พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 322 ลิขิตฟ้าไม่ดับคน
“รังนก?” หลัวเตี๋ยจวินชะงัก จากนั้นสีหน้าประหลาดขึ้นมาว่า “สหายเต๋ามั่ว ไม่คิดว่าเจ้านี่วาจาสิทธิ์ทีเดียว”
มั่วชิงเฉินกระตุกหนังหน้า แล้วมองฟ้าเงียบๆ นี่ถือเป็นการชมหรือไม่?
“สหายเต๋าหลัว ในเมื่อที่นี่เป็นรังเก่าของอสูรปีศาจ พวกเรารีบจากไปดีกว่า” มั่วชิงเฉินเพ่งพิศผนังสี่ด้านที่หลอมจากกิ่งไม้แห้งวัชพืชผสมกับดินโคลนทีหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเด็ดขาด
นางพูดเช่นนี้ หลัวเตี๋ยจวินย่อมไม่คัดค้านอยู่แล้ว ใครจะรู้ว่าทั้งสองคนเพิ่งลุกขึ้นก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวดส่งผ่านมา ท้องฟ้าขนาดเท่าฝ่ามือที่ปากรังนกถูกเงาสีฟ้าดำบดบังในพริบตา แสงในรังมืดลงมา
ทั้งสองคนรีบหมอบลงทันที แล้วก็ได้ยินเสียงที่กดความโกรธไว้ว่า “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงอยู่ที่นี่ได้!”
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองขึ้นไป
แล้วก็เห็นเงาสีฟ้าเข้มที่บดบังท้องฟ้าค่อยๆ ย้ายออก ไม่คิดว่าจะเป็นปีกสีฟ้ามหึกมาคู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องกังวานดังชู้บเสียงหนึ่ง นกยักษ์ที่บินวนอยู่บนฟ้าแปลงเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ยืนอยู่บนปากรังอย่าอ่อนช้อย
หญิงสาวผู้นี้ตัวค่อนข้างสูง ใบหน้าขาวสะอาดจนเกือบใส เห็นเป็นสีฟ้ารางๆ กลางหน้าผากประดับดอกเหมยสีฟ้าดอกหนึ่ง ยิ่งขับจนคนงามดั่งหยก รูปโฉมงดงาม
หลัวเตี๋ยจวินสีหน้าซีดลงรางๆ นกยักษ์ที่จำแลงกายนี้ไมใช่อสูรปีศาจที่จำแลงกายได้ล่วงหน้าเหมือนจิ้งจอกหิมะเช่นนั้นหรอกนะ หากแต่เป็นอสูรปีศาจจำแลงจริงแท้แน่นอน!
มั่วชิงเฉินสีหน้ากลับประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย หญิงสาวที่จำแลงจากนกยักษ์ตัวนี้ นางเคยเห็นมาก่อน!
วันนั้นนักพรตซานอิงถูกนกยักษ์หางฟ้าที่ปรากฏร่างเดิมตัวหนึ่งทำร้าย ยามที่นกยักษ์หางฟ้าจำแลงเป็นหญิงสาวแม้มั่วชิงเฉินจะมองเพียงผ่านๆ แต่กลับเป็นหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนางจำได้อย่างชัดเจนว่าที่หน้าผากหญิงผู้นั้นมีดอกเหมยสีฟ้าดอกหนึ่ง พิเศษยิ่งนัก
สายตามั่วชิงเฉินกวาดผ่านเสื้อผ้าของหญิงสาวแผ่วเบา ชายกระโปรงสีฟ้าข้างหนึ่งกลายเป็นสีฟ้าเข้ม เปียกเยิ้ม
มันได้รับบาดเจ็บ!
