เมื่อได้ยินที่ฉินซูเจี๋ยพูดจี้เฟิงก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน แต่ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ตอนนี้จะโกหกก็ไม่ดีหรือจะให้พูดความจริงก็คงจะไม่เข้าท่า
ช่างมันเถอะพวกเราเข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ภรรยาของพี่ชายฉันกำลังรออยู่ ฉินซูเจี๋ยสังเกตเห็นสีหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนของจี้เฟิง จึงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าคนที่ทำร้ายพี่ชายของเธอจะเป็นจี้เฟิง
ความจริงแล้วถ้ามาคิดดูดีๆก็คงไม่แปลกอะไร จี้เฟิงเป็นใคร เขาคือคนที่กล้าทำให้จี้ช่าวเหลยต้องลำบากใจ แล้วหัวหน้าแผนกสำนักงานทั่วไปเล็กๆจะอยู่ในสายตาได้อย่างไร?
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าทำเรื่องโหดร้ายขนาดนี้จากอาการของพี่ใหญ่ จมูกของเขาแทบไม่เหลือเค้าเดิม ว่ากันว่าเลือดที่ไหลออกมามันมากเสียจนเกือบจะทำให้เขาช็อกตาย… ด้วยสถานะและนิสัยอย่างจี้เฟิง ในตอนนั้นที่เขาไม่ได้ฆ่าพี่ใหญ่ให้ตายคามือก็เรียกได้ว่าเป็นความเมตตาอย่างสูงแล้ว!
ภายใต้การนำทางของฉินซูเจี๋ยจี้เฟิงก็เดินตามเข้าไปในห้องส่วนตัว และพบว่ามีผู้หญิงอายุสามสิบกว่านั่งอยู่ข้างใน เมื่อผู้หญิงคนนั้นมองเห็นจี้เฟิง เธอก็ตกใจทันที จากนั้นดวงตาของเธอก็หรี่ลงด้วยความอาฆาตแค้นแต่เพียงไม่กี่วินาทีเธอก็กลับมาเหมือนเดิมและไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติอีก
จี้เฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อยและยิ้มเยาะอยู่ในใจความแค้นของเธอคงไม่ใช่น้อยๆเลยสินะ!
พี่สะใภ้นี่คือจี้เฟิงคนที่เรานัดพบในวันนี้! หลังจากเห็นหน้าของฟ่านเหลียงกุ้ย รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินซูเจี๋ยก็หายไป เธอหันศีรษะมาแล้วพูดว่า จี้เฟิงนี่คือพี่สะใภ้ของฉัน ฟ่านเหลียงกุ้ย!
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า ต้องขอโทษด้วยที่ผมมาสาย! สีหน้าของฟ่านเหลียงกุ้ยดูไม่พอใจเล็กน้อยแต่เธอก็ฝืนยิ้มออกมาและพูดว่า ไม่เป็นไรๆ นั่งลงก่อน!
จี้เฟิงนั่งลงด้วยท่าทางสบายๆพนักงานเสิร์ฟคนก่อนรีบเดินตามเข้ามาทันที และถามจี้เฟิงด้วยรอยิ้มว่า คุณผู้ชายต้องการจะรับเครื่องดื่มเป็นอะไรดีครับ
กาแฟแก้วหนึ่งก็พอไม่ต้องใส่น้ำตาล! จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและแอบหัวเราะอยู่ในใจ ทัศนคติของการบริการดีขนาดนี้ คงไม่ใช่เพราะทิปที่ได้ไปใช่มั้ย
ได้ครับคุณผู้ชายได้โปรดรอสักครู่! พนักงานเสิร์ฟพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและเดินออกไป
ซูเจี๋ยทำไมเธอกับเขาถึงได้เดินเข้ามาพร้อมกันได้ล่ะ ฟ่านเหลียงกุ้ยถามด้วยความสงสัย
ไม่มีอะไรหรอกแค่ฉันกับจี้เฟิงรู้จักกันมาก่อน แล้วเมื่อกี้เจอกันถึงได้รู้ว่าเขาคือคนที่มีปัญหากับพี่ใหญ่ ก็เลยเข้ามาด้วยกัน… ฉินซูเจี๋ยอธิบายสั้นๆ
จริงเหรอ!
