ยามที่มั่วชิงเฉินรำกระบี่ กำลังอยู่ในเขตแดนมหัศจรรย์ที่ก้ำกึ่งรู้แจ้ง จิตใจจมดิ่งอยู่ภายใน จนกระทั่งมีคนเอ่ยปากถึงตกใจตื่นว่ามีคนมาแล้ว รีบยกตามองไป
ไม่คิดว่าผู้ที่มาคือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง
เห็นมั่วชิงเฉินมองมา ผู้บำเพ็ญเพียรยิ้มก่อนได้พูด เผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ น่ารักคู่หนึ่งว่า “ข้าคือเหยียนซูซูแห่งพรรคอู่อี๋ สมญานามเต๋านักพรตปี้เหลย เจ้าเป็นคนพรรคเหยากวงเช่นนั้นหรือ?”
พูดพลางเป็นกันเองมาก แทบจะกระโดดโลดเต้นวิ่งมาถึงข้างกายมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินชั่วขณะหนึ่งงงงันไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “ท่านผู้อาวุโส”
ถ้านางดูไม่ผิดละก็ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้นชัดๆ เหตุใดการกระทำถึงได้คาดเดาไม่ถูก… เช่นนี้?
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า” นักพรตปี้เหลยโบกมือ ในที่สุดก็พอมีน้ำเสียงของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ทว่าไม่นับว่าบีบคั้นคน
นักพรตปี้เหลย? มั่วชิงเฉินฝืนทนไว้ไม่ให้มุมปากกระตุก เอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ข้าน้อยคือศิษย์พรรคเหยากวง ไม่ทราบท่านผู้อาวุโสมีธุระอันใดเจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไร ข้าเห็นเจ้ารำกระบี่ รู้สึกว่ารำได้ดีทีเดียว ดังนั้นจึงอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย” นักพรตปี้เหลยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยได้ยินว่าพรรคอู่อี๋ถูกขนานนามว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่มาตลอด คิดว่าเพลงกระบี่โดดเด่นไร้ผู้เทียมทาน ข้าน้อยเพียงแค่เอามะพร้าวห้าวไปขายสวนเท่านั้น” มั่วชิงเฉินคำพูดคำจาไม่มีช่องโหว่ รักษาระยะห่างอย่างไม่ทิ้งร่องรอย
นักพรตปี้เหลยดูแล้วแม้น่าคบ การกระทำกลับคาดเดาไม่ถูกเช่นนี้ ใครจะไปรู้ว่าจะมีนิสัยแปลกประหลาดอะไรหรือไม่ นางถูกอูเย่ว์ทรมานจนกลัวแล้วนะ ไม่อยากเจอการกระทำที่ไม่ตามหลักเหตุผลทั่วไปเช่นนี้เป็นที่สุด
หากนางวางมาดของยอดคนรุ่นอาวุโส ตนยังระแวงน้อยหน่อย
นักพรตปี้เหลยดูเหมือนไม่สังเกตเห็นถึงความระแวงของมั่วชิงเฉิน เห็นลักยิ้มเล็กๆ แพลมๆ ยิ้มหวานอย่างยิ่งว่า “จะเป็นไปได้เช่นไรกัน ข้ามาจากพรรคอู่อี๋นี่แหละ กระบี่กลับรำสู้เจ้าไม่ได้ เจ้าดูข้าสิเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว แม้แต่จิตกระบี่ยังควบคุมไม่ได้เลยนะ อาจารย์บอกว่า ต่อไปออกไปอย่าบอกว่าเป็นคนพรรคอู่อี๋ แหะๆ ข้าชอบไม่สักอย่าง ใครกำหนดไว้ล่ะว่าพรรคอู่อี๋ก็ต้องฝึกกระบี่ให้ได้”
มั่วชิงเฉินอ้าปากอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้จะรับคำเช่นไรดีจริงๆ
ไม่ว่าจะคิดเช่นไร ก็ไม่ควรถกปัญหาพวกนี้อย่างกระตือรือร้นกับคนแปลกหน้าคนหนึ่งเช่นนี้
นักพรตปี้เหลยกลับดันเกิดอารมณ์คุยขึ้นมา ยื่นนิ้วมือเรียวชี้ไปที่กระบี่ชิงมู่ที่จมเข้าไปในลำต้นต้นอิงป่าว่า “ข้าเห็นเจ้ารำกระบี่ เคลื่อนไหวไหลลื่นดั่งเมฆที่ล่องลอยสายน้ำหลั่งไหลตั้งแต่ต้นจนจบ เหตุใดถึงสุดท้ายกลับซัดกระบี่ออกไป ดูเหมือน…ดูเหมือนแฝงไว้ด้วยความหมายของการละทิ้งกระบี่ไม่ใช้อยู่ภายใน?”