เสียงเยาะเย้ยแหลมคมกลับไม่ขาดความกังวานเสียงหนึ่งลอยมาว่า “ฮึ พวกเจ้ามนุษย์เจ้าเล่ห์ตามคาด เป็นถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดได้ทีขี่แพะไล่ ฉวยโอกาสที่ข้าเพิ่งให้กำเนิดบุตรร่างกายอ่อนแอก็คิดจะเล่นงานข้าให้ตาย นี่ก็ช่างเถอะ ไม่คิดว่าจะส่งนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ อย่างพวกเจ้าสองคนงมมาถึงบ้านข้า คิดจะทำร้ายบุตรข้า ช่างอำมหิตเหลือคณา! พวกเจ้ามนุษย์ หรือว่าจะไม่กล้าทำอะไรอย่างสง่าผ่าเผยหรือเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินแอบกวาดตามองของเหลวสีแดงเข้มที่หยดลงตามชายกระโปรงสีฟ้าเข้มของมัน โค้งตัวลงพยายามทำให้ท่าทีของตนดูแล้วอ่อนโยนและนอบน้อมว่า “เรียนท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยสองคนระหกระเหินมาถึงที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดจะทำร้ายบุตรของท่านเลย…”
ยังพูดไม่จบก็ถูกหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าขัดจังหวะว่า “น่าขัน พูดได้ดีมาถึงที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่คิดว่าจะไม่ตั้งใจมาถึงบ้านข้าได้?” พูดจบเพ่งพิศมั่วชิงเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าปราดหนึ่งว่า “นางหนูน้อยตบะไม่เท่าไร ฝีมือการพูดตลบตะแลงกลับไม่ด้อยแม้แต่น้อย! วันนี้ข้าก็จะเอาชีวิตพวกเจ้า จะโทษก็โทษผู้อาวุโสที่ปากเต็มไปด้วยศีลธรรมคุณธรรมในสำนักของพวกเจ้าพวกนั้นส่งพวกเจ้ามาตายเถอะ!”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้ายิ้มเยาะพลางแขนเสื้อขยับขึ้นมาโดยไม่มีลม
การโจมตีจากอสูรปีศาจจำแลง ต่อให้อสูรปีศาจตัวนี้ดูท่าทางบาดเจ็บไม่น้อย ก็ไม่ใช่สิ่งที่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคนจะต้านทานได้เด็ดขาด
“ท่านผู้อาวุโส!” มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นช้าๆ มือหนึ่งอุ้มไข่นกสีขาวจุดดำ มือหนึ่งถือกริชมืดมนอับแสงไว้เล่มหนึ่ง ปลายกริชที่คมกริบจ่ออยู่ที่ด้านล่างไข่นกพอดี
อีกด้านหนึ่ง หลัวเตี๋ยจวินก็อุ้มไข่นกใบหนึ่งลุกขึ้นยืนช้าๆ
เส้นผมเต็มศีรษะของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าจู่ๆ ก็ปลิวขึ้นมา สีหน้าเย็นเยียบเหมือนน้ำค้างแข็งว่า “พวกเจ้ากล้า!” มือกลับสั่นโดยไม่รู้ตัว แขนเสื้อที่ขยับโดยไม่มีลมแต่เดิมตกลงไป
ที่เมื่อครู่นางพูดมากกับนางหนูน้อยทั้งสอง ก็เพราะห่วงหน้าพะวงหลังกลัวพวกนางทำร้ายบุตรของตน
นางข่มด้วยพลานุภาพของอสูรปีศาจขั้นสิบ เดิมนึกว่านางหนูน้อยสองคนนี้ต้องตกใจขวัญหนีดีฝ่อไม่กล้ากำเริบสืบสาน ตนค่อยฉวยโอกาสเอาชีวิตพวกนางก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ใครจะรู้ว่านางหนูสองคนนี้กลับชิงลงมือก่อน ใช้บุตรข่มขู่ตนเอง!
มั่วชิงเฉินยิ้มหวานขึ้นมาว่า “ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยย่อมไม่กล้าอยู่แล้ว”
แม้จะพูดเช่นนี้ กริชในมือกลับขยับแล้วขยับอีก
หญิงสาวหรี่ตาหงส์ยาวชี้ขึ้นว่า “นางหนูน้อย เจ้ากล้าข่มขู่ราชาอย่างข้า?”
ราชาอย่างข้า?
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง สีหน้ายากจะปิดบังความตื่นตะลึง
หญิงสาวในชุดสีฟ้าหัวเราะคิกคักขึ้นมา เหมือนดนตรีที่กังวานไพเราะหลั่งไหลออกมาว่า “ดูท่าผู้อาวุโสในสำนักของพวกเจ้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตรอดกลับไปได้จริงๆ ไม่คิดว่าไม่แม้แต่จะบอกพวกเจ้าว่า ข้าคือหนึ่งในสี่จอมราชาปีศาจแห่งดินแดนทุรกันดารหรือเช่นไร?”
สี่จอมราชาปีศาจ?
มั่วชิงเฉินโอดครวญในใจ ดูท่าโชคของพวกนางไม่ใช่ดีธรรมดาจริงๆ ไม่เพียงแต่ตกลงมาในรังเก่าของอสูรปีศาจ อสูรปีศาจตัวนี้มารดานางยังเป็นราชาปีศาจอีก!
ต่อให้ในใจโอดครวญ บนใบหน้ากลับสงบลงมา มองหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าที่เรียกตัวเองว่าราชาปีศาจแล้วยิ้มหวานว่า “ไม่คิดว่าผู้น้อยสองคนจะได้ประจักษท่วงท่าที่สง่างามของราชาปีศาจ ช่างมีบุญวาสนาจริงๆ”
หลัวเตี๋ยจวินที่อยู่ข้างๆ แม้ไม่เอ่ยปาก สีหน้ากลับสงบเยือกเย็น ดูไม่ออกว่ากลัวเลยสักนิด
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าเม้มปาก นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางหนูน้อยระดับสร้างรากฐานสองคนจะมีความกล้าเช่นนี้ ที่นางใช้คำพูดบีบคั้นอีกก็เพื่อหาโอกาสที่พวกนางตื่นตะลึงเผลอไผล กลับไม่คิดว่าสองคนนี้กลับสามารถหน้าไม่เปลี่ยนสีได้ภายใต้พลานุภาพของนาง
น่าชังที่ตนเองบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้น ต่อให้พวกนางอุ้มบุตรไว้ในอ้อมอก ก็ใช่ว่าจะข่มขู่ตนเองได้!
มั่วชิงเฉินสีหน้าสงบ มองหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าอย่างไม่ขยับเขยื้อน
นางไม่รู้ความคิดในใจพวกนี้ของหญิงสาว กลับรู้ว่ายามนี้จะประมาทแม้แต่น้อยไม่ได้ เผชิญหน้ากับอสูรปีศาจขั้นสิบเมื่อไรที่จิตใจเหม่อลอย นั่นก็คือภัยร้ายแรงถึงตาย!
จู่ๆ หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าก็เก็บพลังขึ้น บุคลิกนุ่มนวลขึ้นมาว่า “ช่างเถอะ ข้าก็ไม่ถือสานางหนูน้อยอย่างพวกเจ้าสองคนหรอก ขอเพียงพวกเจ้าปล่อยบุตรของข้า ข้าก็จะอนุญาตให้พวกเจ้าจากไปอย่างอิสระ จะไม่ขัดขวางเด็ดขาด”
หลัวเตี๋ยจวินเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง เห็นนางสีหน้าไร้คลื่นลม จึงกอดไข่นกในอกไว้แน่นยิ่งขึ้น
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าเลิกคิ้วยาวว่า “เป็นอันใด หรือว่าเป็นถึงนักบำเพ็ญเพียรปีศาจจำแลงขั้นสุดท้ายอย่างข้า ยังจะกลับคำไม่รักษาคำพูดกับผู้น้อยสองคนหรืออย่างไร?”