พอฟ่านเหลียงกุ้ยได้ยินแบบนั้นดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เธอกับเขารู้จักกันมาก่อนนี่เอง ดีจังเลยในเมื่อพวกคุณเป็นเพื่อนกันก็น่าจะพูดคุยกันง่ายขึ้น!
ฉินซูเจี๋ยพูดเสียงเรียบว่า พวกเรายังไม่ใช่เพื่อนกัน พวกเราเคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน
ฉินซูเจี๋ยไม่ต้องการให้พี่สะใภ้ของเธอได้คืบจะเอาศอกเพราะถ้าฟ่านเหลียงกุ้ยพูดหรือทำอะไรที่ไม่เข้าท่าขึ้นมาอีก ฉินซูเจี๋ยกลัวว่าฟ่านเหลียงกุ้ยอาจจะทำให้เธอและจี้เฟิงไม่สามารถแม้แต่จะเป็นเพื่อนกันได้ เธอไม่ยินดีที่จะให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
คุณ…จี้เฟิงใช่มั้ย ช่างบังเอิญจริงๆเลย…
ฟ่านเหลียงกุ้ยไม่สนใจที่ฉินซูเจี๋ยพูดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอได้รู้ว่าพวกเขาสองคนเคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน ความมั่นใจของเธอก็เพิ่มมากขึ้นทันที ในความคิดของฟ่านเหลียงกุ้ย ฉินซูเจี๋ยเป็นผู้บริหารบริษัทเครื่องประดับที่ไม่ใช่บริษัทเล็กๆ ส่วนจี้เฟิงก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุยังไม่เท่าไหร่ ยังไงเขาก็ยังเป็นแค่นักเรียนนักศึกษา ต่อให้เขากำลังเริ่มต้นธุรกิจหรือมีธุรกิจเล็กๆเป็นของตัวเอง การที่จะมีโอกาสได้ร่วมงานกับฉินซูเจี๋ยนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าฉินซูเจี๋ย จี้เฟิงก็ไม่กล้าทำอะไรเกินเลย
ส่วนตัวเธอเป็นพี่สะใภ้ของฉินซูเจี๋ยคนที่จี้เฟิงทำร้ายกลับกลายเป็นพี่ใหญ่ของฉินซูเจี๋ย ในสถานการณ์ที่เป็นแบบนี้ จี้เฟิงจะต้องรู้สึกประหม่ามากและกลัวว่าฉินซูเจี๋ยจะไม่ยอมร่วมงานกับเขา ถ้าอย่างนั้น คนที่ได้เปรียบที่สุดในสถานการณ์นี้ก็ต้องเป็นเธอ ฟ่านเหลียงกุ้ย!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฟ่านเหลียงกุ้ยก็แอบดีใจและทัศนคติของเธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไป ฟ่านเหลียงกุ้ยพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาทันที จี้เฟิงในเมื่อเรื่องมันบังเอิญขนาดนี้ ฉันก็ขอพูดแบบเป็นกันเองก็แล้วกันนะ ที่ฉันเรียกเธอมาในวันนี้ เธอคงพอจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไร คนที่เธอทำร้ายร่างกายคือฉินหยูเจี๋ยสามีของฉันและเขายังเป็นหัวหน้าแผนกหนึ่งในสหพันธ์มหาวิทยาลัยอีกด้วย!
คิ้วของจี้เฟิงเลิกขึ้นมุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยแน่นอนว่าเขารู้สึกได้ถึงทัศนคติที่เปลี่ยนไปของฟ่านเหลียงกุ้ยที่มีต่อเขา แต่เพราะเห็นแก่หน้าของฉินซูเจี๋ย เขาจึงไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่รับฟังอย่างเงียบๆ อีกใจหนึ่งก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่
เมื่อเห็นจี้เฟิงไม่ตอบฟ่านเหลียงกุ้ยก็รู้สึกไม่พอใจ เรื่องที่จี้เฟิงทำร้ายฉินหยูเจี๋ย บัญชีนี้เธอยังไม่ได้คิดกับเขา แต่ตอนนี้ยังมานั่งวางท่าทำอวดดีไม่พูดไม่จาอีกอย่างนั้นเหรอ!
จี้เฟิงเธอต้องรู้เอาไว้ด้วยนะว่าสามีของฉันเป็นพี่ชายคนโตของฉินซูเจี๋ย และในเมื่อพี่ชายมีปัญหา เธอคิดหรือว่าฉินซูเจี๋ยที่เป็นน้องสาวแท้ๆจะปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ… ฟ่านเหลียงกุ้ยยกฉินซูเจี๋ยขึ้นมาอ้างกับจี้เฟิงและพูดอีกว่า แต่ฉันก็พอจะรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นเพราะมีความเข้าใจผิดอะไรกันบางอย่าง ดังนั้นฉันจะไม่เอาเรื่องเธอ แต่เธอต้องมาขอโทษสามีของฉัน และไปแจ้งกับสถานีตำรวจว่าจะไม่ดำเนินการต่อใดๆทั้งสิ้น พร้อมทั้งจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับสามีฉันทั้งหมด แล้วมาลืมเรื่องนี้กันไปซะเธอคิดว่าไง!
ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ
จี้เฟิงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ฉินซูเจี๋ยที่นั่งถัดจากฟ่านเหลียงกุ้ยก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี แม้ว่าเธอจะพยายามฝืนยิ้มก็ตาม แต่ใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอก็แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังรู้สึกอับอายขายหน้ามากแค่ไหน ริมฝีปากสีแดงของเธอขยับเล็กน้อยเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ก๊อก!ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังขึ้น พนักงานยกกาแฟเข้ามาและวางลงบนโต๊ะตรงหน้าของจี้เฟิงและยิ้มอย่างสุภาพ ระวังร้อนนะครับคุณผู้ชาย ถ้าต้องการอะไรโปรดเรียกใช้ผมได้ทันที!
ขอบคุณ! จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าจากนั้นก็ยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบเบาๆ
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงไม่มีทีท่าจะให้ทิปอีกพนักงานเสิร์ฟก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ แต่เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมา บางทีลูกค้าคนนี้อาจจะให้ทิปอีกครั้งก่อนกลับก็ได้ พนักงานเสิร์ฟยิ้มอย่างสุภาพและถอยออกไป
แน่นอนว่าจี้เฟิงมองเห็นแววตาแห่งความผิดหวังอยู่ในดวงตาของพนักงานเสิร์ฟเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ เขาต้องการทิปอีกงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ! นายคิดว่าฉันเป็นตู้ ATM หรือยังไง?!
แม้ว่าก่อนหน้านี้จี้เฟิงจะทำไปเพราะมันเป็นมารยาทพื้นฐานของสังคมแต่เขาก็ไม่คิดที่จะเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์แบบนั้นอีก เงินของเขาล้วนได้มาจากความสามารถของเขาเอง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมอบมันให้กับคนอื่นง่ายๆ!
แม้ในความเป็นจริงจี้เฟิงจะรู้ว่าสำหรับร้านกาแฟระดับไฮเอนด์เช่นนี้เงินเดือนขั้นพื้นฐานของพนักงานเสิร์ฟอาจจะไม่สูงมากนัก เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของพวกเขานั้นเป็นทิปที่ได้จากแขก ดังนั้นการที่พวกเขาอยากได้ทิปอย่างออกนอกหน้านั้นก็มีเหตุผล แต่จี้เฟิงก็รู้ว่าตามร้านกาแฟที่มีการให้ทิปกับพนักงานเป็นมารยาทพื้นฐานแบบนี้ส่วนใหญ่แล้วจะถูกนำไปแบ่งสันปันส่วนกันอีกอยู่ดี ซึ่งตรงนี้มันทำให้จี้เฟิงรู้สึกว่าเขาถูกเอาเปรียบ
เรื่องโง่ๆแบบนี้แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วต่อให้เป็นลาก็ไม่มีทางตกหลุมเดียวกันถึงสองครั้งหรอกใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ต้องพูดถึงคนอย่างจี้เฟิง!
ส่วนทางด้านฟ่านเหลียงกุ้ยที่กำลังมองจี้เฟิงจิบกาแฟอย่างสบายใจเฉิบราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปเมื่อครู่มันเลยทำให้เธอรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที เธอแสดงสีหน้าบูดบึ้งอย่างน่าเกลียดโดยไม่ปิดบัง
จี้เฟิง!เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ ไม่มีความสงบนิ่งอยู่ในน้ำเสียงของฟ่านเหลียงกุ้ยอีกต่อไป ข้อเสนอของฉันนั้นถือว่าใจดีกับเธอสุดๆแล้ว การที่ฉันไม่บอกว่าจะฟ้องเธอในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นก็เพราะฉันเห็นแก่หน้าของซูเจี๋ย ลองคิดดูว่าถ้าฉันเกิดเอาเรื่องนี้ไปฟ้องร้องเธอขึ้นมา อย่างน้อยเธอก็จะมีข้อหาติดตัวว่าทำร้ายร่างกายคนอื่นหรือไม่ก็อาจจะกลายเป็นคดีที่รุนแรงถึงขั้นโดนข้อหาเจตนาฆ่า! เธอรู้ใช่มั้ยว่ามันร้ายแรงมากขนาดไหน?!
พี่สะใภ้… ฉินซูเจี๋ยทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เธอไม่สนใจเรื่องเสียหน้าอีกต่อไป เพราะถ้าไปให้ฟ่านเหลียงกุ้ยพูดจาโง่ๆแบบนี้ต่อไป จี้เฟิงไม่โกรธก็คงจะแปลกแล้ว!
แต่ฉินซูเจี๋ยก็ถูกจี้เฟิงพูดขัดจังหวะขึ้นมาพอดี จะฟ้องผมเหรอ เอาสิ ผมจะรอชม!
ห๊ะ! ฟ่านเหลียงกุ้ยทั้งงงทั้งแปลกใจ
หัวใจของฉินซูเจี๋ยพลันเต้นโครมครามและคิดอยู่ในใจ‘แย่แล้ว! ยัยพี่สะใภ้โง่ๆทำให้จี้เฟิงโกรธจนได้!’
จี้เฟิง… ฉินซูเจี๋ยพูดเสียงอ่อยอย่างหมดแรง เธออยากจะพูดให้จี้เฟิงใจเย็น เพราะถ้าเกิดจี้เฟิงโมโหขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นพี่ใหญ่จะตกอยู่ในสภาพไหนก็ยังไม่รู้ได้ แต่ทันทีที่เธอพูดออกไป เธอก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้ง
ปัง! เกิดเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ฟ่านเหลียงกุ้ยตบโต๊ะจนจานและแก้วกาแฟที่อยู่บนโต๊ะสั่นสะเทือนไปหลายทีสีหน้าของฟ่านเหลียงกุ้ยเต็มไปด้วยความไม่พอใจและพูดอย่างโกรธเคืองว่า เจ้าหนู เธอคิดว่าการได้ทำธุรกิจแล้วจะทำให้ตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาได้จริงๆน่ะหรือ เธอรู้หรือเปล่าว่าเธอกำลังคุยกับใครอยู่? ฉันจะเตือนเธอดีๆอีกครั้ง ฉันเป็นพี่สะใภ้ของซูเจี๋ย ถ้าเธอไม่ทำตามที่ฉันบอก ก็อย่าหวังว่าซูเจี๋ยจะดูแลและร่วมมือทำธุรกิจกับเธออีก!
