บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 584

ตอนที่ 584

คืนนี้ตอนที่หลี่เย่กลับมา ใบหน้าก็ดูเคร่งขรึม อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ถาวจวินหลันย่อมต้องเดาได้ว่าคงมีเรื่องไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น จึงเอ่ยปากถาม

หลี่เย่ถอนหายใจ “กลุ่มประท้วงชนะติดต่อกันหลายครั้ง เดินทางมาถึงพื้นที่อุดมสมบูรณ์ฝั่งเจียงหนานแล้ว วันนี้ข้ากับซินพานลองวิเคราะห์ กลุ่มประท้วงเหล่านั้นคงคิดจะครองพื้นที่อีกหลายแห่ง จากนั้นก็จะใช้เป็นฐานทัพ เพิ่มทัพทวีคูณ เตรียมพร้อมสำหรับวันข้างหน้า”

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “กลุ่มประท้วงเก่งขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ? เพราะว่าในนั้นมีทหารกล้าอยู่ด้วยหรือไม่? แต่หากเป็นกลุ่มทหารที่ผู้ประสบภัยรวมตัวกันเอง เกรงว่าคงไม่เก่งขนาดนี้ หรือว่าทหารฝ่ายเราไร้ประโยชน์เกินไปเพคะ?”

หลี่เย่หน้าตาไม่น่ามองเป็นอย่างมาก “ข้าและซินพานก็สงสัยเช่นเดียวกัน ฝ่ายตรงข้ามนอกจากมีคนที่มีความรู้ทางการทหารแล้ว ก็จะต้องมีคนที่เข้าใจการจัดวางทหารของฝ่ายเราเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นพวกเขาจะรู้จุดอ่อนของกำลังทหาร จนเอาชนะติดต่อกันได้อย่าไร? แม้แต่ที่ไหนมีคลังทหาร ที่ไหนมีคลังอาหาร พวกเขาก็รู้ทั้งนั้น”

พอพูดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็สูดหายใจลึกในทันใด ความหมายของหลี่เย่คือ ราชสำนักมีหนอนบ่อนไส้ ขายข่าวให้อีกฝ่ายหนึ่ง

หากเป็นเช่นนี้ กบฏกลุ่มนี้คงปราบได้ยากแล้ว สำหรับราชสำนักแล้วยิ่งถือเป็นข่าวร้าย หากพื้นที่อุดมสมบูรณ์เขตเจียงหนานถูกครอบครองจริง ต่อจากนี้ไปรายรับภาษีของราชสำนักก็จะน้อยลงไปกว่าครึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขตเจียงหนานได้ชื่อว่าเป็นยุ้งฉางของใต้หล้าเลย หากเป็นเหมือนที่หลี่เย่คาดการณ์ อีกฝ่ายก็คงเติบโตอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะก่อสงครามขึ้นอีกครั้ง จัดการยึดครองราชสำนักที่เสียหายอย่างหนัก

ถึงเวลานั้นเกรงว่าตระกูลผู้นำแคว้นนี้คงจะเปลี่ยนไปแล้ว

สำหรับหลี่เย่แล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี อย่างแรกด้วยเพราะตอนนี้เขาจัดการเรื่องราชการ หากทำการศึกแพ้ตลอด ก็คงมีคนไม่น้อยที่คิดว่าเป็นความผิดของเขา อย่างที่สองหากเป็นเช่นนี้จริง ต่อให้ในอนาคตเขาครองราชบัลลังก์ สุดท้ายแล้วสิ่งที่สืบทอดก็เป็นแค่เพียงแคว้นที่มีสภาพยับเยิน ไม่ช้าก็เร็วต้องมาถึงจุดจบอยู่ดี แล้วสิ่งที่เขาทุ่มเทไปมากขนาดนี้ ก็ถือว่าสิ้นเปลืองแล้ว

“ถ้าเช่นนั้นต้องรีบคิดหาวิธีถึงจะถูก” ถาวจวินหลันย่อมไม่หวังให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ดังนั้นจึงอดร้อนใจไม่ได้

หลี่เย่หัวเราะขมขื่น “หากจับหนอนบ่อนไส้ไม่ได้ เกรงว่าคงไม่อาจเอาชนะได้ อีกอย่างนายทหารนำทัพที่มีความสามารถในราชสำนักก็ไม่เยอะ นอกจากจะใช้กำลังพลของตระกูลหวัง”

ถาวจวินหลันย่อมรู้ว่าผลลัพธ์ของการเรียกใช้ตระกูลหวังคืออะไร นั่นเท่ากับต่อลมหายใจให้กับฮองเฮา เพิ่มเบี้ยต่อรองให้ตระกูลหวัง หากครั้งนี้พึ่งตระกูลหวัง ต่อจากนี้คิดจะกำจัดตระกูลหวังก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

