจี้เจิ้นผิงขัดจังหวะ“งั้นพวกนายก็ตรงมาที่ค่ายทหารนี่เลยก็แล้วกัน ช่วงนี้เจ้าเด็กตัวแสบช่าวหยินก็ทำผลงานได้ไม่เลว ถึงขนาดเพื่อนๆในทีมส่งมาเป็นตัวแทนในการแข่งคัดเลือก นายมาที่นี่ก็พอดีเลยมาชมการซ้อมรบของทีมเรดแอร์โรว์สักหน่อยสิ เพื่อนายจะมีอะไรติชมแนะนำได้บ้างแล้วเรื่องที่จะถามเรื่องอะไรล่ะ”
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้งและกล่าวว่า“เรื่องนี้ถามทางโทรศัพท์คงไม่สะดวกเท่าไหร่”
“งั้นนายมาถึงเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากันแล้วกันแค่นี้ก่อนนะ ฉันกำลังประชุมอยู่!” เมื่อพูดจบจี้เจิ้นผิงก็วางสายไปทันที
รอยยิ้มของจี้เฟิงบิดเบี้ยวมากขึ้นทุกทีอาสามของเขายังคงเป็นคนที่ตรงไปตรงมาทำอะไรรวดเร็วกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม เขาดูแตกต่างจากอารองราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่พี่น้องกัน ถ้าไม่ติดว่าพวกเขามีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายกัน บางทีคนภายนอกอาจจะไม่เชื่อก็ได้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันจริงๆ
แต่ก็เพราะนิสัยความเป็นกันเองของเขานี่แหละจึงทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของรุ่นน้องและหลานๆอย่างเช่นเขากับพี่รอง แม้ว่าพี่รองจะบอกว่าหวาดกลัวอาสามแต่ความจริงแล้วเขาชอบพูดคุยและสนิทกับอาสามมาก ว่ากันว่าตอนที่พี่ใหญ่จี้ช่าวตงยังรุ่นๆอยู่ เขาก็ติดอาสามมากเหมือนกัน หากเปรียบเทียบกับพ่อของพวกเขาแล้ว พี่รองดูเหมือนจะสนิทกับอาสามมากกว่าด้วยซ้ำ
แต่ลองมาคิดๆดูอารองก็น่ากลัวจริงๆนั่นแหละ เผลอๆจะดูน่าเกรงขามกว่าพ่อของเขาเองซะอีก เพราะแม้แต่พี่รองยังไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ถ้ากล้าทำตัวเหมือนอย่างปกติต่อหน้าอารองได้ก็แปลกแล้ว!
เมื่อคิดถึงพี่รองจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเสียงที่ได้ยินในโทรศัพท์เมื่อคืน เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่รองจะตื่นไหวหรือเปล่า แล้วไหนจะประโยคที่เขาพูดว่า‘พรุ่งนี้ถ้าฉันยังเดินไหว…’ จี้เฟิงอดหัวเราะไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขากับเซียงยี่โหรวกำลังทำอะไรกันอยู่
จี้เฟิงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาแวบหนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วต่อสายหาจี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองของเขา“พี่รอง พร้อมรึยัง”
“น้องสามวันนี้พี่น่าจะไปไม่ได้แล้ว” เสียงของจี้ช่าวเหลยดูไร้เรี่ยวแรง “ฉันบาดเจ็บ”
“บาดเจ็บเหรอ”จี้เฟิงตกใจและถามอย่างรีบร้อน “พี่รอง ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน ผมจะไปหาพี่เดี๋ยวนี้แหละ!”
“ไอ้หนูไม่ต้อง! ไม่ต้องมา! พี่ไม่มีหน้าไปพบใครได้หรอก…” จี้ช่าวเหลยตะคอกแต่น้ำเสียงเจือไปด้วยความเศร้า “พรุ่งนี้ค่อยไปไม่ได้เหรอ วันนี้พี่ขอลาพักผ่อนซักวันหนึ่งก็แล้วกัน!”
“ไม่ได้!”จี้เฟิงปฏิเสธทันที “ผมนัดกับอาสามไว้แล้ว ต้องวันนี้เท่านั้น… พี่รอง ถ้าพี่ไม่ไปผมคงต้องบอกเรื่องนี้กับอาสามไปตามตรง” “บอกเรื่องนี้เรื่องอะไร?!” จี้ช่าวเหลยถามด้วยความสงสัย
“จะเรื่องไหนซะอีกก็เรื่องที่ผมได้ยินในโทรศัพท์เมื่อคืนนี้…” ทันทีที่จี้เฟิงพูด เขาก็ได้ยินเสียงของจี้ช่าวเหลยตะโกนขึ้นมาทันที
“ไป!ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” จี้ช่าวเหลยดูเหมือนจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ‘พูดเป็นเล่น! ถ้าอาสามรู้เรื่องนี้เข้า ฉันคงไม่มีหน้าไปพบใครแล้วจริงๆ!’
“หึหึ!ดีๆ พี่รองทำถูกแล้วล่ะ คนเรานัดกันแล้วจะผิดนัดได้ยังไงล่ะเนอะ!” จี้เฟิงหัวเราะ
“ไอ้เด็กตัวแสบจิตใจช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!” จี้ช่าวเหลยกัดฟันพูด “นายมารับฉันก็แล้วกัน ที่อยู่คือ….”
ทันทีที่เขาบอกที่อยู่ให้กับจี้เฟิงเรียบร้อยจี้ช่าวเหลยก็วางสายไปดูเหมือนว่าเขาจะโกรธ
แต่จี้เฟิงไม่สนใจเขายิ้มและเก็บโทรศัพท์จากนั้นก็ขับรถตรงไปยังที่อยู่ที่จี้ช่าวเหลยบอก
ตามการคาดเดาของจี้เฟิงเหตุผลที่จี้ช่าวเหลยบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บ น่าจะเพราะเมื่อคืนนี้เขากับเซียงยี่โหรวเคลื่อนไหวรุนแรงกันเกินไป ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่เมื่อจี้เฟิงมาถึงหน้าโรงแรมที่จี้ช่าวเหลยพักอยู่และเห็นจี้ช่าวเหลยที่ยืนรออยู่ริมถนน จี้เฟิงก็ตกใจมาก และทันใดนั้นมุมปากของเขาก็ค่อยๆโค้งขึ้นและกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง
“ฮ่าฮ่า~!!” ในที่สุดจี้เฟิงก็หัวเราะออกมา จี้เฟิงที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยแทบจะไม่สามารถกลั้นขำได้เลย
ตอนนี้สภาพใบหน้าของจี้ช่าวเหลยบวมเป่งขอบตาก็เป็นสีดำคล้ำ ผมของเขายุ่งเหยิง แถมขาของเขาก็เหมือนจะได้รับบาดเจ็บจนต้องเดินกะเผลก ถ้าไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเขาจี้เฟิงคงจะจำเขาไม่ได้ไปแล้ว!
จี้ช่าวเหลยมองจี้เฟิงด้วยสีหน้ามืดมนและกัดฟันถาม“ไอ้เด็กตัวแสบ นายหัวเราะพอหรือยัง!”
“พอ…ฮ่าฮ่า! พอแล้ว ฮ่าๆๆ หัวเราะพอแล้ว!” แม้จี้เฟิงจะบอกว่าพอ แต่เขาก็ยังคงกลั้นหัวเราะไม่ได้อยู่ดี หลังจากที่พยายามอยู่พักหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสงบลงแล้ว แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ไม่สามารถซ่อนได้ “พี่รอง ทำไมถึงได้มีสภาพน่าสมเพชขนาดนี้ล่ะ ไปถูกหมาที่ไหนฟัดมา หรือว่าถูกดักปล้น?”
“ฮึ่ม!”จี้ช่าวเหลยแค่นเสียงอย่างเย็นชา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดี “ถูกปล้นคงจะดีซะกว่า เพราะสภาพก็คงไม่เป็นแบบนี้…”
จี้เฟิงพยายามกลั้นหัวเราะอีกครั้งและถามหยั่งเชิงว่า“ถูกเซียงยี่โหรวซ้อมมาเหรอ”
“เหอะ!รอให้ฉันเอาชนะเธอให้ได้ก่อนเถอะ จะเอาให้หนักเลย!” จี้ช่าวเหลยกัดฟันพูดอย่างโมโหมาก!
จี้เฟิงเข้าใจในทันทีว่าจี้ช่าวเหลยถูกเซียงยี่โหรวซ้อมมาอย่างแน่นอนแต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้น “พี่ชาย แล้วทำไมเซียงยี่โหรวถึงต้องทุบตีพี่ด้วยล่ะ หรือว่าไปทำอะไรไม่ดีกับเธอจนถึงขนาดต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนี้”
“ใช่!ฉันทำ!” จี้ช่าวเหลยดูหดหู่มาก เขาเปิดประตูรถแล้วนั่งลงข้างๆคนขับ “ก็ปกติเวลาฉันดื่มเหล้าเสร็จ ฉันก็มักจะทำอะไรบางอย่างเสมอ ฉันก็เห็นว่าเธอดูไม่ได้คัดค้านอะไร ก็เลยพาเธอมาที่โรงแรม…”
“แล้วยังไงต่อคงไม่ใช่ว่าพอมาถึงโรงแรมแล้วเธอก็ทุบตีพี่ทันทีโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ?” จี้เฟิงถามด้วยความสงสัย
“เจ้าเด็กเหลือขอจะถามมากไปทำไม!” จี้ช่าวเหลยดุ แต่ท่าทางและน้ำเสียงของเขาดูกระอักกระอ่วนมาก
จี้เฟิงหัวเราะอย่างโง่งมเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีอะไรซับซ้อนกว่าที่คิด ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ หลังจากมาถึงโรงแรมแล้วพี่รองจะต้องทำอะไรที่ไม่สมควรทำ ถึงได้ถูกซ้อมจนมีสภาพน่าอนาถขนาดนี้!
เพื่อไม่ให้จี้ช่าวเหลยรู้สึกกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้จี้เฟิงจึงไม่ได้ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขาสตาร์ทรถและรีบไปที่ค่ายทหาร
จี้ช่าวเหลยเองก็ไม่ได้พูดอะไรได้แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา คิดดูแล้วเรื่องนี้ทำให้เขาหดหู่มาก
จี้เฟิงพยายามกลั้นหัวเราะอยู่หลายครั้งและเขาก็ขับรถเร็วมาก แต่ในใจของเขาก็กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าเซียงยี่โหรวแข็งแกร่งมากขนาดนั้น ถ้าพี่รองต้องการจะทำอะไรที่ฝืนใจเธอ เธอก็น่าจะขัดขวางพี่รองได้ง่ายๆ แต่ทำไมเธอต้องทุบตีเขาขนาดนั้นด้วยล่ะ…
“น้องสามนายมีวิชากังฟูที่ทำให้เก่งได้เร็วๆมั้ย” จี้ช่าวเหลยที่นิ่งเงียบมาตลอดทางจู่ๆก็ถามขึ้น “ถ้าจะให้ดี เอาที่เป็นยอดฝีมือได้ภายใน 3-5 เดือน ไม่สิ! ไม่ต้องถึงขนาดเป็นยอดฝีมือก็ได้ แค่เอาชนะเซียงยี่โหรวให้ได้ก็พอ!”
3-5เดือน! จี้เฟิงแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง หมอนี่เขาคิดว่าการฝึกฝนทักษะการต่อสู้มันจะฝึกสำเร็จกันได้ง่ายๆเหมือนกับการทำกับข้าวเหรอ?
จี้เฟิงแค่นเสียง“มีอยู่วิชานึง แถมวิชานี้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาฝึกถึง 3 เดือนด้วยซ้ำ อันที่จริง… ใช้เวลาแค่หนึ่งนาทีก็สามารถเรียนรู้ได้แล้ว!”
“ห๊ะหนึ่งนาทีเหรอ? มันมีจริงๆเหรอ?!” จี้ช่าวเหลยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “นายสอนฉันหน่อยได้มั้ย?”
“แน่นอน!”
“แค่หาปืนสักกระบอกแล้วลองฝึกยิงซักนาทีหนึ่ง ต่อให้เป็นเด็กอนุบาลก็ยิงได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจแค่ไหน ก็คงไม่กล้ารับกระสุนปืนตรงๆหรอก! ทั้งทรงพลัง ทั้งประหยัดเวลา ตรงตามที่พี่รองต้องการทู้กอย่าง!”
“….”จี้ช่าวเหลยพูดไม่ออก
“พี่รองวิชาการต่อสู้ที่ร้ายกาจน่ะมันก็มีอยู่หรอก แต่จะฝึกให้สำเร็จภายในสามเดือนห้าเดือน… ผมเกรงว่าในโลกนี้คงไม่มีวิชาการต่อสู้หรือกังฟูชนิดไหนที่ร้ายกาจขนาดนั้น!” จี้เฟิงถอนหายใจเบาๆ เพราะแม้แต่ตัวเขาเอง ขนาดมีความช่วยเหลือจากสมองอัจฉริยะ ก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีกว่า ถึงจะนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ
ส่วนคนที่บอกว่าฝึกกังฟูมา3-5 เดือนแล้วกลายเป็นยอดฝีมือ นอกจากพวกนักต้มตุ๋นที่หลอกคนอื่นแล้วจี้เฟิงก็ไม่เคยได้ยินชื่อของยอดฝีมือที่ทำได้แบบนั้นมาก่อนเลย
“พี่รองพี่ต้องการจะเอาชนะเซียงยี่โหรวอย่างนั้นเหรอ” จี้เฟิงถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจ “หลังจากที่พี่แต่งงานกับเธอแล้ว มันสำคัญด้วยเหรอว่าใครจะต่อสู้เก่งกว่ากัน?”
“ประเด็นคือถ้าฉันเอาชนะเธอไม่ได้ ฉันก็แต่งงานไม่ได้!” จี้ช่าวเหลยรู้สึกหดหู่มาก
“นี่เป็นเงื่อนไขของเธอเหรอ”จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
จี้ช่าวเหลยแค่นเสียง“มันเป็นเป้าหมายของฉัน!”
ในความเป็นจริงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างจี้ช่าวเหลยและเซียงยี่โหรวไม่ใช่แบบนี้
เมื่อคืนจี้ช่าวเหลยอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับเซียงยี่โหรวเลยจะชวนเธอวอร์มเครื่องนิดหน่อย และเซียงยี่โหรวก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่เธอเสนอเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมาว่าถ้าจี้ช่าวเหลยสามารถเอาชนะเธอได้ ทุกอย่างถึงจะเป็นไปตามที่เขาต้องการ ส่วนเรื่องแต่งงานนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ถ้าจี้ช่าวเหลยไม่สามารถเอาชนะเธอได้ก่อนแต่งงานก็อย่าได้คิดเรื่องอื่นเลย และหลังจากแต่งงานแล้ว จี้ช่าวเหลยจะต้องทำตามคำสั่งของเธอ…
ในฐานะลูกผู้ชายจี้ช่าวเหลยจะยอมให้ผู้หญิงกดขี่อยู่บนหัวได้ยังไง
ต่อให้เป็นผู้หญิงที่เขารักแต่ด้วยนิสัยของจี้ช่าวเหลย เขาทนไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายตัดสินใจอยู่คนเดียวเมื่ออยู่บนเตียง! ดังนั้นจี้ช่าวเหลยจึงต้องการขัดขืน!
แต่ผลก็คือเขาถูกตีจนหัวแตกใบหน้าบวมเป่ง
จี้เฟิงไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้และเรื่องที่น่าอับอายแบบนี้มีหรือที่จี้ช่าวเหลยจะพูดออกมา!
“พี่รองถ้าพี่อยากจะเรียนกังฟูจริงๆ ผมช่วยแนะนำให้ได้นะ แต่ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนผมไม่สามารถรับประกันได้จริงๆว่าพี่จะเก่งขึ้นได้แค่ไหน แต่ถ้าพี่สามารถอดทนฝึกตามที่ผมบอกได้ถึง 1 ปี ผมรับรองว่าพี่จะสามารถเอาชนะเซียงยี่โหรวได้อย่างแน่นอน!” จู่ๆจี้เฟิงก็พูดขึ้น
โอ้วว!
ดวงตาของจี้ช่าวเหลยเป็นประกาย“จริงเหรอ”
“ผมจะโกหกเพื่อ”จี้เฟิงเหลือบมองเขา
“เยี่ยมไปเลย!น้องสามเราจะเริ่มกันได้เมื่อไหร่ดี ชีวิตในอนาคตที่เต็มไปด้วยความสุขของพี่ตกอยู่ในกำมือนายแล้ว!” จี้ช่าวเหลยพูดอย่างจริงจัง
จี้เฟิงหัวเราะ“พี่รอง ไม่ว่าพี่จะใจร้อนแค่ไหน แต่เรื่องบางเรื่องก็ทำแบบรีบๆไม่ได้อยู่ดี เอาเป็นว่าถ้าพี่ช่วยผมทำเรื่องหนึ่งเสร็จ เราจะเริ่มฝึกกันทันที!”
“เรื่องอะไรเหรอ”จี้ช่าวเหลยถามทันที สีหน้าของเขาดูวิตกกังวลมาก
ที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรอแต่ในเมื่อนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตของเขา แล้วจะไม่ให้เขารีบร้อนได้ยังไง
“หลังจากไปเจออาสามที่ค่ายทหารแล้วพวกเราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที” จี้เฟิงหัวเราะเบาๆ เขาก็พอจะเข้าใจได้อยู่ว่าทำไมพี่รองถึงได้ดูเป็นกังวลขนาดนี้