จำแลงขั้นสุดท้าย นั่นเทียบเท่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายเชียวนะ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายทั่วทั้งดินแดนเทียนหยวนยื่นสองมือออกมาก็นับได้หมด
พรรคเหยากวงอยู่อันดับสามในสี่สำนักแปดนิกาย ก็มีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายเพียงสองท่านเท่านั้น ในนั้นท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งโส่วเต๋อเจินจวินอายุขัยใกล้เข้ามาแล้ว หลิวซางเจินจวินก็เพียงเพิ่งเลื่อนขั้นได้ไม่กี่สิบปีเท่านั้น
มั่วชิงเฉินโอดครวญถึงความโชคดีของตนเองในใจอีกครั้ง สีหน้ากลับสงบราบเรียบ ยังคงยิ้มละไมว่า “ผู้น้อยสองคนย่อมเชื่อท่านผู้อาวุโสอยู่แล้ว เพียงแต่ที่นี่ป่าลึกต้นไม้หนาทึบ หากรบกวนผู้อาวุโสคนอื่นเข้า ก็กลับจะไม่สวยแล้ว”
“นางหนูน้อย เจ้าคิดจะเอาเช่นไรกันแน่?” หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าในที่สุดก็เผยสีหน้าโกรธออกมา ปลายนิ้วกลับสั่นอย่างแผ่วเบามาก
มั่วชิงเฉินเห็นจนหมด ในใจแอบว่าโชคดี หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าระดับจำแลงขั้นสุดท้ายผู้นี้ดูท่าอาการบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส มิเช่นนั้นจะเป็นคนที่พวกนางสองคนข่มขู่ได้เช่นไร
“ยังขอให้ท่านผู้อาวุโสส่งเราสองคนสักครั้ง” มั่วชิงเฉินกอดไข่นกพื้นขาวจุดดำแน่นขึ้น ในใจกลับสงสัย หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าก็คือนกยักษ์หางฟ้าตัวหนึ่งชัดๆ เหตุใดไข่นกกลับเป็นพื้นขาวจุดดำนะ
จากนั้นกดความคิดไร้สาระนี้ลงไปอีก นี่เวลาอะไรแล้ว ยังมีกะจิตกะใจคิดพวกนี้อีก
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าเลิกคิ้วขึ้นดูเหมือนอยากพูดอะไร กลับฝืนทนไว้ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ได้ ไปเถอะ”
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ไม่กล้าแสดงความปิติออกมาแม้แต่น้อย อุ้มไข่นกไว้แน่นๆ แล้วตามไป
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าขาเหยียบแสงฟ้าบินออกจากป่าด้วยอย่างไม่เร็วนัก มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้หยุดลง หากแต่เชิญนางนำทางต่อไปยังทิศใต้
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าแม้ไม่พูดอะไร มั่วชิงเฉินกลับรู้ว่าได้ล่วงเกินอสูรปีศาจขั้นจำแลงขั้นสุดท้ายผู้นี้อย่างสาหัสแล้ว ทว่ายามนี้ สร้างศัตรูหรือไม่ไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณาแล้ว สิ่งที่นางทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือถ่วงเวลาต่อไป ดูว่าสามารถพบนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์หรือไม่
หากหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าไม่ได้พูดปด นางเป็นหนึ่งในสี่จอมราชาปีศาจแห่งดินแดนทุรกันดารจริง เช่นนั้นรังนกเมื่อครู่ต้องไม่ใช่ที่อยู่ที่แท้จริงของนางแน่นอน กลับเหมือนสร้างขึ้นมาอย่างรีบเร่งมากกว่า
หากสันนิษฐานตามนี้ ที่นี่ก็ไม่ใช่ส่วนลึกของดินแดนทุรกันดารแล้ว น่าจะเพราะยามวิกฤตอสูรมันมาสู้กับนักบำเพ็ญเพียรถึงเขตแดนของดินแทนเทียนหยวน ต่อมาพบว่าจะออกไข่คลอดลูก ถึงได้รีบหาสถานที่สร้างรัง
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือคราบเลือดที่ชายกระโปรงของนางยังไม่แห้ง แสดงว่าบาดแผลเป็นของใหม่ ไม่แน่ว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ตามฆ่านางวันนั้นก็อยู่ใกล้ๆ นี้แหละ
ทั้งหมดนี้แม้เป็นเพียงการคาดเดาของมั่วชิงเฉิน ทว่าพลังของศัตรูและฝ่ายข้าห่างกันเหลือเกิน สิ่งที่ทำได้นางทำจนหมดแล้ว ที่เหลือที่พอคาดหวังได้ ก็คือโชคที่เป็นเพียงภาพมายานั่นแล้ว
อาจเพราะโชคของพวกนางไม่เลวจริงๆ เดินไปอีกชั่วครู่ก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพมหาศาลสายหนึ่งส่งผ่านมาแต่ไกล
พวกมั่วชิงเฉินสองคนยังไม่ทันได้เผยสีหน้ายินดี ก็เห็นคนที่มาได้อย่างชัดเจนว่าคือชายชุดขาวรูปร่างกำยำ ใบหน้าหล่อเหลา พอเขาอ้าปากก็ทำให้ทั้งสองคนเหมือนตกลงสู่หลุมน้ำแข็งว่า “น้องไป่หลี่ เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
ในการพูดจายากจะปิดบังความห่วงใย
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าดูเหมือนก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน กลับไม่มีเวลาซักไซ้อย่างอื่น มือชี้พวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “ไป๋เซียวเทียน เจ้ารีบช่วยข้าฆ่ายัยเด็กบ้าสองคนนี้เสีย!”
ดวงตาที่ดุดันของชายชุดขาวก็มองมาทางพวกมั่วชิงเฉินสองคน แววตาตกลงบนไข่นกในอกทั้งสองคนแล้วสีหน้าเย็นชาลงทันที ไม่พูดแม้แต่คำเดียว มือก็ตะปบไปกลางอากาศตามทิศทางของทั้งสองคน
บนท้องฟ้า รอยฝ่ามือมหึมาอันหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด พุ่งตรงไปยังทั้งสอง
แม้รอยฝ่ามือยังมาไม่ถึงหน้าทั้งสอง มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินกลับสัมผัสได้ถึงพลานุภาพที่ไม่มีอะไรเทียบได้ ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้แล้ว
หรือว่าชะตาชีวิตควรเป็นเช่นนี้?
มั่วชิงเฉินแม้ไม่ยอมรับชะตา กลับคิดวิธีอื่นใดไม่ออกอีกแล้ว
หากประจันหน้ากับอสูรปีศาจชั้นห้า กระทั่งขั้นหกยังสามารถแลกกันสักตั้ง ทว่าเผชิญหน้ากับการจู่โจมของอสูรปีศาจอย่างน้อยขั้นแปดขึ้นไป ช่างไม่อาจทำอะไรได้จริงๆ
“เดรัจฉานเจ้ากล้า!” เสียงตะคอกเย็นชาดังมาจากที่ไกลๆ สะเทือนจนเมฆขาวบนฟ้าก็ดูเหมือนยังสั่นไหว
แล้วก็เห็นรอยฝ่ามือมหึมาบนฟ้าอันนั้นกระตุกทีหนึ่ง แปลงเป็นแสงสีเหลืองสายหนึ่งบินข้ามไป
มั่วชิงเฉินทอดสายตามองไป นักบำเพ็ญเพียรสองคนรุดมาจากที่ไกลๆ คนหนึ่งในนั้นหวีผมทรงนักพรตเต๋า ไว้หนวดยาว ในมือยกขวดน้ำเต้าม่วงทองใบหนึ่งขึ้นสูง แสงสีเหลืองที่แปลงจากรอยฝ่ามือก็มุดเข้าน้ำเต้าไป
มั่วชิงเฉินกรอบตาร้อนผ่าว น้ำตาเกือบร่วงลงมา
นักบำเพ็ญเพียรที่ชูขวดน้ำเต้าสีม่วงทองมิใช่ใครอื่น คืออาจารย์ปู่ของนางหลิวซางเจินจวินนั่นเอง!