มั่วชิงเฉินใจสั่นสะท้าน แอบว่าไม่เสียทีที่มาจากพรรคอู่อี๋ ปากบอกว่าไม่ถนัดเพลงกระบี่ กลับสามารถมองออกถึงความคิดในใจของตนได้
“ท่านผู้อาวุโสสายตาเฉียบคม” เมื่อมั่วชิงเฉินยิ้ม ความรู้สึกห่างเหินกลับน้อยลงเล็กน้อย
นักพรตปี้เหลยเอียงศีรษะดูเหมือนกำลังครุ่นคิด จากนั้นคำพูดน่าตกใจว่า “เจ้าทำได้ถูกต้อง เมื่อครู่ข้ามองดูอยู่ข้างๆ แม้รู้สึกว่าเพลงกระบี่เจ้าสูงส่ง จิตกระบี่ไม่ขาดสาย ทว่าใจของเจ้าและกระบี่ของเจ้ากลับมีอะไรกั้นกลาง”
มั่วชิงเฉินเกิดความคิดขึ้นมา พูดความกลัดกลุ้มของตนออกมาว่า “ที่ท่านผู้อาวุโสพูดไว้ไม่ผิด ข้าน้อยถึงเวลาสุดท้ายก็ตระหนักถึงจุดนี้ เพียงแต่เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้นี้อาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอด ข้าน้อยฝึกฝนมายี่สิบกว่าปีแล้ว จะให้ละทิ้งไม่ใช้ทั้งแบบนี้ ยากจะตัดใจได้จริงๆ…”
นักพรตปี้เหลยหัวเราะคิกคักขึ้นมาว่า “อาจารย์บอกว่าข้าเซ่อเกินไปบ่อยๆ วันนี้นับว่าเห็นคนที่เซ่อกว่าข้าแล้ว เจ้ารู้สึกว่ากระบี่ชิงมู่ไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็เปลี่ยนเสียก็สิ้นเรื่อง จะเปลี่ยนเคล็ดกระบี่ไปไย?”
มั่วชิงเฉินกะพริบตา ชั่วขณะหนึ่งยังคิดไม่ได้ มองดูใบหน้ายิ้มดั่งบุปผาของนักพรตปี้เหลยพลาง ความคิดก็กระจ่างแล้วกราบไหว้ลงไปว่า “ขอให้ท่านผู้อาวุโสสอนสั่งด้วย”
นักพรตปี้เหลยโบกมือว่า “เจ้ารีบขึ้นมา ข้าไม่รู้เพลงกระบี่เสียหน่อย สอนสั่งอะไร?”
มั่วชิงเฉินยืนตัวตรง อมยิ้มมองนักพรตปี้เหลย
นักพรตปี้เหลยกะพริบดวงตากลมโตฉ่ำเยิ้มทีหนึ่ง หากคนธรรมดาพบเข้า ต้องนึกว่านางเป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบหกสิบเจ็ดเป็นแน่ “ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้จริงๆ นะ อาจารย์เคยพูดไว้ว่า ข้าก็คือคนที่คอยทำให้พรรคอู่อี๋เสื่อมเสีย ใช้ลูกตุ้มดาวตกคู่หนึ่งเป็นกระบี่…”
มั่วชิงเฉินตัวสั่นสะท้าน ราวกับแตกฉานขึ้นมาก็ไม่ปาน ชั่วพริบตาหนึ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
นักพรตปี้เหลยลืมตาโตอย่างแปลกใจว่า “เอ๊ะ นางหนูคนนี้เป็นอะไรไปแล้วล่ะ?”
เห็นมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน จึงส่ายศีรษะอย่างหมดสนุก แล้วหันหลังจากไป
ผ่านไปเนิ่นนาน อาทิตย์อัสดงแล้ว ลมเย็นในภูเขาพัดเข้าใบหน้า หนาวไปทั้งตัว มั่วชิงเฉินถึงได้สติขึ้นมา
สลัดดอกอิงที่ร่วงเต็มตัวเต็มศีรษะให้หล่นลง ความปีติที่ฉายในดวงตายากจะปิดบัง แล้วมองไปรอบๆ อีกครั้ง กลับไม่เห็นเงาของนักพรตปี้เหลยแล้ว
มั่วชิงเฉินรู้สึกซาบซึ้งต่อนักพรตปี้เหลย วันนี้หากไม่ใช่คำพูดประโยคหนึ่งของนางทำให้ตนกระจ่างแจ้ง ดีไม่ดียังต้องเดินทางอ้อมอีกหน่อยในการฝึกเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้
เห็นฟ้ามืดแล้ว จันทราปีนขึ้นยอดไม้ มั่วชิงเฉินอัญเชิญเรือเล็กออกมา จู่ๆ มือกลับชะงักงัน
มีคนมา!
ในใจแอบระแวง เมื่อยกตามองไปกลับผ่อนคลายลง ไม่คิดว่าคนที่มาคือเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนเก็บสมบัติวิเศษเหินหาวรูปใบไม้ เห็นมั่วชิงเฉินยืนอยู่ใต้ต้นอิงป่าต้นหนึ่ง จึงก้าวเท้าเดินมาหานาง
ยังมีอีกาไฟกำลังชะโงกหัวเยี่ยมๆ มองๆ ตามอยู่ข้างๆ
“อาจารย์อาเยี่ย ท่าน…” มั่วชิงเฉินเอ่ยปากถาม ท่าทางเขาเช่นนี้ เห็นชัดว่ามาหาตน
เยี่ยเทียนหยวนหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง มีเพียงลึกเข้าไปในดวงตามีความอบอุ่นสายหนึ่ง มาถึงตรงหน้าว่า “ศิษย์หลานมั่ว เสวียนหั่วเจินจวินเรียกหาด่วน”
มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตักทีหนึ่ง สีหน้ากลับยังนับว่าใจเย็น กระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวของเยี่ยเทียนหยวนแล้วทะยานไป
ตลอดทาง ทั้งสองคนไม่ได้พูดกันแม้แต่คำเดียว
กระโดดลงจากสมบัติวิเศษเหินหาว ทั้งสองคนเข้าโถงข้างไปด้วยกัน
เมื่อทั้งสองคนเข้าไปพร้อมกันเช่นนี้ ก็มีสายตาแปลกใจล้อเลียนไม่น้อยตกลงบนตัวพวกเขา คนพวกนี้ล้วนเป็นศิษย์เหยากวงที่ย้อนกลับมาจัดทัพที่สำนักลั่วสยา ถูกเสวียนหั่วเจินจวินเรียกตัวด่วนตอนกลางคืน เดิมทีก็กระวนกระวายใจอยู่แล้ว
มั่วชิงเฉินกลับไม่ใส่ใจพวกนี้ ตากวาดมองรอบหนึ่งไม่เห็นเงาของมั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอ ถึงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ต้วนชิงเกอตามหรูอวี้เจินจวินย้อนกลับพรรคเหยากวงแล้ว มั่วหลีลั่วยังอยู่ที่หุบเขาลั่วเยี่ยนไม่ได้กลับมา
สบตากับกู้หลี กลับสังเกตเห็นความหนักใจสายหนึ่งในดวงตาที่มืดมนอย่างบอกไม่ถูกของเขา
รออีกครู่หนึ่ง ศิษย์เหยากวงที่อยู่ลั่วสยาในยามนี้มาอย่างต่อเนื่องจนครบแล้ว เสวียนหั่วเจินจวินถึงกระแอมเสียงหนึ่งว่า “ทุกคนมาถึงมาแล้ว ก็ฟังข้าพูดสักคำ”
ในโถงเงียบลงมาในทันใด อยู่ท่ามกลางการนองเลือดมาหลายปี ในด้านวินัย บัดนี้ศิษย์เหยากวงเอามาพูดรวมกับเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว
เสวียนหั่วเจินจวินกวาดมองรอบหนึ่ง สีหน้าจริงจังขึ้นมาอย่างหายากว่า “ทุกคนอยู่หุบเขาลั่วสยาจนเบื่อแล้วสินะ?”
