บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 646

ตอนที่ 646

ด้วยเป็นลูกชายคนสุดท้องที่ฮ่องเต้มีตอนชราแล้ว แม้ว่าอี๋เฟยจะทำให้ฮ่องเต้ตะขิดตะขวงใจ แต่ฮ่องเต้ก็ยังเป็นห่วงองค์ชายเก้าอยู่เสมอ และยังเอาใจใส่มากกว่าองค์ชายพระองค์อื่นอีก จึงไม่ได้พูดอะไรมากอีกทว่า รีบสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้อง

ฮองเฮาเดินรั้งท้าย พูดกับถาวจวินหลันช้าๆ เบาๆ “เหตุใดพระชายาองค์รัชทายาทถึงไม่ระวังเช่นนี้เล่า?”

แล้วฮองเฮาก็หยุดไป หัวเราะเสียงเบา “ต้องให้ข้าช่วยหรือไม่? ข้าเต็มใจร่วมมือกับพระชายาองค์รัชทายาท…”

ฮองเฮาพูดแสดงความหมายชัดเจน ถาวจวินหลันหันหน้าไปมองฮองเฮา ยิ้มและตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “ฮองเฮาทรงกังวลเรื่องของพระองค์เองดีกว่าเพคะ ทางหม่อมฉันคงไม่รบกวนให้พระองค์มาเป็นห่วง”

ฮองเฮาเจอการปฏิเสธอย่างอ่อนน้อมย่อมไม่พอใจ จึงส่งเสียงฮึดฮัด เร่งฝีเท้าเดินให้ทันฮ่องเต้ ไม่ได้หันมามองถาวจวินหลันอีก หวังฮูหยินกลับมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ถาวจวินหลันสูดลมหายใจเข้าลึก เดินตามเข้าไปในห้องด้วยจิตใจสงบนิ่ง นางรู้ดีแก่ใจว่าหลังจากฮ่องเต้เห็นสภาพขององค์ชายเก้าแล้ว นางต้องได้รับคำสั่งสอนและบทลงโทษเป็นแน่

ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นกู้ซีจะขอร้องแทนนางหรือไม่? คิดว่าคงทำกระมัง? อย่างไรกู้ซีก็ชอบแสดงภาพลักษณ์มีเมตตาอ่อนโยนมิใช่หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้กู้ซีต้องช่วยนางขอร้องแน่นอน ถึงได้รับโทษก็หวังว่าคงไม่รุนแรงเกินไป

อีกทั้งอย่างไรนางก็ยังเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท และลูกสะใภ้ ฮ่องเต้คงไม่เ**้ยมโหดกับนางนัก

หลังจากถาวจวินหลันเข้าไปในห้อง มองไปยังกู่อวี้จือที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ก็ลอบถอนหายใจด้วยรู้สึกสงสาร ปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ได้แล้ว กู่อวี้จือทำอะไรไว้ หลังจากฮ่องเต้รู้คงไม่มีทางปล่อยกู่อวี้จือไปง่ายๆ แน่

ไม่รู้ว่ากู่อวี้จือจะมีจุดจบเช่นไร แต่ดูจากนิสัยของฮ่องเต้คงไม่ดีเป็นแน่ นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ฮ่องเต้จึงยังไว้หน้าอยู่บ้าง แต่เป็นเพียงเหลียงตี้ ฮ่องเต้คงไม่ลังเลแน่นอน

เป็นไปตามคาด หลังจากฮ่องเต้ไปดูองค์ชายเก้าแล้ว ก็บันดาลโทสะต่อว่าอย่างแรง “ถาวซื่อ เจ้าดูแลองค์ชายเก้าอย่างนี้หรือ?”

ถาวจวินหลันไม่ได้เถียง เพียงยอมรับผิด “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”

ฮ่องเต้กลับไม่พอใจ “ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเจ้าเสนอตัวดูแลองค์ชายเก้าเอง คิดว่าเจ้าเป็นคนดี ที่ไหนได้ แค่จะหลอกขโมยชื่อเสียงเท่านั้น! เท่านี้ก็ชัดแล้วว่าเจ้ายืมเรื่องนี้มาสร้างชื่อเสียงดีๆ ให้ตัวเอง !”

“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ” ถาวจวินหลันไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่พูดออกมาเช่นนี้ นางไม่ได้ยอมรับความผิดนี้ นางมีความผิด ตัวเองก็รู้ดี แต่ผิดที่สะเพร่าเลินเล่อ ไม่ดูแลองค์ชายเก้าให้ดี และการที่นางอุ้มองค์หญิงชายเก้ามาเลี้ยงที่วังตวนเปิ่นก็ไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงอยู่แล้ว เรื่องนี้นางไม่อาจยอมรับ และไม่กล้ายอมรับมั่วๆ

“ยังกล้าเถียง!” ฮ่องเต้กริ้วจัด ตะคอกใส่นาง แต่ไม่รู้ว่าด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านหรือหายใจไม่ทัน ก็เริ่มหอบหายใจกระชั้น

กู้ซีรีบก้าวเข้ามาลูบหลังให้ฮ่องเต้ พลางพูดเสียงอ่อนโยน “ฮ่องเต้ทรงกริ้วมากเช่นนี้ทำไมเพคะ องค์ชายเก้าเสี่ยงอันตรายก็จริง แต่หมอหลวงบอกแล้วว่ารักษาไม่ยากเพคะ เพียงแค่องค์ชายเก้ายังอายุยังน้อย ถึงได้อันตรายเช่นนี้เท่านั้น อีกอย่างคนที่ดูแลองค์ชายเก้าก็เป็นแม่นมของเขาและนางกำนัล ไฉนเลยพระชายาองค์รัชทายาทจะมาดูแลด้วยตนเองเพคะ? นางกำนัลทำไม่เต็มที่ พระชายาองค์รัชทายาทจะไม่เห็นก็ปกติ ไม่อาจโทษพระชายาองค์รัชทายาทได้นะเพคะ”

ด้วยเสียงพูดอ่อนโยนนุ่มนวลของกู้ซี ฮ่องเต้ก็หยุดหอบหายใจคล้ายวัวชราพ่นลมเสียที หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงได้ยินเสียงฮ่องเต้ฮึมฮัม เห็นชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของกู้ซี “ถาวซื่อดูแลความเรียบร้อยทั้งหมดในวังตวนเปิ่น ถ้านางเอาใจใส่เรื่องพวกนี้จริง นางกำนัลจะกล้าละเลยได้อย่างไร?”

ฮ่องเต้พูดไม่ผิด แต่ดูแล้วเหมือนฮ่องเต้ตั้งใจผลักความผิดทั้งหมดมาให้ถาวจวินหลัน

ถาวจวินหลันยังคงไม่โต้แย้ง เพียงแค่พูดยอมรับผิด “เพคะ เป็นหม่อมฉันที่ละเลยเพคะ”

อาจด้วยไม่อยากโมโหอีก คำพูดเกลี่ยกล่อมของกู้ซีเกิดผล หรือคิดว่าท่าทียอมรับความผิดของถาวจวินหลันนั้นดูดี น้ำเสียงของฮ่องเต้ก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน “ดูอาการขององค์ชายเก้าก่อนค่อยว่ากัน หากองค์ชายเก้าไม่ได้เป็นอะไรก็แล้วไป แต่หากองค์ชายเก้าเป็นอะไรไป…ถาวซื่อ เจ้าคอยดูไว้แล้วกัน”

ประโยค ‘เจ้าคอยดูเอาไว้แล้วกัน’ ไม่เพียงไม่ได้อธิบายว่าจะจัดการกับถาวจวินหลันอย่างไร แต่กลับแฝงไว้ด้วยความข่มขู่อยู่ในที

ถาวจวินหลันก็พูดอย่างอื่นไม่ได้ เพียงแค่ตอบรับเสียงเบา “เพคะ”

ที่จริงแล้วไม่ต้องให้ฮ่องเต้พูดเช่นนี้ หากองค์ชายเก้าเป็นอะไรไป นางจะต้องโทษตัวเองที่สุด แน่นอนว่านางไม่หวังให้องค์ชายเก้าเป็นอะไร

“แต่อยู่ดีๆ จะกินของจนเสาะท้องได้อย่างไรเพคะ” หลังจากบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว หวังฮูหยินพลันก็ถามออกมาเช่นนี้ เหมือนเป็นห่วงจริง แต่ความเป็นจริงแล้วกลับตั้งใจเสี้ยมให้ฮ่องเต้โกรธจนอารมณ์พลุ่งพล่านอีกครั้ง

ถาวจวินหลันมองหวังฮูหยินทีหนึ่ง สีหน้าเปิดเผยจริงใจและเป็นห่วงของหวังฮูหยินมองมาที่นาง เหมือนว่าเป็นนางที่คิดมากไปเอง

แต่ไม่ว่าถาวจวินหลันจะคิดมากไปหรือไม่ ฮ่องเต้ก็กลับมากริ้วอีกแล้ว “อยู่ดีๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้?”

ครั้งนี้ไม่รอให้ถาวจวินหลันเอ่ยปาก กู้ซีก็เล่าเรื่องทั้งหมดด้วยเสียงอ่อนโยน ย่อมไม่อาจช่วยปิดบังให้กู่อวี้จือแม้แต่น้อย ดังนั้นเรื่องโง่ๆ ที่กู่อวี้จือทำจึงถูกเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าฮ่องเต้

ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็โกรธจัดจนระงับอารมณ์ไม่ได้ หัวเราะเสียงเย็นในทันใด “กู่เหลียงตี้อย่างนั้นหรือ กู่เหลียงตี้อย่างนั้นหรือ! แค่เหลียงตี้เล็กๆ คนเดียวกลับกล้าทำเช่นนี้กับองค์ชาย เจ้าเห็นว่าชีวิตขององค์ชายไม่มีค่าหรืออย่างไร? ปล่อยให้เจ้ามาทำเรื่องสกปรกเช่นนี้ได้หรือ? ต่อให้เจ้าตายไปร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่อาจเทียบกับนิ้วมือนิ้วเดียวขององค์ชายเก้าได้!”

กู้อวี้จือตกใจจนรีบคุกเข่าลงไป โขกหัวติดๆ กัน “หม่อมฉันรู้ผิดแล้วเพคะ ขอฮ่องเต้อภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิด หม่อมฉันไม่กล้าอีกแล้วเพคะ!”

“เจ้ายังคิดว่าจะมีครั้งต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ?” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น สุดท้ายก็ออกคำสั่งว่า “ลากออกไป โบยสามสิบครั้ง! หากตายก็โยนออกไปนอกวังหลวงเลย! หากไม่ตาย ก็ส่งไปเป็นโสเภณีในกองทัพที่ชายแดน!”

ส่งไปเป็นโสเภณีกองทัพที่ชายแดน คำนี้เพิ่งหลุดออกมาจากปากของฮ่องเต้ ทุกคนก็นิ่งอึ้งไปหมด บทลงโทษเช่นนี้ไม่ได้ยินมานานแล้ว จะต้องรู้ว่าโสเภณีกองทัพนั้นคืออะไร? ในกองทัพทหารมีแต่ผู้ชายทั้งหมด ย่อมต้องมีความต้องการ และความต้องการของผู้ชายเหล่านี้ ล้วนสำเร็จได้ด้วยโสเภณีกองทัพ ปกติแล้วถ้าไม่สตรีที่ทำความผิดน่ารังเกียจมาก ก็จะไม่มีจุดจบเช่นนี้แน่นอน

ถาวจวินหลันมั่นใจว่าครั้งนี้หากให้กู่อวี้จือไปเป็นโสเภณีกองทัพจริง ไม่พ้นสามวันกู่อวี้จือจะต้องถูกทรมานจนตายเป็นแน่ ไม่ บางทีอาจจะไม่พ้นสามวัน กู่อวี้จืออาจะฆ่าตัวตายเองก็ได้

คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะโหดร้ายเช่นนี้

ถาวจวินหลันตัวสั่นสะท้านเบาๆ ในขณะเดียวกันก็เห็นว่าคนอื่นมีปฏิกิริยาที่ไม่ต่างกันนัก แม้แต่กู้ซีก็สั่นเทาเช่นเดียวกัน

สำหรับสตรีแล้วนี่ถือว่าเป็นการลงโทษอันน่าหวาดกลัว

กู่อวี้จือตกใจจนสิ้นสติ ดวงตาทั้งสองข้างถลึงโตเป็นลมสลบไป ตัวอ่อนหมอบอยู่บนพื้น ถูกนางกำนัลลากออกไป ถูกลากออกไปนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องดี การโบยสามสิบครั้งนั้นยังรอกู่อวี้จืออยู่

ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจว่ากู่อวี้จือคงจะหนีการโบยสามสิบทีไม่พ้นแล้ว และเมื่อโดนโบยไปสามสิบครั้ง ก็ไม่รู้ว่ากู้อวี้จือจะทนผ่านไปได้หรือไม่ ลองคิดถึงนางที่ถูกโบยไปยี่สิบครั้งในตอนนั้นก็มีสภาพเช่นนั้นแล้ว…

แค่โบยกู่อวี้จือยังรับได้ แต่ให้ไปเป็นโสเภณีกองทัพนั้น…ถาวจวินหลันกลับไม่เห็นด้วย จึงพูดออกมาตรงๆ ว่า “ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันคิดว่าการจัดการของฮ่องเต้ไม่เหมาะสมเพคะ”

ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็เหลือบมองมาทางนาง เขาเป็นผู้นำของแผ่นดิน คนธรรมดาย่อมมิอาจทัดเทียมอำนาจของฮ่องเต้ได้ สายตาเย็นเยียบมองนิ่งอยู่เช่นนี้ รู้สึกอย่างไรยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ต่อให้เป็นถาวจวินหลันก็อยากจะหลบเลี่ยง แต่พอคิดถึงคำพูดของตนเอง นางก็ทำใจแข็ง ปล่อยให้ฮ่องเต้จับจ้อง เพียงแค่พูดคำพูดของตนเองออกมาช้าๆ “เรื่องการโบยตีหม่อมฉันไม่ได้เห็นต่างเพคะ กู่ซื่อเลอะเลือนทำความผิดก็สมควรต้องรับโทษ แต่เรื่องให้เป็นโสเภณีกองทัพนั้นหม่อมฉันคิดว่าไม่เหมาะสมเพคะ กู่ซื่ออย่างไรก็เป็นคนของวังตวนเปิ่น เคยปรนนิบัติองค์รัชทายาทมาก่อน จะให้สตรีที่เคยปรนนิบัติองค์รัชทายาทไปเป็นโสเภณีกองทัพ นี่จะทำให้องค์รัชทายาทรู้สึกอย่างไรเพคะ? และคนอื่นจะคิดอย่างไรเพคะ?”

หลังจากที่คนนอกรู้เรื่องนี้ ก็คงคิดว่าฮ่องเต้ไม่ไว้หน้าองค์รัชทายาท คิดว่าฮ่องเต้เป็นพ่อไม่มีความเมตตา และในขณะเดียวกันก็คิดว่าหลี่เย่ไร้ความสามารถแม้แต่ผู้หญิงของตนเองก็ยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้

สตรีขององค์รัชทายาทจะเอาไปแบ่งใช้กับคนอื่นได้อย่างไร? ข่าวกระจายออกไปหลังจากนี้หลี่เย่จะทำเช่นไร? ยังมีหน้าไปสั่งการรวมพลขุนนางได้อย่างไร? กู่อวี้จือจะตายก็ได้ จะลงโทษก็ได้ แม้แต่จะแล่เนื้อเป็นพันชิ้นก็ไม่เป็นไร มีเพียงแค่ไม่อาจส่งไปที่กองทัพเพื่อเป็นโสเภณีกองทัพได้

นี่เป็นปัญหาเรื่องหน้าตาของหลี่เย่ และนี่ก็เป็นปัญหาหน้าตาของวังตวนเปิ่นเช่นเดียวกัน ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไรถาวจวินหลันก็ต้องเอ่ยปากพูดออกมา

แน่นอนว่านางรู้ว่าตนเองเอ่ยปากอาจจะทำให้ฮ่องเต้กริ้วโกรธได้อีก และอาจจะพาลมาถึงตนเอง แต่จะให้นางนั่งนิ่งไม่สนใจหรืออย่างไร? เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้

ฮ่องเต้มองถาวจวินหลันนิ่งๆ สุดท้ายก็พูดช้าๆ ว่า “ถาวซื่อ เจ้าช่างกล้านัก ถึงขั้นกล้าสงสัยข้าอย่างนั้นหรือ? เป็นเหลียงตี้ขององค์รัชทายาทแล้วทำไม? แม้แต่สตรีคนเดียวข้าจะจัดการไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?”

พอเห็นการวางอำนาจของฮ่องเต้ ถาวจวินหลันกลับไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว “มิได้สงสัยฮ่องเต้เพคะ และหม่อมฉันไม่ได้ปกป้องกู่ซื่อ แต่ฮ่องเต้จะจัดการอย่างไรก็ได้ แต่ไม่อาจให้กู่ซื่อไปเป็นโสเภณีกองทัพได้เพคะ”

“หากข้าจะทำตามความคิดตนเองโดยไม่ฟังคำท้วงติงเล่า” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น

“ฮ่องเต้จะไม่ทำเพคะ” ถาวจวินหลันคิดว่าไม่อาจจะแข็งชนแข็งสู้กับฮ่องเต้ได้ จึงได้เปลี่ยนวิธีการ “ฮ่องเต้เป็นผู้ทรงคุณธรรม ไม่มีทางหักหน้าองค์รัชทายาท ทำให้องค์รัชทายาทเสียอำนาจและหน้าตา องค์ชายเก้าเป็นบุตรชายของฮ่องเต้ องค์รัชทายาทเองก็เป็นบุตรชายของฮ่องเต้เช่นเดียวกัน คิดว่าฮ่องเต้คงจะไม่ทำเรื่องเลือกที่รักมักที่ชัง เพื่อคนหนึ่งไม่สนใจอีกคนหนึ่งเป็นแน่เพคะ”

นี่เป็นการเยินยออย่างอ้อมค้อม และเป็นการโน้มน้าวอย่างอ้อมค้อม นางพูดเช่นนี้ หากฮ่องเต้ยังคงคิดจะดึงดันทำ เช่นนั้นก็ต้องเป็นฮ่องเต้ไร้คุณธรรม เป็นพ่อที่ไร้ความเมตตา ถูกคนถ่มน้ำลายใส่

ฮ่องเต้ย่อมเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน ดังนั้นฮ่องเต้จึงจ้องมองถาวจวินหลันอีกครั้ง พูดเสียงเย็นว่า “ถาวซื่อ เจ้ากำลังข่มขู่ข้า”

ถาวจวินหลันกลับไม่ยอมรับ เพียงแค่พูดว่า “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ” พูดพลางคุกเข่าอย่างเคร่งขรึม

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง

เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ?

นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม

อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท