พี่ฉินถ้าว่ากันตามจริง คำพูดของผู้หญิงคนนั้น… พี่สะใภ้ของคุณ มันเชื่อถือไม่ได้หรอก
BMWx6 กำลังวิ่งอยู่บนท้องถนนโดยมีจี้เฟิงเป็นผู้ขับ เขาหันหน้าไปด้านข้างเป็นครั้งคราวเพื่อมองดูฉินซูเจี๋ยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า จากความคิดผมนะ พี่สะใภ้ของพี่ฉินพูดเพื่อต้องการเอาตัวรอดและปัดความคิดชั่วๆนี้ให้เป็นของพี่ชายของคุณ และความผิดของเธออาจจะเบาบางลง และที่สำคัญ จากที่ผมเห็นในวันนี้ ผมบอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นประเภทที่จะทำอะไรก็ได้ขอแค่ตัวเองรอดก็พอ!
…..
ฉินซูเจี๋ยไม่มีปฏิกิริยาใดๆเธอนั่งเงียบๆอยู่ที่นั่งข้างคนขับและมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเศร้าสร้อย ดวงตาของเธอฉายแววผิดหวังและเศร้าสลดออกมาเป็นครั้งคราว เธอไม่รู้จักคนอื่นและไม่สนว่าคนอื่นจะเป็นยังไงแต่เธอรู้จักพี่ชายของเธอดี พี่ชายที่เติบโตขึ้นมาด้วยกัน
ฉินซูเจี๋ยรู้ถึงนิสัยและความคิดของฉินหยูเจี๋ยพี่ใหญ่ของเธอดีก่อนหน้านี้เธอแค่ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะไม่ว่าฉินหยูเจี๋ยจะแย่แค่ไหน แต่ยังไงนั่นก็เป็นพี่ชายแท้ๆของเธอ เธอไม่อยากมองเขาในมุมที่แย่ที่สุด
แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินฟ่านเหลียงกุ้ยพูดเรื่องพวกนั้นออกมาฉินซูเจี๋ยก็เข้าใจทันทีว่าต่อให้ฉินหยูเจี๋ยพี่ชายของเธอจะไม่ใช่คนบงการ แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมและมีส่วนรู้เห็นอย่างแน่นอน ด้วยนิสัยอย่างพี่ใหญ่ เขาย่อมทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างแน่นอน
ตอนที่ตกลงแยกขาดจากกันฉินหยูเจี๋ย พี่ชายคนโตได้ครอบครองทรัพย์สินส่วนใหญ่ ส่วนฉินซูเจี๋ยขอเพียงเงินทุนให้เพียงพอที่จะไปเริ่มต้นทำธุรกิจเท่านั้น จากนั้นเธอก็อาศัยเส้นสายที่พ่อของเธอสั่งสมมา เพื่อเปิดบริษัทเครื่องประดับซูเหยาและเติบโตมาอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
แน่นอนว่ามีเพื่อนๆหลายคนคอยช่วยเหลือบ้างยกตัวอย่างเช่นจี้ช่าวเหลยและเจิ้งฮ่าวหยูสามีเก่าของเธอ
บริษัทของเธอเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ไม่พ้นต้องมีคนอิจฉา และก็ไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือพี่ชายและพี่สะใภ้ของเธอเอง ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเสนอที่จะเข้าซื้อหุ้นในบริษัทของฉินซูเจี๋ย แต่ฉินซูเจี๋ยปฏิเสธเนื่องจากก่อนหน้านั้นฉินหยูเจี๋ยและฟ่านเหลียงกุ้ยทำไม่ดีกับเธอมากเกินไป จากนั้นพวกเขาทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้ไปมาหาสู่กันเป็นเวลานานหลายปี
ฉินซูเจี๋ยเชื่อว่าถ้าพี่ชายของเธอไม่ยินยอมหรือเห็นด้วยแม้ว่าฟ่านเหลียงกุ้ยจะโลภมากขนาดไหน เธอก็ไม่ฉลาดพอและไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรบุ่มบ่ามมากขนาดนั้นได้
ครั้งนี้ก็เป็นเหตุผลเดียวกันถ้าฉินหยูเจี๋ยไม่เคยพูดถึงหรือปรึกษาหารือกับฟ่านเหลียงกุ้ยบ่อยๆ มีหรือที่ฟ่านเหลียงกุ้ยจะมีความคิดแบบนั้นจนเผลอพูดออกมา!
ฉินซูเจี๋ยส่ายหัวเล็กน้อยและถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก คนที่คิดแต่จะเอาเปรียบเธอ คือพี่ชายแท้ๆของเธอเอง…
พี่ฉินบ้านของคุณอยู่ที่ไหนเหรอ จี้เฟิงที่กำลังขับรถอยู่ถามขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าคุณไม่พูด ผมก็ไม่รู้จริงๆว่าจะขับไปส่งคุณได้ที่ไหน คุณคงไม่ให้ผมขับรถวนอยู่บนถนนแบบนี้ทั้งคืนหรอกใช่มั้ย?
ในตอนนั้นเองเสียงไซเรนของรถตำรวจก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง จี้เฟิงขมวดคิ้วและเหลือบมองไปยังกระจกมองหลังและเขาก็ต้องตกใจทันที เขาอดคิดไม่ได้ว่า ‘ทำไมถึงได้เป็นคุณตำรวจหญิงจอมโหดคนนั้นไปได้ล่ะเนี่ย เป็นเพราะความปากพล่อยของฉันเหรอ? ฉันพูดอะไรร้ายๆแล้วมันจะเกิดขึ้นจริงๆอย่างนั้นสินะ?’
ด้วยสายตาของจี้เฟิงต่อให้อยู่ไกลแค่ไหน เขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ตำรวจจราจรหญิงที่สวมหมวกกันน็อคขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยท่าทางสุดสมาร์ตคนนั้นก็คือตำรวจสาวสุดโหดที่เขาเพิ่งพูดถึงเมื่อเช้า หลี่ลู่หนาน!
เหงื่อเย็นๆของจี้เฟิงไหลออกมาทันทีถ้าผู้หญิงคนนี้ตั้งใจจะทำอะไรแล้วล่ะก็ เธอไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆแน่ แต่วันนี้เขาไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับเธอจริงๆ จี้เฟิงเหลือบมองไปที่ฉินซูเจี๋ยที่นั่งข้างๆ และเห็นว่าเธอยังคงเหม่อลอยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นอกจากทอดถอนใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก วันนี้เธอพบกับเรื่องที่หนักหนาสาหัสจริงๆ
พี่ฉินนั่งดีๆ ผมจะเร่งความเร็ว พอดีว่ามีตำรวจจราจรกำลังไล่ตามพวกเราอยู่ข้างหลัง!
จี้เฟิงแตะคันเร่งเบาๆและเปลี่ยนเกียร์ผ่านแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย (Paddle Shift) ความเร็วของเขาเร็วขึ้นทันที และในชั่วพริบตา BMWx6 ก็พุ่งตัวทะยานออกไปอย่างรวดเร็วและหายไปที่ปลายสุดของถนน
หลี่ลู่หนานหยุดมองทิศทางที่รถBMWx6ของจี้เฟิงหายไป ฟันเขี้ยวสีขาวของเธอขบกันอย่างแรงจนแทบจะหัก เธออดไม่ได้ที่จะสบถออกมา จี้เฟิง ไอ้เด็กบ้า กล้าขับรถหนีฉันอย่างงั้นเหรอ เออ! หนีให้รอดนะ เพราะถ้านายตกอยู่ในมือของฉันเมื่อไหร่ ฉันจะจัดการนายให้ถึงที่สุด!
ในเวลานี้จี้เฟิงได้ขับหนีทิ้งห่างไปไกลหลายสิบกิโลเมตรแล้วแต่รถของเขายังคงวิ่งด้วยความเร็วอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขากำลังนึกภาพตำรวจหญิงสุดโหดหลี่ลู่หนานในตอนนี้ว่าจะเป็นยังไง เธอคงจะโกรธจนคลั่งแล้วแน่ๆ!
เมื่อนึกถึงท่าทางที่กำลังโกรธเคืองของหลี่ลู่หนานจี้เฟิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ทุกครั้งเวลาที่เขาเจอหลี่ลู่หนาน ความสงบนิ่งของจี้เฟิงก็หายไปทุกที เขาอยากจะพูดจาหยอกล้อกลั่นแกล้งเธอสักประโยคสองประโยค ดูเหมือนว่าการทำให้ตำรวจหญิงแสนสวยแต่อารมณ์ร้อนคนนี้โมโหจะเป็นความบันเทิงของเขาอย่างหนึ่ง เมื่อเขามองไปที่กระจกหลังและไม่เห็นหลี่ลู่หนานอีกจี้เฟิงก็ลดความเร็วลงเล็กน้อย เขาหันหน้าไปด้านข้างและถามด้วยรอยยิ้ม พี่ฉิน คุณคงจะไม่ปล่อยให้ผมขับวนไปทั้งคืนแบบนี้จริงๆใช่มั้ย พี่ฉินอยากไปไหนล่ะ? ขอแค่บอกมา ผมจะพาคุณไปทุกที่เลย!
อะไรหรือว่าแม้แต่นายก็รำคาญฉัน?! ฉินซูเจี๋ยถามเสียงต่ำ
จี้เฟิงตกใจทันทีเขาส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะส่งผลกระทบกับเธอมาก ที่จริงพอมาลองคิดอย่างละเอียดแล้ว เมื่อก่อนสามีของเธอก็ทรยศเธอ และตอนนี้พี่ชายแท้ๆของเธออีก เขาคิดที่จะเอาบริษัทของเธอทั้งๆที่เป็นคนขอแบ่งแยกทรัพย์สินของตระกูลและตัดขาดกับเธอไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน… จิตใจของเธอโดนคนใกล้ชิดทำร้าย ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะเศร้าเสียใจมากขนาดนี้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จี้เฟิงก็อดถอนหายใจไม่ได้ผู้คนในโลกนี้ ล้วนเต็มไปด้วยคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนดีกว่าญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน!
คำพูดนี้ไม่ผิดเลยจริงๆ
ฉันขอโทษตอนนี้อารมณ์ของฉันมันไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก เลยทำให้บางคำพูดของฉันรุนแรงไปบ้าง นายอย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลยนะจี้เฟิง เมื่อเห็นจี้เฟิงเงียบ ฉินซูเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา จี้เฟิง ฉันอยากดื่มเหล้า นายหาที่ไหนก็ได้ซักหนึ่งแล้วไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้มั้ย
ตอนนี้!
จี้เฟิงยกข้อมือขึ้นและมองดูไปที่นาฬิกาเขายิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า แต่ตอนนี้มัน… เพิ่งจะบ่ายโมงครึ่ง..
ไปบ้านฉันกันเถอะ! จู่ๆฉินซูเจี๋ยก็พูดขึ้นมาว่า ตอนนี้ฉันยังไม่อยากกลับไปที่บริษัท แล้วฉันก็อยากจะดื่มเหล้า ไปที่บ้านฉันนั่นแหละ ที่นั่นค่อนข้างเงียบสงบ!
….โอเค โอเค! จี้เฟิงพยักหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ
ฉันจะโทรไปสั่งคนให้เตรียมอาหารกับเครื่องดื่มไว้เลย! ฉินซูเจี๋ยหยิบโทรศัพท์ออกมาราวกับว่าเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว เธอกดโทรออกและสั่งอย่างชำนาญ ฟังจากสิ่งที่เธอพูดดูเหมือนว่าเธอจะโทรหาโรงแรมใกล้บ้านเธอเพื่อให้พวกเขาจัดเตรียมอาหาร แต่เมื่อถึงประโยคสุดท้าย จี้เฟิงก็ถึงกับต้องตกใจ แล้วที่สำคัญ อย่าลืมเตรียมวอดก้าไว้ให้ฉัน 4 ขวดด้วยนะ อ้อ! เอาไวน์แดงมาด้วยก็ดี ซัก 2 ขวดก็พอ…
จี้เฟิงตกใจจนเกือบจะจับพวงมาลัยไม่ได้เขารีบหันหน้าไปทางฉินซูเจี๋ยและพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ พี่ฉิน คุณจะเปิดร้านเหล้าเหรอ
วอดก้าจัดอยู่ในจำพวกหนึ่งในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่แรงที่สุดและไหนจะไวน์แดงอีก.. นอกจากจะเปิดร้านเหล้าแล้ว จี้เฟิงก็คิดไม่ออกจริงๆว่าใครจะสามารถดื่มได้เยอะขนาดนี้! เกรงว่าถ้ามีแค่พวกเขาสองคนนั่งดื่มกันไปทั้งอาทิตย์ก็น่าจะยังดื่มไม่หมด!
ฉินซูเจี๋ยไม่ได้ตอบเมื่อวางสายเธอก็ปรับพนักพิงพร้อมกับเอนตัวลงและค่อยๆหลับตา
จี้เฟิงพูดอะไรไม่ออกได้แต่อ้าปากค้างเขาส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็จดจ่ออยู่กับการขับรถ
บ้านของฉินซูเจี๋ยอยู่ทางตอนใต้ของเจียงโจวที่ซึ่งบรรดาเศรษฐีมารวมตัวกัน แทบทุกหลังจะเป็นวิลล่า ส่วนที่เหลือก็เป็นคฤหาสน์ แน่นอนว่าเศรษฐีที่กล่าวถึงในที่นี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคมหรือไม่ก็ใหญ่โตกว่านั้น พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้มีดีแค่ความรวยเท่านั้น แต่ยังต้องมีความแข็งแกร่งด้วย! เพราะการที่จะสร้างคฤหาสน์ในมณฑลเจียงโจวได้นั้นคุณจะต้องมีทั้งเงินและอำนาจมหาศาลที่มากพอ!
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งสองคนก็มาถึงหน้าบ้านของฉินซูเจี๋ย จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ที่นี่เรียกว่าวิลล่าไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ต้องเรียกว่าคฤหาสน์ถึงจะถูก จี้เฟิงนึกถึงวิลล่าของเขา เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้วมันช่างไม่นับเป็นอะไรได้เลยจริงๆ…
ที่ด้านหน้าของคฤหาสน์หลังนี้เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ที่มีการตกแต่งสไตล์ยุโรปภายในรั้วไม้ที่ตกแต่งอย่างสวยงามคือสวนหย่อมขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ประดับต่างๆ
ที่ด้านหลังของคฤหาสน์เหมือนจะมีสระว่ายน้ำอยู่ด้วยแต่เนื่องจากมีตัวอาคารอยู่ด้านหน้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้ทั้งหมด อันที่จริงตั้งแต่ที่เข้ามาในเขตชุมชนจี้เฟิงก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยแล้ว เพราะความกว้างของถนนหน้าบ้านของพวกเขานั้นกว้างถึง 6 เลน มองยังไงๆมันก็ไม่เหมือนกับถนนตามหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อย นี่มันเป็นถนนบนทางหลวงชัดๆ!
ช่างเป็นละแวกที่พักสำหรับมหาเศรษฐีของจริงเลย… จี้เฟิงอ้าปากค้าง วิลล่าของเขาเมื่อนำมาเทียบกับที่นี่แล้ว มันไม่ต่างจากกระท่อมในชนบทเลย อะไรที่ดีและเหมาะสำหรับเราแล้ว ก็ไม่ควรเอาไปเปรียบเทียบกับคนที่เขารวยกว่าจริงๆสินะ ไม่อย่างนั้นอาจจะกลายเป็นขยะไปเลยก็ได้…
จริงๆแล้วที่นี่ไม่ใช่บ้านของฉันหรอกนายก็รู้ บริษัทของฉันอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจในเมืองมหาวิทยาลัย บ้านของฉันก็อยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ฉินซูเจี๋ยอธิบาย บ้านหลังนี้เป็นของคนที่เขาเคยอยากให้ฉันไปเป็นเมียน้อยของเขา เขาเลยมอบมันให้ฉันเป็นของขวัญ…
พอพูดถึงตรงนี้เธอก็จ้องไปที่จี้เฟิงและถามว่า นายคิดว่าฉันเป็นคนหน้าไม่อายรึเปล่า
จี้เฟิงคิดอย่างจริงจังจากนั้นก็ส่ายหัวช้าๆและกล่าวว่า ผมไม่คิดอย่างนั้น คุณเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว ไหนจะดูแลบริษัทอีก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…
ขอบคุณนะแม้ฉันจะรู้ว่านายพูดโกหก แต่อย่างน้อยคำโกหกของนายก็เป็นเรื่องที่ดี… ฉินซูเจี๋ยยิ้มหวาน ที่จริงแล้วฉันไม่ได้เป็นเมียน้อยของเขาหรอก และฉันก็ไม่เคยเป็นเมียน้อยของใคร! ผู้ชายที่ต้องการให้ฉันไปเป็นเมียน้อยของเขาถูกลูกพี่ลูกน้องของนายข่มขู่จนหนีออกจากเจียงโจวไปนานแล้ว ทิ้งคฤหาสน์หลังนี้ไว้เพื่อเป็นการชดเชยให้กับฉัน!
จี้เฟิงอ้าปากค้างแต่เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมฉินซูเจี๋ยถึงเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
เข้าไปในบ้านกันเถอะพูดกันตามตรง นายเป็นผู้ชายคนแรกนะที่ได้มาที่นี่ เพราะแม้แต่ฉันเองก็เพิ่งจะมาเป็นครั้งที่สองเท่านั้น! ฉินซูเจี๋ยยิ้มอย่างมีเสน่ห์
จี้เฟิงรีบเบนสายตาไปจากเธออย่างแนบเนียนฉินซูเจี๋ยเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มาก เธอดูราวกับลูกพีชที่สุกฉ่ำ แค่สัมผัสเบาๆก็มีน้ำหวานไหลออกมา… เขากลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้และทำอะไรที่ไม่สมควรลงไป
สำหรับจี้เฟิงที่อยู่ในวัยเลือดร้อนแล้วการได้อยู่สองต่อสองกับผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์ภายใต้บรรยากาศดีๆ มันเป็นการยั่วยวนที่มากเกินไป!
ผม..ผมจะเอารถไปจอดก่อน! จี้เฟิงกระแอมไอเบาๆ แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเขาไม่รีบไป เขาอาจจะกลายเป็นคนไม่ดีก็ได้…
ฟืดดดด——!!…. ฟู่ววว~~!!
เมื่อมาถึงหน้ารถจี้เฟิงก็สูดลมหายใจยาวและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สถานการณ์เมื่อครู่นี้ช่างทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก มันชวนให้รู้สึกสับสนจริงๆ…
เขาหันกลับไปมองฉินซูเจี๋ยที่กำลังเปิดประตูเข้าไปสู่ห้องรับแขกที่กว้างขวางเขาอดหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้ ‘วันนี้ฉันจะต้องอดทนไว้ให้ได้ อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด!’