เห็นเสวียนหั่วเจินจวินถามด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน ทุกคนอดมองหน้ากันและกันไม่ได้ นี่หมายความว่าเช่นไร?
“วันนี้เรียกทุกคนมารวมกัน ก็เพื่อบอกว่า วิกฤตอสูรเริ่มขึ้นแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็ออกเดินทาง เปลี่ยนสถานที่แล้วค่อยสู้” เสวียนหั่วเจินจวินพูดอย่างสบายๆ ทุกคนกลับตกตะลึงพรึงเพริด
ต้องรู้ว่าที่อยู่ที่นี่อย่างน้อยเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน คนส่วนใหญ่ล้วนผ่านวิกฤตอสูรครั้งที่แล้วมาหมด ผู้บำเพ็ญเพียรอายุน้อยที่ไม่เคยผ่านมาก่อนก็เคยได้ยินมาก่อน
หากบอกว่าระหว่างเต๋ามาร ยามที่พบกันนานๆ ทียังใจตรงกันทำเป็นไม่เห็นกัน เช่นนั้นระหว่างคนและอสูรปีศาจ นั่นก็คือการต่อสู้ที่โชกเลือด ไม่ใช่เจ้าตาย ก็คือข้าม้วย
มั่วชิงเฉินมองกู้หลีปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว เพียงแต่เขาสีหน้าสงบ ดูร่องรอยใดๆ ไม่ออก
“เอาล่ะ กลับไปเก็บของดีๆ พรุ่งนี้รวมตัวกันที่นี่ ใครมาสายข้าไม่รอหรอกนะ” เสวียนหั่วเจินจวินพูดพลางลุกขึ้นยืน
ทุกคนกลับไม่ขยับเขยื้อน
“เป็นอันใด? ยังมีเรื่อง?” เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกกขาดๆ ขึ้นมา
ทุกคนแอบน้ำตาไหลเงียบๆ ไยพวกเขาจึงมาเจอเจินจวินเช่นนี้นะ เรื่องใหญ่เช่นวิกฤตอสูรนี้ก็พูดอย่างสงบเยือกเย็นเช่นนี้ทีหนึ่ง จากนั้นก็แยกกันแล้ว? หลิวซางเจินจวิน ท่านไม่น่าทิ้งพวกเราไว้เมื่อหลายวันก่อนแล้วกลับพรรคเหยากวงเลย
นักพรตซานอินขึ้นมาก้าวหนึ่งว่า เจินจวิน ข้าน้องมีเรื่องจะถาม”
“ว่ามา” คำพูดของเสวียนหั่วเจินจวินเบียดออกมาจากรูจมูกตรงๆ ตั้งแต่เจ้าซานอินนี่ต่อกรกับนางหนูมั่ว เขาก็มองเขาเกะกะลูกตาเหลือเกิน
นักพรตซานอินเห็นชัดว่าก็รู้ตัวดี ทว่าเรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายกลับไม่กล้าประมาท แข็งใจถามว่า “เจินจวิน ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้เรากลับเหยากวงหรือว่าไปดินแดนทุรกันดารโดยตรง? ขนาดของวิกฤตอสูรเป็นเช่นไรอีก? ถึงเวลารบเดี่ยวหรือว่าทุกสำนักร่วมมือกัน…”
เสวียนหั่วเจินจวินขัดจังหวะการพูดของนักพรตซานอิน “พวกนี้ถึงเวลาย่อมมีการจัดการเอง บัดนี้ถามมากไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเจ้าเพียงจำไว้ว่า วิกฤตอสูรครั้งนี้เป็นวิกฤตใหญ่ที่พันปีก็ยากจะได้พบ หากต้านทานไม่ได้ เช่นนั้นก็สิ่งมีชีวิตก็จะไหม้เป็นจุณ สำนักดับสูญ พวกเรา…ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น!”
เมื่อเสวีนหั่วเจินจวินพูดออกไป ทุกคนหน้าซีดเซียวทันที
ศึกเต๋ามารนานถึงเพียงนี้แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่ร่วมรบรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากตั้งนานแล้ว ต่างหวังว่าจะสิ้นสุดการรบโดยเร็วกลับคืนสู่การบำเพ็ญเพียรปกติ ใครจะคิดว่าในยามที่กำลังจะเห็นแสงรุ่งอรุณ วิกฤตอสูรก็เริ่มอีกแล้ว
เผ่าปีศาจพวกนี้ ช่างซ้ำเติมเก่งจริงๆ เลย!
“เอาล่ะ แยกกันไปให้หมดเถอะ เอ่อ ลั่วหยาง เจ้าอยู่ก่อน” เสวียนหั่วเจินจวินเอ่ย
ทุกคนแยกกันไปติดๆ กัน
มั่วชิงเฉินรอครู่หนึ่ง แล้วตามกู้หลีออกไปพร้อมกัน
ในโถง จึงเหลือเพียงเยี่ยเทียนหยวนคนเดียว
“ลั่วหยาง เจ้ามานี่” เสวียนหั่วเจินจวินโบกมือเรียก
เยี่ยเทียนหยวนเดินขึ้นไปว่า “ท่านเทียด”
เสวียนหั่วเจินจวินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงว่า “ลั่วหยาง พรุ่งนี้เจ้าก็นำพาศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บกลุ่มหนึ่งกลับเหยากวงโดยตรงเถอะ”
“ท่านเทียด?” เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้าขึ้นทันที
เสวียนหั่วเจินจวินโบกพักกกว่า “ลั่วหยาง อาการบาดเจ็บเจ้ายังไม่หายดี รับมือวิกฤตอสูรไม่ไหวโดยสิ้นเชิง ไม่สู้ย้อนกลับสำนักรักษาอาการบาดเจ็บให้หายแล้วค่อยว่ากัน”
“ทว่า…”
เสวียนหั่วเจินจวินโบกมือว่า “ก็เอาเช่นนี้แหละ ข้าเป็นเทียดของเจ้า บัดนี้ยังเป็นอาจารย์เจ้าอีก ข้าตัดสินใจ ข้ามีลางสังหรณ์ วิกฤตอสูรครั้งนี้จะไม่จบในเวลาสั้นๆ เวลาอาจยืดเยื้อ นานกว่าศึกเต๋ามารมาก ต่อไป มีโอกาสให้เจ้าได้ทำสุดกำลัง”
เยี่ยเทียนหยวนนิ่งเงียบอยู่นาน สุดท้ายถึงหลุดออกมาคำหนึ่งว่า “ขอรับ” พูดจบคารวะทีหนึ่ง แล้วหันหลังจะจากไป
“ลั่วหยาง” เสียงของเสวียนหั่วเจินจวินดังมาจากข้างหลัง “จำบทเรียนไว้ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ต้องนกน้อยทำรังแต่พอตัว อย่าอวดเก่ง”
คำพูดนี้ก็คือว่าเขาเรื่องที่ปีนั้นไม่ใส่ใจตนเองต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ สุดท้ายช่วยมั่วชิงเฉินกลับมาไม่ได้ตนเองกลับตกอยู่ในอันตราย
นิ่งเงียบไปพักอีกหนึ่ง เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้หันกลับว่า “ท่าเทียด ลั่วเหวยไม่เคยอวดเก่ง” จากนั้นเสียงเย็นชาลงไปว่า “ทว่าหากเริ่มใหม่อีกครั้ง ลั่วหยางยังคงจะทำเช่นนั้น”
พูดจบจากไปโดยไม่หันกลับมามอง