หากกำจัดตระกูลหวังที่มีผลงานสูงส่ง ก็ไม่อาจทำได้ เพราะคำพูดที่ว่า ‘เสร็จนาฆ่าโค เสร็จศึกฆ่าขุนพล’ และวิธีเช่นนี้มีแต่จะทำให้คนเกลียดเขามากขึ้น เป็นขุนนางเหมือนกัน ถึงเวลานั้นหากหลี่เย่กล้าเล่นงานตระกูลหวังจริง ขุนนางในแผ่นดินนี้คงบาดหมางกับเขาเป็นแน่ นอกจากหลี่เย่อยากจะเป็นกษัตริย์ผู้โดดเดี่ยว

แม้ฮ่องเต้จะเรียกตนเองว่าผู้นำ ‘โดดเดี่ยว’ แต่ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวโดยแท้จริง ไม่มีขุนนางและประชาชนสนับสนุน ยังจะถือว่าเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร?

เห็นได้ชัดว่าหลี่เย่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ไม่แปลกที่สีหน้าของเขาจะไม่น่ามองขนาดนี้

ถาวจวินหลันเริ่มอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

คิดไม่ถึงว่ากว่าจะเดินมาถึงวันนี้นั้นไม่ง่าย สุดท้ายแล้วก็ยังต้องก้มหัวให้ฮองเฮา ก่อนหน้านี้นางยังลำพองใจ คิดว่าฮองเฮาควรมีชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดจนกว่าจะสิ้นใจ แต่คิดไม่ถึงว่าลมน้ำพัดพาวันเปลี่ยนแปลง วันนี้จะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมา

“ท่านเล่าคิดว่าอย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันรีบข่มความรูสึกของตนเอง เพราะว่าจู่ๆ นางก็คิดได้ว่า หลี่เย่รู้สึกแย่พอแล้ว หากนางยังเป็นเช่นนี้ หลี่เย่เห็นแล้วไม่ยิ่งกังวลหรืออย่างไร? ดังนั้นนางไม่อาจเป็นเช่นนี้ ในทางตรงกันข้าม นางควรจะต้องใจกว้างมากกว่านี้ เช่นนี้ถึงจะทำให้หลี่เย่อารมณ์ดีได้โดยเร็ว

หลี่เย่ส่ายหน้า “คิดจะตัดสินใจไม่ใช่เรื่องง่าย ให้ข้าคิดเรื่องนี้อีกหน่อยเถิด”

ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บางทีอาจจะไม่ต้องใช้คนของตระกูลหวังก็ได้ ซินพานเป็นคนเก่ง ไม่สู้ว่า…”

“ซินพานจะต้องให้อยู่ดูแลวังหลวง ไม่อาจออกไปง่ายๆ” หลี่เย่ถอนหายใจอกมา ยังคงส่ายหน้า “มีเพียงวิธีนี้ ข้าถึงจะไม่พะวงหน้าพะวงหลัง”

ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน เรื่องการบีบราชบัลลังก์นั้นเกิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ดังนั้นคิดจะทำการใหญ่ ทางที่ดีต้องมีกองทหารในเมืองหลวงไว้ในกำมือของตนเอง ไม่ว่าจะป้องกันคนอื่นไม่ให้บีบราชบัลลังก์ หรือว่าเหลือทางหนีทีรอดไว้ให้ตนเอง ล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีทั้งนั้น

ถาวจวินหลันเข้าใจว่า ‘วางใจ’ ที่หลี่เย่พูดถึงหมายความว่าอะไร ดังนั้นย่อมไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดและปลอบประโลมอะไรอีก ซินพานเก่งก็จริง แต่น่าเสียดายที่มีคนเดียว ไม่อาจแยกร่างได้

ถาวจวินหลันห้ามไม่ให้ตนเองเผลอถอนหายใจ ยิ้มและพูดว่า “อย่าเพิ่งคิดเรื่องเหล่านั้นเลยเพคะ วันนี้หม่อมฉันทำขนมหวานเอาไว้ ท่านมาลองชิมดูไหมเพคะ ซวนเอ๋อร์ชอบเป็นอย่างมาก”

หลี่เย่ย่อมไม่อยากพูดเรื่องน่าหงุดหงิดเหล่านี้อีก ดังนั้นจึงพยักหน้ายิ้ม “อืม ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาทานอาหาร เอามารองท้องก่อนก็ดี ตอนกลางวันยุ่งคุยงาน แม้แต่ชาร้อนๆ ก็ยังไม่ได้ดื่ม ได้ของหวานที่เจ้าให้คนส่งมาเมื่อบ่ายรองท้องไปเล็กน้อย ตอนนี้เริ่มหิวเสียแล้ว”

ได้ยินว่าหลี่เย่หิว ถาวจวินหลันก็รีบออกไปจัดการ เพราะนางไม่เห็นว่าหลังจากที่นางหันหลังไปหลี่เย่ก็เริ่มขมวดคิ้ว มีท่าทีครุ่นคิด มีเรื่องมากมายอยู่ในหัว

ตลอดทั้งคืนถาวจวินหลันพยายามไม่พูดถึงเรื่องสู้รบขึ้นมาอีก แต่กลับพยายามหาเรื่องน่าสนใจมาเบี่ยงเบนความสนใจของหลี่เย่

แต่รอจนถึงเวลาเข้านอน แม้ว่าจะทิ้งตัวลงบนเตียงแล้ว ถาวจวินหลันก็ยังคงนอนไม่หลับ ไม่เพียงนาง หลี่เย่ก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นสุดท้ายแล้วนางก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้ว่า “ฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้หรือยังเพคะ? พระองค์ว่าอย่างไรบ้าง?”

เป็นฮ่องเต้มานานขนาดนี้ คิดดูแล้วน่าจะมีความเห็นและวิธีรับมือกับเรื่องเช่นนี้ถึงจะถูก

หลี่เย่ส่ายหน้า “ยังไม่กล้าพูด อย่างแรกกลัวว่าเสด็จพ่อจะทรุดไปอีก อย่างที่สองก็เพราะว่า…” กลัวว่าฮ่องเต้จะคิดว่าเขาไร้ประโยชน์ กลัวว่าฮ่องเต้จะหงุดหงิด ผิดหวัง และกลัวว่าฮ่องเต้จะไม่ลังเลเรียกใช้ทหารตระกูลหวัง

ถาวจวินหลันสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของหลี่เย่ เอนตัวไปพิงเขาเบาๆ พูดเสียงเบาว่า “เช่นนั้นไปทูลฮ่องเต้ดีหรือไม่เพคะ ท่านรับความกดดันทั้งหมดเอาไว้คนเดียวไม่ได้หรอก แต่เดิมท่านก็เพียงแค่จับตามองขุนนางแทนเท่านั้น ไม่เคยจัดการเรื่องเช่นนี้มาก่อน ไม่เข้าใจก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล อีกอย่าง ข้าคิดว่าท่านเป็นเช่นนี้ฮ่องเต้น่าจะยิ่งวางใจนะเพคะ”

จากนิสัยขี้ระแวงของฮ่องเต้แล้ว เกรงว่าคงไม่ชอบให้ลูกชายเก่งกาจเกินไปมากกว่า หลี่เย่ยิ่งดูธรรมดามากเพียงใด ฮ่องเต้ก็น่าจะยิ่งวางใจ

แต่คำพูดนี้กลับไม่อาจพูดตรงเกินไปได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเท่านี้

หลังจากพูดจบแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างของหลี่เย่ดูผ่อนคลายขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงหลี่เย่หัวเราะเบาๆ พูดเย้ยหยันตัวเอง “ใช่แล้ว ทำเช่นนี้เขาคงจะต้องยิ่งวางใจข้าถึงจะถูก กลับเป็นข้าที่คิดมากไปแล้ว”

พอเห็นหลี่เย่เย้ยหยันตนเอง ถาวจวินหลันก็รู้สึกผิดและหงุดหงิด คิดว่านางไม่ควรพูดเรื่องนี้เลย แต่หลังจากนั้นก็คิดว่าที่ตนเองพูดไปก็ถูกแล้ว อย่างน้อยเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ หลี่เย่ก็จะเตรียมใจพร้อมแล้ว ในอนาคต…คงไม่ถึงขั้นผิดหวังจนเกินไป

ความเป็นจริงมักจะโหดร้ายเสมอ ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ถึงได้พูดปลอบประโลมหลี่เย่เสียงเบา “ทำไมท่านต้องเก็บไปคิดมากด้วยเล่าเพคะ? ใช่ว่าหลายปีมานี้เพิ่งรู้เสียที่ไหน ท่านว่าจริงหรือไม่เพคะ?”

หลี่เย่ตอบรับ “อืม” เบาๆ ด้วยเสียงแหบพร่า

หลี่เย่เป็นเช่นนี้ถาวจวินหลันก็ไม่มีวิธี ทำได้แค่เพียงฟังแล้วก็ปล่อยเฉย อีกอย่างเรื่องเช่นนี้มีเพียงแค่หลี่เย่คิดจนเข้าใจเองแล้วถึงจะดีขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ? คนอื่นพูดมากไป ตนเองคิดไม่เข้าใจนั้นก็ถือว่าเป็นการเพิ่มความหงุดหงิดเสียเปล่า

ปล่อยให้หลี่เย่ได้คิดจนเข้าใจ ผ่านไปไม่นานก็พูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปขอคำชี้แนะจากเสด็จพ่อก็แล้วกัน สุดท้ายแล้วจะใช้ตระกูลหวังหรือไม่ ก็ให้เสด็จพ่อตัดสินใจเองเถิด อย่างไรก็เป็นแผ่นดินของเขา”

ถาวจวินหลันรับคำ จับมือของหลี่เย่เอาไว้พูดเสียงเบาว่า ดึกมากแล้ว พวกเรานอนกันเถิดเพคะ”

หลี่เย่รับคำเสียงเบา แต่ยังคงไม่ยอมหลับตาสักที ในห้องนั้นไม่ได้จุดไฟทิ้งไว้ ดังนั้นตอนนี้จึงมืดสนิท ลืมตาหรือหลับตาก็ไม่ได้ต่างอะไร แต่หลี่เย่กลับสบายใจเมื่อลืมตาค้างไว้ เพราะเมื่อหลับตา เขาก็จะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้ระแวงองค์รัชทายาท

ก่อนหน้าองค์รัชทายาสวรรคต เขายังมีตัวคอยกันให้ แต่ตอนนี้องค์รัชทายาทสวรรคตไปแล้ว พอคิดว่าเรื่องเหล่านี้มีสิทธิ์เกิดกับตนเอง เขาก็ทุกข์ใจ รู้สึกเพียงหัวใจเย็นเยียบ ทั้งน่าขบขัน ทั้งน่าเศร้า

ยังดีที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอและความอบอุ่นจากตัวของถาวจวินหลัน หลี่เย่จึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ยังดีที่มีนางอยู่เคียงข้างเขา หากไม่มีนาง เขาจะผ่านพ้นค่ำคืนมืดมิดอันสนยาวนานนี้ไปได้อย่างไร?

หลี่เย่จำไม่ได้ว่าตนเองนอนหลับไปเมื่อไร และไม่รู้ว่าถาวจวินหลันตื่นขึ้นมาเมื่อไร ตราบจนถาวจวินหลันหัวเราะปลุกเขา เขาถึงได้สะดุ้งตื่น

ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มสว่างแล้ว เขาควรจะลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาออกจากจวน วันนี้ยังไม่รู้ว่ามีเรื่องราชการมากมายเพียงใดรอให้เขาไปจัดการ อีกทั้งเขายังต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไปรายงานเรื่องน่าปวดหัว ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร

เพีงไม่นาน เขาก็เริ่มรู้สึกหนักอึ้ง ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าด้วยความนิ่งสงบ ตอนที่หลี่เย่กำลังจะจัดการสวมเสื้อผ้าเองนั้น ถาวจวินหลันก็เข้ามาหยิบเสื้อจากมือเขาไป “วันนี้ให้ข้าปรนนิบัติท่านสักครั้งเถิดเพคะ”

ถาวจวินหลันสวมเสื้อผ้าให้หลี่เย่อย่างอ่อนโยนและตั้งใจ จนกระทั่งเขาทานข้าวเช้าเสร็จ แล้วนางก็มาส่งเขาออกจากจวน

นางเดินมาส่งเขาถึงประตูใหญ่

หากเป็นแต่ก่อน หลี่เย่ต้องเอ่ยปากบอกให้ถาวจวินหลันกลับไปด้วยความสงสาร แต่วันนี้หลี่เย่ไม่ได้พูดอะไร กลับจับมือของนางแน่นอย่างไม่อาจตัดใจปล่อยมือออก

ถาวจวินหลันย่อมไม่ดื้อรั้น ตราบจนถึงหน้าประตูใหญ่ถึงได้พูดเสียงเบา “ไปเถิดเพคะ ข้าอยู่ที่จวนรอท่านกลับมา ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะอยู่เคียงข้างท่าน”

เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้หลี่เย่อิ่มเอมใจ

เขาพยักหน้าหนักๆ ยิ้มเล็กน้อยแล้วปล่อยมือออก “เจ้ารอข้า ตอนบ่ายข้าอยากชิมขนมเหนียวและซิ่งเหรินอบ”

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง

เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ?

นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม

อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท