Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – บทที่ 1225 : หนิงหลิงยู่เข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่!

บทที่ 1225 : หนิงหลิงยู่เข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่!
  หนิงหลิงยู่นั่งขัดสมาธิลงที่พื้นภายในสวนชั้นที่ห้าและเริ่มฝึกวิชาพฤกษาขจีภายใต้คำแนะนำของหลิงหยุนทันที
และหนิงหลิงยู่เองก็ไม่ได้ทำให้หลิงหยุนผิดหวังเช่นกันเพราะเวลานี้เธอได้เข้าสู่ขั้นซานฉางชี่แล้ว (ขั้นพลังชี่-3) เมื่อเริ่มต้นฝึกวิชาพฤกษาขจี ก็สามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว และเข้าสู่ขั้นที่ห้าในทันที!
“ขั้นที่ห้าเชียวรึ!ไม่เลวเลยทีดียว!”
หลิงหยุนร้องอุทานออกมาอย่างดีอกดีใจเมื่อเห็นว่าเหล่าสมุนไพรภายในสวนเริ่มแตกหน่อผลิใบเพราะวิชาพฤกษาขจีของหนิงหลิงยู่..
หลิงหยุนเองก็ได้ถ่ายทอดวิชาพฤกษาขจีนี้ให้กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเช่นกันแต่ครั้งนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาสามารถเข้าสู่ได้เพียงแค่ขั้นที่สี่เท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหนิงหลิงยู่มีกายอัปสร และสอง.. หนิงหลิงยู่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้ว พลังปราณที่ปลดปล่อยออกมาจึงแข็งแกร่งกว่า และมีความสามารถในการควบคุมพลังปราณได้ดีกว่า และสาม.. ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงนั้นมีพลังชีวิตธาตุไม้ที่ต้นหลิวเทวะปลดปล่อยออกมาอย่างหนาแน่นด้วย..
“เอาล่ะ..ไปกินข้าวกันได้แล้ว”
หนิงหลิงยู่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับถามหลิงหยุนว่า“แล้วสมุนไพรที่โตเต็มวัยเหล่านี้ล่ะ!”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง..ท่านน้าจินเหยียวจะมาเก็บทุกวัน นางมีหน้าที่ดูแลสมุนไพรในสวนแห่งนี้!”
หลิงหยุนเดินนำหนิงหลิงยู่ไปที่บ้านของตนเองในสวนชั้นที่สาม..
ที่ผ่านมานั้น..หนิงหลิงยู่เองได้เห็นด้วยจิตหยั่งรู้ว่า เกาเฉินเฉินอาศัยอยู่กับหลิงหยุนในบ้านหลังนนี้ เพียงแต่นางไม่กล้าที่จะพูดออกไปเท่านั้นเอง
หนิงหลิงยู่เป็นคนเฉลียวฉลาดย่อมรู้ว่าเรื่องใดควรพูด และเรื่องใดไม่ควรพูด..
หลังจากที่ทั้งคู่นั่งลงภายในห้องรับแขกแล้วหลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า “หลิงยู่.. ยันต์ที่พี่เคยให้เธอเก็บไว้ เธอพกติดตัวตลอดมั๊ย”
“พี่ใหญ่..คือฉัน.. ก่อนจะเดินทางมาปักกิ่ง ฉันได้มอบยันต์ทั้งหมดให้กับคนตระกูลฉินไปแล้ว!”
หนิงหลิงยู่ตอบตะกุกตะกักเพราะเธอได้ถือวิสาสะมอบยันต์ของหลิงหยุนให้กับคนตระกูลฉินโดยไม่ได้ขออนุญาต จึงได้แต่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเมื่อหลิงหยุนถามถึง..
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทีของหนิงหลิงยู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลิงยู่.. ท่านแม่เลี้ยงดูพี่มาตั้งแต่เล็ก คนตระกูลฉินย่อมเสมือนคนในครอบครัวของพี่เช่นเดียวกับคนตระกูลหลิง ไม่เห็นจะต้องกังวลใจเลย..”
แต่เมื่อพูดถึงฉินจิวยื่อหนิงหลิงยู่ก็ถึงกับตาแดงก่ำขึ้นมาทันที พร้อมกับรำพึงรำพันออกไป “พี่ใหญ่.. ฉันอยากให้ท่านแม่กลับมา!”
หลิงหยุนเองก็ถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาเช่นกันเขาลุกขึ้นเดินเข้าไปโอบไหล่หนิงหลิงยู่ไว้ พร้อมกับปลอบโยน
“พี่เองก็อยากให้ท่านแม่กลับมาเหมือนกัน..”
“รออีกนิดนะ..อีกไม่นานก็จะถึงวันชุมนุมชาวยุทธแล้ว ถึงตอนนั้นพี่จะไปสำนักกระบี่เทียนซานช่วยท่านแม่กลับมาด้วยตัวเอง!”
หนิงหลิงยู่พูดขึ้นพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม“พี่ใหญ่.. ฉันจะไปสำนักกระบี่เทียนซานพร้อมกับพี่ด้วย!”
“เอ่อ..”
เดิมทีหลิงหยุนเคยคิดที่จะพาหนิงหลิงยู่ไปที่สำนักกระบี่เทียนซานด้วยแต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า หากต้องไปรับรู้เรื่องราวระหว่างฉินจิวยื่อ หนิงเทียนหยา และตี๋เสี่ยวเจิน อีกทั้งเรื่องของตระกูลหนิงกับตระกูลฉิน หนิงหลิงยู่จะสามารถทนรับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้หรือไม่
หลิงหยุนเกรงว่าหนิงหลิงยู่จะได้รับความกระทบกระเทือนใจมากจนเกินไป!
“พี่ใหญ่..ท่านแม่ก็เป็นแม่ของฉันด้วยนะ!”
“เรื่องของตระกูลหนิง..ท่านปู่ได้เล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว!” หนิงหลิงยู่รู้ดีว่าหลิงหยุนกำลังกังวลใจเรื่องอะไร จึงรีบบอกเขาไปทันที
“นี่เธอรู้เรื่องหมดแล้วเหรอ!”
หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความประหลาดใจในขณะเดียวกันก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วจึงบอกกับหนิงหลิงยู่ว่า
“หลิงยู่..พี่ให้เธอตามไปงานชุมนุมชาวยุทธไม่ได้จริงๆ เพราะมันอันตรายเกินไป! แต่หลังจากสิ้นสุดงานชุมนุมชาวยุทธแล้ว พี่จะโทรหาเธอ แล้วพวกเราค่อยเดินทางไปที่สำนักกระบี่เทียนซานด้วยกัน!”
หลังจากที่หลิงหยุนรับปากเช่นนั้นหนิงหลิงยู่ก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี นางรีบเอื้อมมือไปโอบแขนหลิงหยุนไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พี่ใหญ่..ฉันไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ!”
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับตอบไปว่า“เด็กโง่! ต่อให้เธอจะแข็งแกร่ง หรือเก่งกาจมากแค่ใหน ในสายตาของพี่เธอก็ยังเป็นน้องสาวที่พี่ต้องคอยปกป้องดูแลอยู่ดี!”
หลิงหยุนเอื้อมมือไปช่วยเช็ดน้ำตาให้กับหนิงหลิงยู่พร้อมกับพูดต่อว่า “เธอต้องเชื่อฟังพี่นะ! ระหว่างที่พี่ไปงานชุมนุมชาวยุทธ เธอก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย หลังจากพี่เสร็จธุระแล้ว เธอค่อยตามพี่ไปนะ.. ดีมั๊ย!
“อืมม..ดีๅ”
จากนั้น..หลิงหยุนก็เรียกสิ่งของมากมายออกมาจากแหวนจักรวาลของตน มีทั้งยันต์หลากหลายชนิด โอสถหยิน–หยาง โอสถหลงหู่ โอสถปราณมังกร และอีกมากมายหลายอย่าง เขาจัดการแบ่งทุกอย่างให้กับหนิงหลิงยู่ครึ่งหนึ่ง..   ระหว่างนั้นก็ได้อธิบายสรรพคุณของยันต์และโอสถชนิดต่างๆ ให้หนิงหลิงยู่เข้าใจ “หลิงยู่.. ตอนนี้เธอก็มีแหวนพื้นที่แล้ว เก็บยันต์และสิ่งเหล่านี้ติดตัวไว้ใช้ในยามฉุกเฉินนะ!”
“น้องพี่..อยากได้อาวุธติดตัวไว้บ้างมั๊ย”
“พี่ใหญ่..ตอนนี้ฉันสามารถควบคุมกระบี่น้ำได้ถึงสิบสองเล่มแล้ว และยังมียันต์ธาราด้วยแบบนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถใช้กระบี่น้ำได้ทุกที่ แค่นี้ก็เหมือนพกอาวุธติดตัวตลอดเวลาแล้วล่ะ”
“เอาล่ะ..ในเมื่อเธอไม่ต้องการอาวุธ ไว้พี่จะสร้างกระบี่เหินเหมือนอยางกระบี่เหินเงาธนูเล่มนี้ให้กับเธอ!”
หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับคลายกระบี่เหินเงาธนูออกมาและบังคับควบคุมกระบี่เหินของตนให้หนิงหลิงยู่ดู หนิงหลิงยู่ถึงกับจ้องมองด้วยความตกตะลึง!
จากนั้นหลิงหยุนจึงบอกกับหนิงหลิงยู่ว่า“หลังจากที่เข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ และผ่านพ้นการรับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จแล้ว พี่จะถ่ายทอดวิชาให้กับเธอเพิ่มเติม เพื่อให้เธอไว้ใช้สำหรับป้องกันตัว!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้อธิบายให้หนิงหลิงยู่ฟังถึงความสำคัญและวิธีการรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังจะเกิดขึ้น..
…..
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนจึงสั่งให้หนิงหลิงยู่ไปฝึกวิชาเพียงลำพัง ส่วนตัวเขาเองก็แยกไปฝึกวิชาอยู่ร่วมสองชั่วโมงเช่นกัน
และตกดึก..หลิงหยุนก็ได้เดินไปยังสวนชั้นที่หก และพบว่าตี้เสี่ยวอู๋กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ข้างต้นหลิวเทวะวิญญาณรอเขาอยู่แล้ว..
“เสี่ยวอู๋..นายพร้อมหรือยัง!”
“ฉันพร้อมแล้วพี่หยุน!”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี..นายเริ่มเดินลมปราณเพื่อทะลวงเข้าสู่ด่านต่อไปได้เลย ฉันจะคอยดูอยู่ห่างๆ..”   จากนั้นหลิงหยุนก็ไปนั่งขัดสมาธิลงตรงข้ามกับตี้เสียวอู๋และได้เผาเสินหยวนไปหนึ่งร้อยหยดในระหว่างที่รอให้ตี้เสี่ยวอู๋ใช้วิชานู่เตาขับเคลื่อนลมปราณภายในจุดตันเถียนของตนเอง พลังปราณภายในร่างกายของตี้เสี่ยวอู๋เริ่มส่งเสียงดังครืนๆ และค่อยๆพุ่งเข้าสู่เส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูทันที!
เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเส้นลมปราณเยิ่น และเส้นลมปราณตูของตี้เสี่ยวอู๋ก็เปิดออกเชื่อมต่อถึงกัน และตี้เสี่ยวอู๋ก็เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนในที่สุด!
“โคจรลมปราณเข้าสู่จุดซือไห่”หลิงหยุนร้องเตือน..
ตี้เสี่ยอวู๋ฝึกวิชานู่เตาซึ่งมีพลังปราณที่แข็งแกร่งและรุนแรงดั่งคลื่นคลุ้มคลั่ง หลิงหยุนจึงแทบไม่ต้องช่วย ตี้เสี่ยวอู๋ก็สามารถโคจรลมปราณทะลวงเข้าสู่จุดซือไห่ได้อย่างไม่ยากเย็น..
“ยังคงต้องโคจรลมปราณผ่านจุดซือไห่ไปอีกสักระยะ..”หลิงหยุนร้องบอกตี้เสี่ยวอู๋ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
และตี้เสี่ยวอู๋ก็สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-1ได้ แต่ยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เขายังคงเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-2 ขั้นเซียงเทียน-3
จนกระทั่งเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-4หลิงหยุนจึงสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋อ้าปาก และเขาก็ได้หย่อนโอสถหลงหู่ลงไปในปากของตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับสั่งว่า
“กลืนโอสถนี้ลงไป..”
จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปนั่งขัดสมาธิลงที่ด้านหลังของตี้เสี่ยวอู๋และแนบฝ่ามือทั้งสองข้างของตนลงไปบนแผ่นหลังของตี้เสี่ยวอู๋..
“เดินลมปราณต่อไป..”
ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้ถ่ายเพลังปราณของตนลงไปในร่างของตี้เสี่ยวอู๋เพื่อช่วยให้โอสถหลงหู่กระจายไปตามเส้นลมปราณทั่วร่าง
และในเวลาเพียงไม่นาน..ตี้เสี่ยวอู๋ก็สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-5!   “พี่หยุน..ฉันรู้สึกว่ายังสามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อีก” ตี้เสี่ยวอู๋ร้องบอกหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้น
แต่หลิงหยุนตอบกลับไปว่า“เป็นไปได้.. แต่ไม่ควรทำ! สำคัญคือความมั่นคงของแต่ละขั้น!”
หลิงหยุนรู้ว่าหากเขาใช้โอสถปราณมังกรช่วยตี้เสี่ยวอู๋ก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทีน-6 ได้ในทันที เพียงแต่เขาไม่ต้องการทำเช่นนั้น
“เสี่ยวอู๋..จิตหยั่งรู้ของนายมีรัศมีเท่าไหร่”
“สองกิโลเมตรน่าจะได้”
จิตหยั่งรู้ในรัศมีสองกิโลเมตรย่อมเทียบเท่ากับขั้นเอ้อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-2) แต่ก็ยังเป็นขั้นพลังชี่เพียงแค่ชื่อเท่านั้น ผู้ที่จัดว่าเข้าสู่ขั้นพลังชี่ที่แท้จริงนั้น จะต้องสามารถกลั่นปราณบ่มเพาะจิตได้
หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือว่า..ต้องสามารถกลั่นปราณในร่างกายให้กลายเป็นเสินหยวนได้นั่นเอง จากนั้นจึงนำเสินหยวนนี้ไปใช้แสดงพลังที่เหนือธรรมชาติต่อไป นี่จึงเป็นการเข้าสู่ขั้นพลังชี่อย่างแท้จริง!
สำหรับตี้เสี่ยวอู๋ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น..การจะกลั่นปราณเป็นเสินหยวนได้ยังนับว่าต้องใช้เวลาอีกสักระยะ หลิงหยุนเองก็ไม่ได้รีบร้อนนัก..
พรึบ..
จู่ๆร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นภายในสวนชั้นที่หก และก็ไม่ใช่ใครที่ใหน แต่เป็นหลิงลี่นั่นเอง..
“เก่งมากพ่อหนุ่ม!สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5 ได้แล้วรึ! ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว!”
หลิงลี่ถึงกับต้องเอ่ยปากชมตี้เสี่ยวอู๋..
ตี้เสี่ยวอู๋รีบลุกขึ้นยืมทักทายหลิงลี่พร้อมกับยกมือขึ้นเกาศรีษะอย่างเก้อเขิน “ท่านปู่หลิง.. ต้องขอบคุณพี่หยุนต่างหาก!”   หลิงลี่จ้องมองตี้เสี่ยวอู๋ตั้งแต่หัวจรดเท้าในทีุ่สดก็พูดขึ้นว่า “นี่พ่อหนุ่ม.. ดูเหมือนเจ้าจะฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว มาประลองกับข้าดูหน่อย!”
ตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับส่ายหน้าและตอบกลับไปทันที ‘ท่านปู่หลิง.. ข้าไม่กล้า!”
หลิงลี่ถึงกับหรี่ตามองพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ทำไมเล่า! มาประลองกับข้า.. นอกจากจะได้ทดสอบความแข็งแกร่งของตนเองแล้ว ขั้นของเจ้าจะยิ่งมั่นคงมากขึ้นด้วย!”
ตี้เสี่ยวอู๋สัมผัสได้ถึงพลังปราณที่พวยพุ่งออกจากร่างของหลงลี่เช่นนั้นมีหรือที่ตี้เสี่ยวอู๋จะกล้า..
แต่หลิงหยุนกลับหันไปทางตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ในเมื่อท่านปู่จะเมตตาช่วยชี้แนะให้กับนาย นายยังจะลังเลอะไรอยู่อีกล่ะ! ตอบตกลงไปสิ..”
เวลานี้หลิงลี่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับที่หนึ่งแล้วและใกล้จะเข้าสู่ระดับที่สองในเวลาอีกไม่นาน ต่อให้ตี้เสี่ยวอู๋ใช้พลังปราณทั้งหมดของตนที่มี ก็ไม่มีทางที่จะทำอันตรายหลิงลี่ได้เลย หลิงหยุนจึงไม่ได้รู้สึกังวลอะไร..
เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนอนุญาตตี้เสี่ยวอู๋จึงร้องบอกหลิงลี่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ท่านปู่หลิง.. ได้โปรดชี้แนะด้วย!”
หลิงลี่หัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับชักชวนตี้เสียวอู๋ไปยังห้องฝึกวรยุทธตระกูลหลิงทันที!
จากนั้นทั้งคู่ก็กระโดดออกจากสวนชั้นที่หกไปทันทีหลิงหยุนจึงได้แต่ส่ายหน้า และพึมพำกับตัวเอง
“ท่านปู่คงหายเหงาแล้วสินะ!”
……
เวลาสี่ทุ่มตรง..หลิงหยุนขับรถพาหนิงหลิงยู่ออกจากตัวเมืองปักกิ่ง และกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงเข้าสู่อ่างเก็บน้ำมี่หยุน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา..ทั้งคู่ก็มาถึงเส้นทางเข้าอ่างเก็บน้ำมี่หยุน หลิงหยุนจึงจอดรถและร้องบอกให้หนิงหลิงยู่ลงมา
หนิงหลิงยู่รู้ได้ทันทีว่าที่นี่คือสถานที่ที่หลิงหยุนเลือกให้ตนเข้าสู่การรับทัณฑ์สวรรค์ในเมื่อหนิงหลิงยู่ฝึกวิชาคลื่นคงคา สถานที่เหมาะสมที่สุดก็ย่อมเป็นสถานที่ที่มีน้ำจำนวนมหาศาล..
ไม่ว่าจะเป็นทะเลแม่น้ำ หรือแม้แต่ทะเลสาบก็ย่อมได้..
แต่ในเมื่อในปักกิ่งไม่มีทั้งสามอย่างที่พูดมาหลิงหยุนจึงต้องเลือกที่จะมายังอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้แทน..
แต่ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นสถานที่ที่มีผืนน้ำขนาดใหญ่เท่านั้นจึงจะฝึกวิชาคลื่นคงคาได้เพียงแต่ที่นี่นอกจากจะมีน้ำจำนวนมากแล้ว ยังเป็นสถานที่ปิดเหมาะแก่การรับทัณฑ์สวรรค์ยิ่งนัก เพราะภูมิประเทศในบริเวณอ่างเก็บน้ำมี่หยุนนั้น ค่อนข้างลึกลับซับซ้อน และล้อมรอบไปด้วยภูเขามากมาย ยากนักที่ในเวลาค่ำคืนดึกดื่นเช่นนี้จะมีผู้คนผ่านไปผ่านมาได้..
หลังจากที่สองพี่น้องเดินลงจากรถแล้วหลิงหยุนจึงได้เรียกเอารถเข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาลของต้นเอง..
“….”
หนิงหลิงยู่ถึงกับตกตะลึงแต่หลิงหยุนกลับพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “น้องพี่.. ยังปรับตัวไม่ได้อีกเหรอ!”
ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดมิด..หลิงหยุนคายกระบี่เหินเงาธนูออกมา และใช้พลังจิตสั่งให้มันขยายใหญ่ขึ้นเพื่อพาตนกับหนิงหลิงยู่บินขึ้นไปกลางอากาศ
“หลิงยู่..ขึ้นมาเร็วเข้า!”
“พี่ใหญ่..นี่.. นี่มัน..”
หนิงหลิงยู่ถึงกับตกตะลึงอีกครั้งและเริ่มรู้สึกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น.. แต่ก็เพียงประเดี๋ยวเดียวนั้น หนิงหลิงยู่ก็สามารถปรับสภาพจิตใจได้ และรีบขึ้นไปยืนข้างหลิงหยุนทันที!   จากนั้น..ทั้งสองพี่น้องก็เหินขึ้นสู่กลางอากาศ!
“พี่ใหญ่..นี่คือกระบี่เหินยู่เจี้ยนที่เล่าขานกันมาจริงๆเหรอ!” หนิงหลิงยู่เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว..แต่พี่เพิ่งจะฝึกบังคับควบคุม ยังไม่สามารถบินไปไกลๆได้ แต่ก็สามารถพาเธอบินข้ามไปรับทัณฑ์สวรรค์อีกฝั่งได้!”
“ยืนนิ่งๆล่ะ!”
หลิงหยุนร้องเตือนหนิงหลิงยู่จากนั้นจึงควบคุมกระบี่เหินเงาธนูให้ค่อยๆ บินฝ่าเข้าไปในความมืด..
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกในการบินของหนิงหลิงยู่แต่นางก็เพียงแค่ตื่นเต้นเล็กน้อย ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
ระหว่างที่หนิงหลิงยู่เกาะไหล่หลิงหยุนแน่นนั้นหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า “หลิงยู่.. เป็นเพราะพี่ยังไม่มีเวลาสอนเธอ ความจริงแล้วขั้นของเธอในเวลานี้ ก็สามารถกลั่นหยดเสินหยวนเพื่อใช้พลังวิเศษบังคับกระบี่เหินได้แล้ว..”
หลิงหยุนบินสูงจากพื้นเดินเพียงแค่ห้าสิบเมตรเท่านั้นและในที่สุดก็บินผ่านผิวน้ำไปถึงด้านบนของอ่างเก็บน้ำมี่หยุนได้..
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูและในที่สุดก็พบสถานที่ที่เหมาะสม จึงได้บอกกับหนิงหลิงยู่ว่า
“หลิงยู่..อีกไม่นานเธอก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ได้แล้ว จากนั้นเธอก็จะสามารถเหาะเหินไปบนอากาศได้..”
“ห๊ะ!จริงๆเหรอ?!”
หนิงหลิงยู่ได้ยินว่าตนเองจะสามารถเหาะเหินไปบนอากาศได้จึงร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. ไปที่นั่นกันดีกว่า!”
เมื่อไปถึงทั้งหลิงหยุนและหนิงหลิงยู่ก็กระโดดลงไปยืนบนฝั่งทันที..
บริเวณด้านหน้าของคนทั้งคู่เป็นผืนน้ำยาวหนึ่งร้อยเมตรกว้างสามสิบเมตร และล้อมรอบไปด้วยภูเขาทั้งสามด้าน จึงแทบไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้คนมาพบเห็นเข้า
“หลิงยู่..ไม่ต้องกลัวนะ! พี่จะคอยคุ้มครองเธอเอง!”
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกขั้นสุดสำรวจไปรอบๆบริเวณ พร้อมกับร้องบอกหนิงหลิงยู่ให้มั่นใจ!
หนิงหลิงยู่นั่งขัดสมาธิลงบนก้อนหินแบนราบก้อนหนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นถามหลิงหยุน “พี่ใหญ่.. ทันทีที่ฉันเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ทัณฑ์สวรรค์จะผ่าลงมาทันทีเลยงั้นเหรอ!”
หลิงหยุนยิ้มให้พร้อมตอบกลับไปว่า“ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล.. แต่โดยส่วนใหญ่ผู้ฝึกบ่มเพาะพลัง มักจะมีเวลาและรู้ตัวก่อน น้อยมากที่จะอสุนีบาตจะผ่าลงมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า..”   “หลิงยู่..ทำใจให้สบาย ไม่ต้องกังวลใจ จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาขั้นของเธอ เรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เอง!”
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวในใจของหนิงหลิงยู่จึงพูดปลอบประโลม และให้ความมั่นอกมั่นใจกับนาง..
“ค่ะพี่ใหญ่!”
จากนั้น..หนิงหลิงยู่ก็เริ่มโคจรลมปราณด้วยวิชาคลื่นคงคา เวลานี้หนิงหลิงยู่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้ว และทันทีที่เริ่มโคจรลมปราณก็สามรถเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ได้ในทันที!
จิตหยั่งรู้ของหนิงหลิงยู่ขยายออกไปไกลถึงสี่พันเมตรหนิงหลิงยู่สามารถผ่านเข้าสู่ระดับเริ่มต้นขั้นซื่อเฉิงชี่ได้..
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง..หนิงหลิงยู่ก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) หลังจากที่มั่นใจว่าขั้นของตนเองเริ่มเสถียรแล้ว หนิงหลิงยู่จึงได้ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงงเล็กน้อย..   “พี่ใหญ่..ทำไมถึงไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ทำไมฉันรู้สึกคล้ายกับว่าตนเองเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นเอ้อเฉิงชี่กับซานเฉิงชี่เท่านั้น?!”
หนิงหลิงยู่ร้องถามหลิงหยุนด้วยความงุนงง..
Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท