ไม่จริงใช่มั้ย!
จี้เฟิงเกาหัวอย่างไม่อยากจะเชื่อแต่ภาพของผู้หญิงนักธุรกิจสาวสวยที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ มีใบหน้าคมเข้มและมีรูปร่างที่อวบอิ่มเย้ายวนปรากฏขึ้นในหัวของเขาอย่างชัดเจน มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงแต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นในเวลาเดียวกัน
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน… จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าฉินหยูเจี๋ยจะมีน้องสาวเป็นฉินซูเจี๋ย!
เจ้าบ้ามีอะไรเหรอ จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะถาม
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า ฉินหยูเจี๋ย… หัวหน้าฉินน่ะ น้องสาวของเขาคือคนที่จัดการเรื่องหยกให้ฉัน ฉินซูเจี๋ยคนคือที่รับซื้อหยกของฉันไป!
เพื่อนๆของจี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าจี้เฟิงเคยเข้าร่วมการพนันหินหยกและสิ่งนี้ก็ทำให้เขาได้เงินมาซื้อวิลล่าหลังใหญ่ รถออดี้และกลายเป็นมหาเศรษฐีภายในพริบตา! ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาคงจะเป็นเด็กยากจนอยู่!
พวกเขารู้ดีว่าอันที่จริงแล้วในใจของจี้เฟิงก็รู้สึกขอบคุณฉินซูเจี๋ยอยู่ไม่น้อยแล้วพอตอนนี้มารู้ว่าฉินซูเจี๋ยคือน้องสาวของหัวหน้าฉิน พวกเขาเองก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรเหมือนกัน
ในเวลานี้ทุกคนก็เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆจี้เฟิงถึงได้มีสีหน้าแบบนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก็คงจะต้องตกตะลึงเมื่อรู้ข่าวนี้
พวกเขายังไม่แน่ใจนักว่าภรรยาของหัวฉินโทรมานัดเจอกับจางเล่ยด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่เธอบอกเพียงแค่ว่าเธออยากพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางทีภรรยาของหัวหน้าฉินอาจต้องการใช้อำนาจของฉินซูเจี๋ยเพื่อกดดันทางพวกเขาไม่ให้เอาเรื่องหัวหน้าฉินและให้ยุติการสืบสาวราวเรื่อง ในเวลานี้ทุกคนต่างเงียบไปไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่พวกเขานั้นรู้ดีว่าผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการตัดสินใจในครั้งนี้ก็คือจี้เฟิง อย่างไรก็ตามจี้เฟิงเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับฉินซูเจี๋ย ดังนั้นมันจะสะดวกว่าถ้าให้เขาเป็นคนตัดสินใจเอง
จางเล่ยยิ้ม เจ้าบ้าถ้าให้ฉันเดานะ ฉันว่าพวกเธอไม่ได้มากดดันเราหรอก บางทีอาจจะมาขอร้องก็ได้ เพราะฉะนั้นตอนเที่ยงนายไปคนเดียวก็แล้วกันนะ ฉันไม่ไป!
ไม่ดีมั้ง! จี้เฟิงส่ายหัวและพูดว่า ถ้าฉินซูเจี๋ยไปด้วย ฉันยิ่งไม่ควรต้องไป เพราะคำพูดบางคำมันลำบากใจที่จะพูด ฉันกับฉินซูเจี๋ยรู้จักกัน ถ้าให้ฉันพูดตรงๆมันอาจจะเป็นการทำร้ายจิตใจเธอเกินไป อย่างน้อยฉันก็ต้องไว้หน้าเธอบ้าง ดังนั้นนายนั่นแหละที่ต้องไป!
บ้าเอ๊ย!
จางเล่ยสบถทันทีและพูดอย่างเหลืออด ไอ้เจ้าบ้า ฟังนายพูดเข้าสิ ให้ฉันรับบทเป็นคนใจร้ายไปพูดกับเธอตรงๆ แล้วไม่คิดว่าฉันจะทำหน้าไม่ถูกบ้างเหรอ เห็นฉันเป็นคนไร้หัวใจไม่มีความรู้สึกว่างั้น? ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองนะว่านายเป็นคนที่โหดร้ายกับเพื่อนได้ขนาดนี้ นายบอกให้ฉันทำแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลย ไม่รู้ล่ะ! ยังไงฉันก็ไม่ไป! อยากจะปฏิเสธก็ไปปฏิเสธเองเลย! แต่ถ้านายยังอยากจะให้ฉันไปคนเดียว ฉันจะทำตามที่พวกเธอขอทุกอย่างและปล่อยให้ฉินหยูเจี๋ยหนีไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเขาพยักหน้าและพูดว่า โอเคๆ ฉันจะไปๆ สรุปว่าเราสองคนไปด้วยกัน โอเค๊!
พูดง่ายๆแบบนี้แต่แรกก็จบแล้ว! จางเล่ยหัวเราะคิกคัก แต่จู่ๆ เขาก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และพูดด้วยความตกใจ เจ้าบ้า! ฉันคิดว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกตินะ!
อืม!ฉันก็คิดเหมือนกันว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง มันแปลกๆยังไงชอบกล! จ้าวไคที่เงียบมาตลอดพยักหน้าและพูดพลางครุ่นคิด แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะดันแว่นตาของเขา
จี้เฟิงอดตกใจไม่ได้ มันแปลกยังไงเหรอเหล่าจ้าว
ให้จางเล่ยพูดดีกว่า! จ้าวไคยิ้มและพูดว่า ผมพยายามเปลี่ยนนิสัยเรื่องการดันแว่นตาเวลาที่ผมพูด ผมเลยต้องใช้สมาธิพอสมควร ไม่สะดวกที่จะอธิบาย
กร๊ากกก!!ฮ่าๆ~! ตู้เส้าเฟิงหัวเราะเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้าและกล่าวว่า ความเป็นไปได้ที่เหล่าจ้าวจะกำจัดนิสัยดันแว่นตาเวลาพูดได้ก็น่าจะพอๆกับรอให้ดวงอาทิตย์ขึ้นในทิศตะวันตกล่ะนะ ฮ่าๆๆ!!
จ้าวไคเบ้ปากและไม่สนใจตู้เส้าเฟิงชายผิวดำตัวใหญ่คนนี้จงใจยั่วยุให้เขาพูดเผื่อว่าเขาจะได้ดันแว่นขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นเขาจะไม่หลงกล
หลังจากที่พูดคุยกันอยู่พักหนึ่งจางเล่ยก็พูดขึ้นมาว่า จริงๆแล้วที่ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติก็เพราะเรื่องที่ภรรยาของฉินหยูเจี๋ยโทรมาหาฉันนั่นแหละ ลองคิดดูสิตอนนี้ฉินหยูเจี๋ยเป็นแค่หัวหน้าแผนกของสำนักงานทั่วไป ต่อให้อาชีพการงานก้าวหน้าในสองสามปีนี้ก็คงไม่ได้เป็นแม้แต่รองผู้อำนวยการแผนกใหญ่ๆอย่างแน่นอน ด้วยพื้นฐานของตระกูลฉินถึงแม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงหรือยิ่งใหญ่อะไรมากนัก แต่ก็พอเป็นที่รู้จักอยู่บางในแวดวง แล้วทำไมเขาถึงต้องให้ภรรยาของเขามาก้มหัวข้อร้องเพียงแค่อยากรักษาตำแหน่งหัวหน้าแผนกเล็กๆแผนกนึงไว้ด้วย อย่างมากก็แค่ลาออก!
จ้าวไคและฮั่นจงพยักหน้าพร้อมกันพวกเขาคิดว่าสิ่งที่จางเล่ยพูดนั้นสมเหตุสมผล ส่วนตู้เส้าเฟิงเขาไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมต่อสู้อย่างเมามัน
จี้เฟิงเองก็พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้สิ่งที่จางเล่ยพูดนั้นสมเหตุสมผลจริงๆ การได้รับผลประโยชน์จากนักศึกษาและการทำเรื่องแบบนี้ให้กับเว่ยเฉียง เป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมและผิดกฎของมหาวิทยาลัยก็จริง แต่เขาเองก็ถูกทุบตีจนหน้าเละขนาดนั้น ในใจคงเกลียดและเคียดแค้นพวกของจี้เฟิงจนต่อให้ตายก็คงไม่มีวันให้อภัย แต่นี่กลับให้ภรรยามาก้มหัวขอร้อง มันจะไม่แปลกเกินไปหน่อยเหรอ
ดังนั้นฉันเลยคิดว่ามันน่าจะมีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง… จางเล่ยยกนิ้วสองนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว แล้วงอลงไปนิ้วหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า อย่างแรก เมียของฉินหยูเจี๋ยไม่ได้มาเพื่อขอร้องอ้อนวอนพวกเรา แต่ต้องการมาแก้แค้น! และสอง ฉินหยูเจี๋ยต้องมีเรื่องเลวร้ายอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย และเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นล่วงรู้หรือถูกตรวจสอบได้! แต่ตอนนี้เขาดันมามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของเว่ยเฉียง เว้นเสียแต่ว่าเราจะไม่สืบสาวราวเรื่อง ไม่อย่างนั้นตำรวจและทางมหาวิทยาลัยจะต้องตั้งคณะสอบสวนเขาอย่างแน่นอน…
อย่างหลังมีความเป็นไปได้มากกว่า! จี้เฟิง จ้าวไคและฮั่นจงพูดออกมาพร้อมกัน จากนั้นพวกเขาก็มองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ความเชื่อมโยงระหว่างเพื่อนพี่น้องนี่มันไม่เลวเลยจริงๆ!
อืม!ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน! จางเล่ยหัวเราะ ถ้าพวกเขาต้องการจะแก้แค้นเรา มันก็มีตั้งหลายวิธี เพราะฉินหยูเจี๋ยก็รู้ตัวตนของพวกเราทุกคน ดังนั้นการจะจ้างนักเลงซักกลุ่มหนึ่งมาลอบทำร้ายพวกเราก็ไม่ใช่เรื่องยาก เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอ้อมไปอ้อมมาเพื่อแก้แค้นพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็เหลือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ฉินหยูเจี๋ยเป็นวัวสันหลังหวะ เขาต้องมีอะไรบางอย่างหลบซ่อนอยู่ในมหาลัย! มันต้องสำคัญมากแค่ไหนกัน ที่ถึงขนาดโดนทุบตีจนต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มก็ยังส่งเมียมาก้มหัวขอโทษ!
จี้เฟิงหัวเราะ เป็นการวิเคราะห์ที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนดีจริงๆ!
จางเล่ยหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าบ้า นี่ถือว่าเป็นโอกาสดีสำหรับนายเลยนะที่จะแสดงน้ำใจ แค่เปิดช่องให้ฝ่ายนั้นมีทางรอดนิดๆหน่อยๆ ก็ถือเป็นน้ำใจที่ใหญ่หลวงแล้ว ถึงเวลานั้นนายกับฉินซูเจี๋ยก็จะไม่มีอะไรติดค้างกันอีก! แยกย้ายต่างคนต่างอยู่ จบ!
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยแต่ในใจกลับยิ้มอย่างขมขื่น จางเล่ยกำลังสะกิดเขาอย่างแรงด้วยคำพูด เหมือนกับจะบอกว่า ‘อย่าได้คิดที่จะไปพัวพันกับฉินซูเจี๋ยอีก… กล้าคิดจริงๆเหรอว่าแฟนสาวสองคนนั้นจะยอมง่ายๆ…’
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เมื่อพูดถึงฉินซูเจี๋ยทีไร ภาพใบหน้าอันงดงามและรูปร่างที่อวบอิ่มเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจก็ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งไป… เธอมีเสน่ห์เหมือนกับเซียวหยูซวน เพียงแต่เธอมีความเป็นผู้ใหญ่กว่า …
จี้เฟิงส่ายหัวและหยุดคิดเรื่องนี้เขาพยักหน้าและหันไปพูดกับจางเล่ยว่า ถ้าอย่างนั้น ตอนเที่ยงก็ไปเจอกันที่นัดเลย จากนั้นก็กวาดสายตามองไปยังคนอื่นๆ ส่วนพวกนายมีธุระอะไรก็ไปทำก่อนเถอะ ถ้าได้เรื่องยังไงฉันจะมารายงานผลให้พวกนายฟังก็แล้วกัน! โอเค!
ดี!โอเคเลย! ถ้าอย่างนั้นฉันต้องกลับไปที่มหาลัยก่อน สถานที่นัดกับเบอร์โทรเมียของฉินหยูเจี๋ยก็อยู่ในกระเป๋าเอกสารนั่นแหละ ฉันจดไว้ให้นายเรียบร้อยแล้ว งั้นฉันไปล่ะนะ! จางเล่ยเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นและวิ่งหนีไป
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นผู้ชายคนนี้ช่าง…
อีกสามคนที่เหลือเมื่อเห็นว่าจางเล่ยวิ่งหนีไปแล้วพวกเขาก็รีบลุกขึ้นและตามจางเล่ยไป พวกเขามากับจางเล่ย ถ้าจางเล่ยขับรถหนีกลับไปก่อน พวกเขาที่เหลือจะต้องเรียกแท็กซี่กลับกันเอง พวกเขาคงไม่ปล่อยให้เรื่องโง่ๆแบบนี้เกิดขึ้นหรอก
ไม่นานบ้านหลังใหญ่ก็เหลือเพียงจี้เฟิงคนเดียว
เซียวหยูซวนและถงเล่ยไปมหาวิทยาลัยด้วยกันตั้งแต่เช้าแล้วเพราะพวกเธอมีคลาสเรียนความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ คนหนึ่งเข้าคลาสเรียนเพื่อไปสอนคนอื่นๆ ส่วนอีกคนเข้าคลาสเรียนเพื่อไปฟังคนอื่นๆสอน
จี้เฟิงนั่งอยู่บนโซฟาในหัวนึกภาพรูปร่างอันอวบอิ่มและมีเสน่ห์ของฉินซูเจี๋ยลอยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้…
จี้เฟิงเริ่มเปรียบเทียบฉินซูเจี๋ยกับเซียวหยูซวนเหตุผลที่เขาไม่ได้เปรียบเทียบฉินซูเจี๋ยกับถงเล่ยก็เพราะทั้งสองคนไม่ใช่สาวสวยประเภทเดียวกัน
จี้เฟิงนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นสีหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนไป
เซียวหยูซวนและฉินซูเจี๋ยเป็นหญิงสาวที่สวยและมีเสน่ห์มากเป็นความสวยเซ็กซี่ยั่วยวนใจผู้ชายให้รู้สึกหลงใหลเคลิบเคลิ้ม แต่มันเป็นเสน่ห์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับความเย้ายวนใจของเซียวหยูซวนแล้วฉินซูเจี๋ยนั้นเป็นผู้ใหญ่มากกว่า เธอดูราวกับลูกพีชที่สุกแล้ว เพียงแค่สัมผัสมันเบาๆน้ำก็จะไหลออกมาทำให้ยากที่จะต้านทานความยั่วยวนนี้ได้ ส่วนเซียวหยูซวนนั้นอ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อยและในเมื่อฉินซูเจี๋ยมีเสน่ห์แห่งความเย้ายวนแบบผู้ใหญ่และเต็มไปด้วยความสง่างามที่ทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่าไม่สามารถเข้าถึงเธอได้ง่ายๆ ดังนั้นเซียวหยูซวนจะเป็นความเย้ายวนใจที่ดูบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเจือปน!
หญิงสาวที่มีเสน่ห์เหมือนกันแต่กลับมีกลิ่นอายที่แตกต่างกันอยู่บนร่างกายของพวกเธอ ไม่ว่าจะแบบไหนก็ชวนให้รู้สึกหลงใหลอยู่ดี…
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็เบิกตากว้างเขารีบส่ายหัวและพึมพำกับตัวเอง ทำไมช่วงนี้ฉันถึงได้คิดแต่เรื่องแบบนี้อยู่ตลอดเลยล่ะเนี่ย ฉันไม่ได้กลายเป็นพวกหมกมุ่นเรื่องอย่างว่าไปแล้วใช่มั้ย?!
แม้เขาจะพูดกับตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าไม่ควรคิดเรื่องนี้แต่จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแฟนสาวของเขาและผู้หญิงคนอื่นที่เขาไม่ได้คบหาด้วย
เซียวหยูซวนถงเล่ย หลี่ลู่หนาน ฉินซูเจี๋ย….
ภาพของพวกเธอลอยเข้ามาอยู่ในหัวของเขา จี้เฟิงอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขารู้ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะในตัวของเขามีสมองอัจฉริยะ! ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาคงยังเป็นแค่เด็กยากจนที่ไร้ค่า อย่าแต่สอบเข้าสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวเลย ต่อให้เป็นวิทยาลัยอาชีวศึกษาระดับสามเขาก็อาจจะต้องลุ้นจนเหงื่อตก!
ทันใดนั้นก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของจี้เฟิงมันทำให้เขารู้สึกตกใจขึ้นมาทันที
เมื่อพูดถึงสมองอัจฉริยะที่มาจากต่างดาวที่สมองเรียกว่ากาแล็กซีแกมมา…หัวใจของจี้เฟิงเต้นแรง แม้ว่าสมองอัจฉริยะจะเป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นแต่มันก็เป็นกระแสอนุภาค แล้วถ้ามันถูกถ่ายโอนไปยังโครงสร้างของหุ่นยนต์ล่ะ มันจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นอิสระหรือเปล่า?!
แต่ไม่นานจี้เฟิงก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ตอนนี้สมองอัจฉริยะถูกซ่อนไว้ในหัวของเขา มันปลอดภัยที่สุดแล้วถ้ากลายเป็นหุ่นยนต์มาปรากฏตัวอยู่ข้างๆเขา มันก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกค้นพบ และในตอนนี้ที่เขายังไม่เก่งมากพอที่จะปกป้องตัวเองและคนรอบข้างได้ จี้เฟิงจะไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนี้อย่างแน่นอน