จบแล้ว!มันจบแล้ว…! ใบหน้าของฉินซูเจี๋ยแดงขึ้นด้วยความอับอายเธอรู้สึกราวกับว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดของเธอถูกดูดออกไปภายในพริบตา เธอไม่มีแม้แต่แรงจะพูด เธอทำได้แค่เพียงมองฟ่านเหลียงกุ้ยที่มีสีหน้าน่าเกลียดเต็มไปด้วยความโกรธเคือง และมีประโยคหนึ่งดังก้องอยู่ในหัวของเธอ ไม่มีใครทำร้ายตัวเองได้เท่ากับตัวของเธอเอง…
ฟ่าน…ฟ่านเหลียงกุ้ยใช่มั้ย
จี้เฟิงก็ตกใจกับคำพูดของฟ่านเหลียงกุ้ยเช่นกันเขาต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะมีอาการตอบสนองและพูดอย่างตะกุกตะกัก คุณ… คุณแน่ใจนะว่าที่พูดออกมานั่นคุณพูดกับผม
ถามอะไรไร้สาระ!ถ้าฉันไม่ได้คุยกับเธอแล้วจะคุยกับใครได้อีก! เจ้าหนูจำประโยคต่อไปนี้ไว้ให้ดี ที่ตอนนี้ฉันพูดกับเธอแบบนี้ ก็เพราะเห็นแก่หน้าของซูเจี๋ย และในขณะเดียวกันก็เป็นการให้โอกาสกับเธอด้วย เธอยังเป็นแค่เด็กนักเรียนคนหนึ่ง ชีวิตยังต้องพบเจออะไรอีกมาก! ฟ่านเหลียงกุ้ยพ่นลมออกจมูกและพูดอย่างไม่เป็นมิตรว่า แต่ถ้าเธอไม่ทำตามที่ฉันบอก อย่าว่าแต่ต่อไปในอนาคตซูเจี๋ยจะไม่ดูแลนาย แต่เธอจะถูกไล่ออกจากมหาลัยด้วย แล้วเมื่อถึงเวลานั้นอย่ามาหาว่าฉันใจร้ายที่รังแกเด็กจนหมดอนาคตก็แล้วกัน!
จี้เฟิงตะลึงงันส่วนฉินซูเจี๋ยนั้นไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว
ไม่รู้วิธีที่จะใช้ชีวิตให้ดีไม่พอแต่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้อีกว่าตัวเองกำลังรนหาที่ตาย!
ฉินซูเจี๋ยเองก็คิดไม่ถึงว่าฟ่านเหลียงกุ้ยที่ได้ยินแค่ว่าเธอทำธุรกิจกับจี้เฟิงและจะคิดไปเองว่าจี้เฟิงนั้นต้องพึ่งพาอาศัยเธอซึ่งจริงๆแล้ว…
เดิมทีฉินซูเจี๋ยก็พอจะรู้อยู่ว่าฟ่านเหลียงกุ้ยพี่สะใภ้ของเธอคนนี้เป็นคน เย่อหยิ่ง อวดดี ไร้สาระและไม่ค่อยมีความคิดเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้ฉินซูเจี๋ยเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่ว่าฟ่านเหลียงกุ้ยไม่ค่อยใช้สมองคิด แต่เธอไม่มีสมองเลยต่างหาก! ฟู่วว———— !!
จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงได้มีปฏิกิริยากลับมา เขายิ้มเจื่อนๆและมองไปที่ฉินซูเจี๋ย พี่ฉิน พี่คิดว่าผมควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี
ฉินซูเจี๋ยรู้สึกอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเธอไม่มีหน้าแม้แต่จะสบตากับจี้เฟิงอีกต่อไป เธอรีบก้มศีรษะและด้วยพูดความกระอักกระอ่วน จี้เฟิง นาย… นายไม่ต้องสนใจความรู้สึกของฉันอีกต่อไป! ที่จริงแล้วฉันกับพี่ใหญ่ต่างคนต่างอยู่กันมานานแล้ว พวกเราตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าต่อไปไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก… ส่วนเรื่องนี้นายจะจัดการอย่างไรก็ตัดสินใจได้เลย!
นี่!ฉินซูเจี๋ย! เธอกำลังพูดอะไรของเธอ! ก่อนที่จี้เฟิงจะทันได้พูดอะไร ฟ่านเหลียงกุ้ยก็พูดขึ้นทันทีด้วยความร้อนใจ