พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 347

ตอนที่ 347

ความเร็วของไหมเกล็ดน้ำแข็งที่มั่วชิงเฉินเหยียบอยู่แม้จะเร็ว กลับต้านพลานุภาพมหาศาลที่เกิดจากการจู่โจมเต็มกำลังของอสูรปีศาจจำแลงไว้ไม่อยู่

พลานุภาพมหาศาลนั่นทำให้นางหายใจติดขัด ดั่งเดินอยู่ในโคลนตม ร่างกายเชื่องช้าลง

ในเมื่อหลบไม่พ้น เช่นนั้นก็ตั้งรับ!

มั่วชิงเฉินเก็บไหมเกล็ดน้ำแข็งแล้วตีลังกากลางอากาศ ยืนอยู่กลางอากาศ มีเพียงเช่นนี้ถึงสามารถลดการสูญเสียพลังวิญญาณให้น้อยที่สุด

เสียงดัง “ติ๊ง” ห่วงกลมสีทองห่วงหนึ่งชนไปที่แสงวิญญาณที่ไล่ตามมา จากนั้นดีดออกไปอย่างเร็ว

มั่วชิงเฉินโยนของที่เป็นแผ่นบางๆ ออกจากมือ คือสมบัติวิเศษป้องกันใช้ครั้งเดียวที่เยี่ยเทียนหยวนให้นางไว้เมื่อคืนนั่นเอง

ของสิ่งนั้นมาถึงบนฟ้าแล้วขยายขึ้นเมื่อถูกลมพัด กลายเป็นโล่สีเขียวมหึมาอันหนึ่งอย่างรวดเร็ว

โล่ปะทะกับแสงวิญญาณถูกซัดจนแหลกละเอียด ดังโครม กลายเป็นเศษขนาดเท่าผงธุลีมลายหายไปในฟ้าดิน

แสงวิญญาณที่กระเ**้ยนกระหือรือนั่นเบาลงอย่างไม่คาดคิด

ยามนี้เองการโจมตีจากสี่คนที่เหลือก็เริ่มขึ้น

นักพรตจื่อซวินสะบัดโซ่เงินในมือ กระพรวนบนโซ่เงินดังกรุ๊งกริ๊ง ผสานกันเป็นคลื่นวิญญาณที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าแล้วกระเพื่อมออก ซัดลงบนแสงวิญญาณระลอกแล้วระลอกเล่า ชั่วขณะนั้นท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงเงา

นักพรตเชียนหานกลับพลิกหน้าพัด น้ำทะเลสาบที่อยู่ด้านหลังกลายเป็นคลื่นยักษ์ซัดสาด คำรามพลางหลุดออกจากหน้าพัด สายน้ำและขอบฟ้าเชื่อมเข้าหากันม้วนทะยานมา แสงวิญญาณที่จู่โจมมาสายนั้นในที่สุดก็สลัวลง

ทว่าในยามนี้เอง อสูรปีศาจจำแลงก็ไล่มาถึงตรงหน้าแล้ว!

“ลูกกระจ๊อกทั้งหลาย ตายเสียเถอะ!” หญิงสาวที่ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองดำสลับกันกางแขนออก เส้นผมปลิดปลิว พื้นที่ด้านหน้าอกนางเริ่มบิด จากนั้นกลายเป็นหลุมอากาศวนขนาดมหึมา

หลุมอากาศวนนั่นหมุนด้วยความเร็วสูง ดูดปราณวิญญาณในฟ้าดินที่ทะลักมาจากรอบด้านเข้าไปภายใน จากนั้นเล็งตรงไปที่ทุกคนเหมือนปากที่อ้าออกของสัตว์ป่า

ทุกคนรู้สึกทันทีว่าตรงหน้ามีแรงดูดที่ยากจะต้านทานสายหนึ่ง ลากพวกเขาเข้าไปในหลุมดำทีละนิดๆ

เลื่อนขั้นก่อแก่นปราณ ก็ก้าวเข้าแถวของนักบำเพ็ญเพียรระดับสูงแล้ว ไม่ว่าเดินไปถึงไหนล้วนมีฐานะระดับหนึ่งแล้ว ‘ลูกกระจ๊อก’ ที่อสูรปีศาจจำแลงเรียกนั้นกระตุ้นไฟโกรธและความทรนงที่อยู่ในส่วนลึกของทุกคนขึ้นทันที

“ท่านย่าเอ๊ย ข้าขอแลกแล้ว!” นักพรตเชียนหานดวงตาดอกท้อที่ชี้ขึ้นจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ปากกลับเม้มไว้แน่น คลี่พัดพับในมือออกโดยพลัน อีกมือหนึ่งวางไว้ที่ปากแล้วกัดอย่างแรงทีหนึ่ง หยดโลหิตหยดหนึ่งลงหน้าพัด

เสียงฟู่ดังขึ้น หน้าพัดราวกับติดไฟ นักพรตเชียนหานกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย มือที่โลหิตหยดอยู่ข้างนั้นตีเคล็ดวิญญาณออกสายหนึ่งหายเข้าพัดไป

ทีนี้หน้าพัดยิ่งลุกไหม้โชติช่วงขึ้น ส่งเสียงเปรี๊ยะๆ

“เคราะห์วิหค…” นักพรตเชียนหานตะโกนทีละคำ แล้วก็เห็นก้านพัดที่ค้ำหน้าพัดไว้ดิ้นหลุดออกมา แปลงเป็นวิหคไฟเก้าสายพุ่งเข้าหลุมดำไป

นักพรตจื่อซวินหัวเราะเสียงหวาน เสน่ห์เย้ายวนใจ พูดเสียงไพเราะว่า “กระพรวนทองเคลื่อน…”

โลหิตหายเข้าโซ่เงินเช่นกัน จู่ๆ กระพรวนสิบกว่าอันด้านบนดังขึ้นไม่หยุด ยิ่งดังยิ่งเร่งรีบทำให้คนฟังแล้วหงุดหงิดกระวนกระวาย

ในชั่วอึดใจกระพรวนก็ดิ้นหลุดออกมาโดยพลัน เร็วจนเห็นเพียงเงาสิบกว่าเงาไปถึงหน้าอสูรปีศาจจำแลงแล้วระเบิดดังปัง แรงกระแทกมหาศาลพุ่งเข้ามา เมฆที่ล่องลอยอยู่บนฟ้าล้วนม้วนทะยานตามไม่หยุด

ตามมาด้วยกระตุกข้อมือ โซ่เงินในมือกลายเป็นเส้นตรง ราวกับหนามเงินแทงตรงไปที่อสูรปีศาจจำแลง

นักพรตโยวหย่วนอมยิ้มที่มุมปาก สายตากลับเย็นยะเยือกไม่มีความอุ่นเลยสักนิด กระบี่ยาวสีทองในมือเป็นประกายแวววาว แต้มไปที่พระอาทิตย์เจิดจรัสบนฟ้า แก่นแห่งตะวันสายหนึ่งส่องลงมาจากข้างบน หายเข้าไปในกระบี่ยาวสีทองจนหมด กระบี่ยาวสีทองสว่างจนแสบตาในทันที แสงวิญญาณหมุนวน

“กางเขนพิฆาตตะวัน…” นักพรตโยวหย่วนปากตะคอกพลาง สองมือชูกระบี่ขึ้น กระโดดลอยตัวขึ้นกลางอากาศแล้วฟันลงอย่างดุดัน

ตบะของเขาสูงที่สุดในจำนวนหกคน อานุภาพดูแล้วจึงน่าพรั่นพรึงที่สุด

เห็นเพียงแสงกระบี่ที่อานุภาพน่าเกรงขามปรากฏขึ้นบนฟ้าทันที ฝ่าเมฆตรงหน้าเป็นสองซีก จากนั้นพุ่งเข้าหาอสูรปีศาจจำแลงอย่างดุดัน

ตามติดมาด้วยแสงกระบี่ตามขวางปรากฏขึ้นบนฟ้าอีก พุ่งตามไปเช่นกัน ผสานเข้าด้วยกันกับแสงกระบี่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า กลายเป็นกางเขนสีทองมหึมาอันหนึ่ง หากมีคนขวางอยู่ข้างหน้าล่ะก็ไม่มีทางหลบได้เด็ดขาด

การโจมตีของนักพรตเชียนหาน นักพรตจื่อซวิน นักพรตโยวหย่วนแทบจะไปถึงอสูรปีศาจจำแลงในเวลาเดียวกัน การโจมตีอย่างเต็มกำลังของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามท่าน ต่อให้เป็นอสูรปีศาจจำแลงก็ไม่กล้าขวาง ถอยไปข้างหลังโดยพลัน

ทว่าบนท้องฟ้าในยามนี้ ไม่รู้ปรากฏพระอาทิตย์สว่างไสวเก้าดวงขึ้นตั้งแต่เมื่อไร เสียงเย็นชาอย่างผิดปกติเสียงหนึ่งดังขึ้น “ห่วงตะวันย้อยดารา…”

เพิ่งสิ้นเสียง ก็เหมือนกระทบถูกอะไรบางอย่าง พระอาทิตย์เก้าดวงเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า แสงดาวเหล่านั้นย้อยลงกลายเป็นม่านแสงละลานตาผืนหนึ่ง ด้านบนแขวนเต็มไปด้วยดาราระยิบระยับนับไม่ถ้วน

ต่อมาดาราเหล่านั้นกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง เปล่งเสียงไพเราะเสนาะหู แล้วร่วงหล่นลงมาราวกับมุกที่เชือกร้อยขาด

ดาวตกราวสายฝน อสูรปีศาจจำแลงไม่มีที่หลบ สั่นไปทั้งตัว และกรีดร้องออกมาทันที

และเวลานี้เอง มั่วชิงเฉินง้างธนูชิงอิ่นเต็มวง หนึ่งยิงสามศรลากแสงวิญญาณออกสามสายขึ้นบนฟ้า

ศรสามดอกนี้ ศรทองคำนำหน้า กระบี่ไม้ท้ออยู่กลาง ศรเหมันต์รั้งท้าย บินเข้าหาอสูรปีศาจจำแลงตามลำดับ

อสูรปีศาจจำแลงถูกพวกนักพรตโยวหย่วนสามคนรวมพลังกันบีบจนถอยหลังอยู่ก่อน อีกทั้งถูกห่วงตะวันย้อยดาราของเยี่ยเทียนหยวนทำร้ายบาดเจ็บ ศรทองคำที่บินมามาพร้อมเสียงหวีดแหวกฟ้า มาถึงตรงหน้าในยามนี้พอดี

อสูรปีศาจจำแลงอ้าปาก พ่นปราณสีขาวออกสายหนึ่งซัดศรทองคำกระเด็น ทว่ากระบี่ไม้ท้อที่ตามมาติดๆ หมุนเปลี่ยนทิศทางแล้วพุ่งขึ้นไป พอมันเงยหน้าก็เห็นกระบี่ไม้ท้อแปลงเป็นกิ่งดอกไม้หมื่นพันกิ่งล้อมมันไว้ภายใน

ในชั่วอึดใจ อสูรปีศาจจำแลงพบว่าสภาพแวดล้อมของมันได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ก่อนหน้านี้ยังเป็นฟ้าครามเมฆขาว ไม่มีสิ่งใดอื่น ทว่าบัดนี้มันกลับอยู่กลางทุ่งหิมะที่ลมหนาวกระโชก

ต่อให้อสูรปีศาจตบะสูงเพียงใด อย่างไรเสียก็ขาดแคลนทักษะในด้านค่ายกล หลอมโอสถเหล่านี้ มั่วชิงเฉินใช้ศรทองคำคุ้มกัน กลับใช้ศรไม้ท้อเป็นกระบี่ แล้วใช้เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขั้นที่สาม ทะเลบุปผามายา

เพราะเขตแดนของอสูรปีศาจจำแลงสูงกว่าช่วงเบ้อเริ่ม สับสนเพียงชั่วครู่ก็แหกค่ายออกมา ทว่าที่มั่วชิงเฉินต้องการก็คือความสับสนชั่วสั้นๆ นี้แล

ศรเหมันต์ของนางมาถึงแล้ว และสัมผัสถูกอสูรปีศาจจำแลงได้ดังใจหมาย แม้ถูกตบกระเด็นในพริบตานั้น เปลวน้ำแข็งเหมันต์กลับตกลงบนตัวมันอย่างเงียบเชียบ

เปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่แปลงจากแก่นแห่งจันทราหนาวเย็นเสียดกระดูก มีจุดตกเป็นศูนย์กลาง น้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งแผ่นซ่านไปรอบๆ

อสูรปีศาจจำแลงนัยน์ตาเผยให้เห็นความตระหนก กรีดร้องขึ้นเสียงหนึ่ง ฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บข่วนน้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่บนร่างไม่หยุด แกร๊กๆ กะพริบประกายไฟนับไม่ถ้วนขึ้น

ทั้งสี่คนที่โจมตีอย่างเต็มกำลังเลือดไหลออกมุมปาก หอบหายใจ นักพรตหมิงโหรวกลับหมุนวนอยู่บนฟ้าไม่หยุด

ท่วงท่านางอ่อนช้อยมาก กระโปรงสีเหลืองนวลพลิ้วตามลม เครื่องประดับในตัวดังกรุ๊งกริ๊ง เหมือนกำลังร่ายรำอยู่

“สาวงามเก้าชั้นฟ้า…” เมื่อยามที่นางหมุนจนกลายเป็นแสงสีเหลืองสายหนึ่ง และก็เป็นยามที่อสูรปีศาจจำแลงยุ่งอยู่กับการรับมือเปลวน้ำแข็งเหมันต์พอดี

เงาของหญิงในชุดเหลืองบินโฉบไปอย่างรวดเร็ว และทะลุผ่านตัวอสูรปีศาจจำแลงโดยตรงอย่างคาดไม่ถึง ส่วนมืออสูรปีศาจจำแลงที่ข่วนไม่หยุดแข็งทื่อทันที ในตาเผยให้เห็นความทื่อทึ่มสายหนึ่ง

นักพรตหมิงโหรวราวกับใช้กำลังจนหมด หลังจากร่างกายหยุดหมุนแล้วก็ร่อนลงบนสมบัติวิเศษเหินหาวอย่างหนักหน่วงหอบหายใจแรง มุมปากมีเลือดไหลออกมาเช่นกัน

มั่วชิงเฉินเห็นสายตาของอสูรปีศาจจำแลงทื่อทึ่ม ประกายแสงวาบขึ้นในตา ก้อนอิฐปรากฏขึ้นในมือแล้วขดตัวขึ้นแล้วดีดใส่มันเหมือนกระสุนปืนใหญ่ก็ไม่ปาน เมื่อมาถึงตรงหน้าก็ควงแขนเป็นวงกลม ตบก้อนอิฐในมือใส่หน้ามันอย่างสุดแรงเกิด

“ก้อนอิฐ!” น่าจะเพราะติดเชื้อจากอานุภาพของทุกคน ในยามที่ทุ่มสุดตัว มั่วชิงเฉินก็แผดเสียงตะโกนออกมาสองคำเช่นกัน

ขณะที่อสูรปีศาจจำแลงกำลังสับสนหน้าก็ถูกตบอย่างแรง เห็นดาวขึ้นมาทันที ตัวหงายไปข้างหลัง

มั่วชิงเฉินจะยอมปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปได้อย่างไร โคจรพลังวิญญาณทั้งร่างแล้วใช้แรงกินนมตบใส่มันทีแล้วทีเล่า

ชั่วขณะหนึ่งฟ้าดินเงียบสงบ นอกจากเสียงหายใจของทุกคนแล้ว ก็คือเสียงก้อนอิฐทุบร่างเนื้อไม่หยุด เสียงทื่อๆ เช่นนี้ทำให้คนขนหัวลุก

ไม่รู้ตบไปกี่ที มั่วชิงเฉินถึงได้สติกลับมาจากสภาพเลือดร้อนเช่นนั้น จากนั้นล้มนั่งลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็งเต็มก้น หอบหายใจแรง

อสูรปีศาจจำแลงที่ถูกตบจนอากาศเข้ามากอากาศออกน้อยหงายหลังไปอย่างอ่อนยวบ มั่วชิงเฉินตาไวมือเร็วสะบัดแสงวิญญาณออกสายหนึ่งยันมันไว้ ต่อจากนั้นก็เห็นหญิงสาวที่เดิมใส่ชุดสีเหลืองดำสลับกันถูกแสงสีขาวหุ้มไว้ กะพริบอยู่ชั่วครู่แสงสีขาวก็หายไป ศพนกกระจอกตัวเท่ากระต่ายโผล่ออกมา

ไม่คิดว่าร่างเดิมของอสูรปีศาจตัวนี้ จะเป็นนกกระจอกตัวหนึ่ง

มิน่าภายใต้การร่วมมืออย่างรู้ใจและจู่โจมเต็มกำลังของทุกคนถึงสามารถฆ่าอสูรปีศาจจำแลงขั้นต้นได้ ที่แท้มันไม่ใช่อสูรปีศาจที่เชี่ยวชาญด้านการโจมตี

มั่วชิงเฉินกำลังคิดว่าโชคดี แล้วก็มองไปที่ทุกคน

กลับพบว่าทุกคนมองนางด้วยสีหน้าประหลาดเหมือนกันหมด แม้แต่เยี่ยเทียนหยวนแม้ยังคงเป็นหน้าภูเขาน้ำแข็งที่เย็นชา กลับมีอารมณ์ชนิดหนึ่งที่ปกติไม่มี… อึ้ง

สิ่งที่ตีบรรยากาศเงียบสงัดอย่างประหลาดนี้แตกคือ อสูรปีศาจที่รุดมาจากรอบทิศรอบทางตามกลิ่นคาวเลือด

สัมผัสได้ถึงปราณปีศาจนับไม่ถ้วนบีบเข้ามาใกล้ ทุกคนหน้าถอดสี บัดนี้พวกเขา ต่างหมดแรงไม่อาจขับเคลื่อนสมบัติวิเศษเหินหาวได้เต็มกำลังแล้ว

มั่วชิงเฉินลุกพรวดขึ้น ไหมเกล็ดน้ำแข็งขยายออกทันที “สหายเต๋าทุกท่าน รีบขึ้นมาแร็ว” พูดพลางยื่นมือลากเยี่ยเทียนหยวนขึ้นไป

พวกนักพรตโยวหย่วนรีบกระโดดขึ้นไป

“สหายเต๋าชิงเฉิน อย่าอำเอียงเช่นนี้สิ” นักพรตเชียนหานดวงตาดอกท้อยิ้มจนโค้งขึ้น สีหน้ากวนประสาทมาก นั่งอยู่บนสมบัติวิเศษเหินหาวของตนไม่ขยับเขยื้อน

มั่วชิงเฉินเหล่เขาปราดหนึ่ง โคจรพลังวิญญาณเร่งไหมเกล็ดน้ำแข็งบินไปข้างหน้าอย่างเร็ว

“อ๊าก รอข้าด้วย!” นักพรตเชียนหานสองมือจับหางของไหมเกล็ดน้ำแข็งไว้แน่น ห้อยอยู่ข้างล่างแกว่งไปแกว่งมา

มั่วชิงเฉินไม่สนใจแม้แต่น้อย กระดกมุมปากขึ้น ไหมเกล็ดน้ำแข็งที่เหยียบอยู่บินเร็วขึ้นอีก

“อ๊าก สหายเต๋าชิงเฉิน นี่เจ้าจะ…ฆ่าคนปิดปาก…” นักพรตเชียนหานกรีดร้องเหมือนหมูถูกเชือด แต่ดูแล้วกลับยังคงสง่างามดังเดิม

นักพรตจื่อซวินยิ้มหวานแล้วยื่นแขนออกว่า “สหายเต๋าเชียนหาน ให้ศิษย์น้องลากเจ้าขึ้นมาเถอะ”

นักพรตเชียนหานจ้องมือเรียวงามที่ยื่นมาแล้วกะพริบตา แย้มยิ้มสดใสออกมาว่า “ไม่รบกวนแม่นางจื่อซวินดีกว่า ข้าน้อยรู้ว่าบัดนี้เจ้าก็ต้องอ่อนแรงแล้วแน่นอน” พูดพลังเอามือยันแล้ว ปีนขึ้นมา

ที่ที่มั่วชิงเฉินจะไป ยังคงเป็นถ้ำนั้น ทว่ากลับไปยามนี้ก็ต่างจากที่ถูกกักแต่ก่อนแล้ว เป็นสถานที่ที่ให้ทุกคนรักษาบาดแผลและฟื้นฟูพละกำลังเป็นการชั่วคราว เห็นชัดว่าทุกคนก็เข้าใจจุดนี้ดี อารมณ์รื่นรมย์กว่ายามที่ออกมามากอย่างเห็นได้ชัด

มาถึงถ้ำมั่วชิงเฉินนั่งขัดสมาธิกำลังจะเข้าฌาน เสียงทางจิตของเยี่ยเทียนหยวนกลับดังขึ้นว่า “ศิษย์น้อง”

“ศิษย์พี่ เป็นอันใดหรือ หรือว่าอาการบาดเจ็บ…”

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าประหลาดเล็กน้อยว่า “ไม่ใช่ ศิษย์น้อง ลั่วหยางจะบอกว่า คราวหน้ายามเจ้าใช้ท่าไม้ตาย ร้องว่า ‘แหวกฟ้า’ อาจจะดีกว่าสักหน่อย”

มั่วชิงเฉิน…

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

Status: Ongoing

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน