เรื่องราว มันเป็นเช่นนี้
คืนวันนั้น หลังจากถังมู่เฉินมากินเปล่าดื่มเปล่ากลับไปแล้ว มั่วชิงเฉินเก็บกวาดเสร็จ หยิบโอสถสีชมพูออกมาเม็ดหนึ่ง
“ศิษย์พี่ กินนี่ลงไปเสีย ยามกินลงไป จำไว้ว่าในสมองให้คิดถึงถังมู่เฉินไว้”
เยี่ยเทียนหยวนรับมา กินลงไปอย่างว่าง่าย แล้วถึงถามว่า “นี่คือโอสถอะไร?”
มั่วชิงเฉินมองดูเยี่ยเทียนหยวน แล้วผงกศีรษะอย่างพอใจ โบกมือปรากฏกระจกหลิงฮวาขึ้นบานหนึ่ง ยื่นข้ามไปว่า “ศิษย์พี่ดูเสียหน่อย”
เยี่ยเทียนหยวนมองไปที่กระจก ในตาปรากฏแววความตื่นตะลึงทันที
ในกระจก ไม่คิดว่าจะเป็นใบหน้าของถังมู่เฉิน!
“ศิษย์น้อง ไยเจ้าต้องเปลี่ยนข้าให้อยู่ในสภาพของสหายเต๋าถังด้วย?” เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากบางแน่น
มั่วชิงเฉินไม่ได้คิดมากปานนั้น เดินวนรอบเยี่ยเทียนหยวนไปมา ดูหน้าดูหลังจนทั่ว แล้วพยักหน้าอย่างพอใจว่า “ศิษย์พี่หากท่านไม่เอ่ยปาก ก็แยกกับถังมู่เฉินไม่ออกจริงๆ”
เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว ไม่พูดสักคำ
มั่วชิงเฉินไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ยิ้มว่า “ศิษย์พี่ ท่านลองเดินให้ข้าดูสักสองสามก้าว”
เยี่ยเทียนหยวนสูดหายใจเข้าลึกๆ ฝืนเดินไปสองสามก้าว
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ ศิษย์พี่ เวลาท่านเดิน ต้องยกเท้าให้สูงหน่อย ฝีเท้าต้องแผ่วลงเล็กน้อย เช่นนี้ถึงยิ่งเหมือน”
เห็นเยี่ยเทียนหยวนไม่ขยับเขยื้อน มั่วชิงเฉินยื่นมือผลักดู “ศิษย์พี่…”
ยังพูดไม่จบมือก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนกุมไว้แน่น
มั่วชิงเฉินกะพริบตาอย่างประหลาดใจว่า “ศิษย์พี่ ท่านเป็นอะไรไปน่ะ?”
เยี่ยเทียนหยวนไม่พูดสักคำ จู่ๆ มือออกแรง ลากมั่วชิงเฉินเข้ามาในอ้อมกอด ใจเต้นดุจกลอง เสียงดังมาจากด้านบนว่า “ศิษย์น้อง ห้ามเจ้าคิดถึงเขา เขา เขาไม่เหมาะสมกับเจ้า…”
พูดถึงตรงนี้แล้วไม่มีเสียงอีก เสียงใจเต้นกลับดังขึ้นเรื่อยๆ เขากำหมัดไว้แน่น ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลัวคนในอ้อมกอดผลักเขาออก แล้วตบฉาดเข้าให้
มั่วชิงเฉินตะลึงงันกับพฤติกรรมใจกล้าและกะทันหันของเยี่ยเทียนหยวน ถึงกับลืมขยับเขยื้อน
นางตัวแข็งทื่อปล่อยให้เยี่ยเทียนหยวนกอด ไฟจริงในกายวิ่งพล่านไปทั่ว อยากรีบร้อนก่ายกอดกับไฟจริงของอีกฝ่าย
ความลังเลเพียงชั่วครู่นี้ จึงดูเหมือนยินยอม เยี่ยเทียนหยวนแม้เป็นมือใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ถึงที่สุดธรรมชาติที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของผู้ชายอยู่ตรงนั้น
เขาแทบจะควบคุมตนเองไม่ได้กอดคนในอ้อมกอดไว้แน่น ก้มหน้าประทับลงบนริมฝีปากแดงเรื่อที่นุ่มนิ่มราวกลีบดอกท้อ
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าสมองว่างโล่งไปหมด ชั่วขณะหนึ่งลืมซึ่งความคิด จนกระทั่งลิ้นที่งุ่มง่ามของเขาคิดจะโรมรุกบุกตะลุยเข้ามา ถึงลืมตาขึ้นโดยพลัน
สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในสายตา คือใบหน้าของถังมู่เฉิน
นางแทบจะไม่ต้องคิดก็ดึงก้อนอิฐออกมา ตบลงไปบนใบหน้านั้น จากนั้นผลักประตูพุ่งออกไป
เยี่ยเทียนหยวนชะงักงัน สีหน้าค่อยๆ ซีดลง แล้วก้าวเท้าไล่ตามออกไป
มั่วชิงเฉินพุ่งออกไปถูกลมกลางคืนเป่า ถึงได้สติกลับมา แล้วอดร้องเสียงเบาขึ้นไม่ได้ว่า “แย่แล้ว”
เพิ่งหันหลังเสร็จจะกลับไป ก็เห็นเยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่ตรงนั้น แม้เขายังคงอยู่ในสภาพของถังมู่เฉิน ทว่าบุคลิกกลับแตกต่างกันมาก
และที่สำคัญที่สุด ยามนี้บนใบหน้าเขายังมีรอยก้อนอิฐอยู่
เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ เสียงเบามากว่า “ศิษย์น้อง ขอโทษด้วย ข้าไม่ควรล่วงเกินเจ้า…”
“เปล่านะ เพราะข้าเห็นท่านเป็นถังมู่เฉินต่างหาก…” ยังพูดไม่จบมั่วชิงเฉินก็แทบอยากตบปากตนเอง
พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเป็นเขา ก็ล่วงเกินได้เช่นนั้นหรือ?
เยี่ยเทียนหยวนชะงักงันก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่เดิมแดงก่ำขึ้น เขาอดเดินขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่งไม่ได้ว่า “ศิษย์น้อง…”
มั่วชิงเฉินอายว่า “ข้าหมายถึง ข้าหมายถึงยามนั้นหากท่านหน้าตาเป็นตัวท่านเอง ข้าจะตบเบาหน่อย…”
เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกเพียงว่าในใจถูกความรู้สึกประหลาดเติมจนเต็ม อยากจะแผดเสียงตะโกน ดันทำไม่ได้ ทันใดนั้นเหมือนมีอะไรดลใจ เดินหน้าขึ้นไปก้าวหนึ่งแล้วกอดมั่วชิงเฉินไว้ในอ้อมกอดอีกครั้งทันที ริมฝีปากเขยิบไปข้างหูนางแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ศิษย์น้อง เช่นนั้นเจ้าก็ตบเบาหน่อยเถอะ”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าร่างกายอ่อนยวบไปหมดแล้ว เขา วันนี้เขาเป็นอะไรไป ไยถึงใจกล้าเช่นนี้?
ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือตกลงนางจะเอาก้อนอิฐตบหรือไม่?
ระหว่างที่คิดไม่ตก จุมพิตของเยี่ยเทียนหยวนก็ประพรมลงดุจหยาดฝน
มั่วชิงเฉินยื่นมือคิดจะผลักออก กลับถูกเขากอดไว้แน่น
“ศิษย์พี่…ขืนท่านทำเหลวไหลอีก จะ…จริงๆ นะข้าจะ…”
คำพูดที่เหลือถูกเยี่ยเทียนหยวนอุดไว้ในคอหอย กลายเป็นเสียงดนตรีที่แตกพล่าเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ศิษย์น้อง…” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยเสียงคลุมเครือ มือเลื่อนลงไปอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ ลงไปยังเอวที่คอดกิ่ว
มั่วชิงเฉินถึงตื่นตะลึง ได้สติกลับมา
สวรรค์ นี่พวกเขาทำอะไรอยู่ อีกทั้งยังอยู่ข้างนอกอีก!
เอ่อ ในห้องก็ไม่ได้เช่นกันนะ!
มั่วชิงเฉินผลักเยี่ยเทียนหยวนออกโดยพลันแล้วหอบหายใจแผ่วเบา รู้สึกว่าสมองสับสนเล็กน้อย
ครั้งนี้ เยี่ยเทียนหยวนกลับสายตาร้อนแรง มองนางอย่างอ่อนโยน
เสียงประหลาดเสียงหนึ่งดังขึ้น
สองคนหันกลับไปโดยพลัน เห็นเพียงเฉิงหรูยวนและเสิ่นฉงเหวินยืนอยู่ไม่ไกล สีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
มั่วชิงเฉินตกใจมาก ปฏิกิริยาแรกก็คือแย่แล้ว ศิษย์พี่ลั่วหยางถูกพบเข้าแล้ว!
เมื่อหันหน้าไปเห็นเยี่ยเทียนหยวนยามนี้ยังคงอยู่ในสภาพของถังมู่เฉินอยู่ จึงโล่งอก ทว่าต่อจากนั้นกลับแอบร้องขึ้นว่าแย่หนักกว่าเดิมแล้ว!
ถังมู่เฉินเอ๊ยถังมู่เฉิน หรือว่าเพียงแค่กลายเป็นสภาพของเจ้า ก็จะดึงดูดความโชคร้ายให้มาหาหรือ?
“พวกเจ้า พวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน!” เสิ่นฉงเหวินไม่รู้โกรธมาจากไหน หน้าดำหน้าเขียว
“ญาติผู้น้อง!” เฉิงหรูยวนเรียกให้หยุด จากนั้นฝืนยิ้มให้พวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “สหายเต๋าถัง แม่นางมั่ว เราไม่ได้มีเจตนา…รบกวน เมื่อครู่สังสรรค์กับพวกเขาครู่หนึ่ง ดื่มมากไปจึงออกมาเดินเล่น…”
ตนอธิบายเรื่องนี้ไปไย ยังกระอักกระอ่วนไม่พอหรือไร?
เฉิงหรูยวนพลางแอบด่าตนเอง พลางเอ่ยลา แล้วลากเสิ่นฉงเหวินจากไปโดยเร็ว
มองดูเงาหลังของพวกเขาแล้วมั่วชิงเฉินอยากร้องแต่ไร้น้ำตา ที่นี้ดีแล้ว พรุ่งนี้เจอถังมู่เฉินจะทำอย่างไรดี?
“ศิษย์น้อง เจ้ากังวลอยู่?” เยี่ยเทียนหยวนสีหน้ากลับใจเย็นผิดปกติ
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าอย่างจำใจว่า “เปล่า ช่างเถอะ ศิษย์พี่ เรารีบกลับห้องเถอะ”
“ศิษย์น้อง สภาพข้าเช่นนี้ จะเปลี่ยนกลับมาได้เมื่อไร?” เมื่อนึกถึงว่าตนจุมพิตนางในดวงใจด้วยสภาพของถังมู่เฉิน เยี่ยเทียนหยวนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์มาก แอบตัดสินใจว่ารอเปลี่ยนกลับเป็นสภาพของตน ต้องเอาใหม่อีกครั้งถึงจะนับ
ถูกต้อง เขากลัวมากว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝันที่สวยงาม โดยเฉพาะยามเปลี่ยนสภาพเป็นผู้อื่น ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สมจริง
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนเดินเคียงไหล่ ส่งเสียงทางจิตว่า “ยามีฤทธิ์หนึ่งชั่วยาม ศิษย์พี่ โอสถนี้เรียกว่าโอสถลอกใบหน้า สามารถเปลี่ยนคนคนหนึ่งเป็นสภาพของคนอีกคนหนึ่งเป็นเวลาสั้นๆ หลายวันมานี้ถังมู่เฉินอยู่กับเราทุกวัน ท่าทางการเคลื่อนไหวของเขาบางอย่าง ท่านน่าจะจำได้แล้วกระมัง?”
“ศิษย์น้อง เจ้าคิดจะให้ข้าจากไปด้วยสภาพของสหายเต๋าถัง?” เยี่ยเทียนหยวนถาม
“กันไว้ดีกว่าแก้ ไม่รู้ว่านั่งค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลมีเงื่อนไขอะไร หากเปิดหนึ่งครั้งสามารถนั่งได้หลายคน ถึงเวลาให้อู๋เย่ว์สำแดงคาถาพลางตัว พาท่านไปด้วยกัน หากทุกคนที่เข้าไป ล้วนมีปฏิกิริยา เช่นนั้นท่านก็จากไปด้วยสภาพของถังมู่เฉิน” มั่วชิงเฉินอธิบาย
นิ่งเงียบครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนหยวนถามว่า “เช่นนั้นสหายเต๋าถังทำเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบครู่หนึ่งเช่นกัน ถึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ถังเขาไม่อยากไปเสวียนโจวแต่แรกแล้ว หากเป็นทางเลือกที่สอง ข้าก็บอกเขาว่า ให้เขาไปท่องเที่ยวฝึกตนที่ทวีปอื่นก่อน วันหลังมีโอกาสหรือพบกันที่ไหนสักแห่งแล้วกลับดินแดนเทียนหยวนด้วยกัน หรือดูความปรารถนาของเขา ทว่าบัดนี้เพียงแต่เตรียมพร้อมไว้ทุกด้าน หากถึงเวลายังมีคนนอกนั่งค่ายเคลื่อนย้ายพร้อมกันล่ะก็ ไม่แน่ยังมีวิธีที่ดีกว่า”
“ศิษย์น้อง ทำให้เจ้าเปลืองสมองแล้ว”
เยี่ยเทียนหยวนนึกว่าตนชินกับร่างหยางบริสุทธิ์มานานแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่รู้ก่อปัญหาให้เท่าไร เขาไม่ฝึกให้กลายเป็นคนนิสัยเย็นชาไม่ได้
ทว่าบัดนี้ กลับเกลียดความไร้สามารถของตนอย่างลึกซึ้ง
“มีคนมา!” ทั้งสองคนส่งเสียงทางจิตพร้อมกัน จากนั้นมองหน้ากันปราดหนึ่ง หลบเข้าพุ่มดอกไม้ข้างๆ ด้วยกัน
ที่นี่ดอกไม้ต้นไม้หนาทึบ เงียบสงบมาก ไม่ไกลออกไปคือทะเลสาบแห่งหนึ่ง แสงจันทร์สาดส่องลงผิวน้ำ ขับให้ยิ่งเงียบสงัดขึ้น
มีเงาคนสองคนเข้ามาใกล้
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนต่างเป็นยอดฝีมือในการเก็บงำกลิ่นอาย หลบอยู่ในพุ่มดอกไม้กลั้นหายใจเพ่งสมาธิ ค่อยๆ เห็นหน้าของผู้ที่มา
มั่วชิงเฉินชะงัก ไม่นึกเลยว่าสองคนนี้คือสยงสี่ที่เคยคบค้าสมาคมที่เขตไร้จน อีกคนหนึ่งผมขาวหน้าเด็ก คือลูกน้องของเขามู่ซีเหนียน
พวกเขายิ่งเดินยิ่งใกล้ ยามที่เกือบมาถึงตรงหน้าก็ได้ยินสยงสี่เอ่ยเสียงเบาว่า “ซีเหนียน วันนี้เจ้าดื่มสุรามากเช่นนี้ไปไย?”
มู่ซีเหนียนสะบัดมือของสยงสี่ออกว่า “ไม่รบกวนให้คุณชายเป็นห่วง!”
กลิ่นหอมของสุราลอยมาจางๆ มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วแผ่วเบา สองคนนี้ดูแล้วดื่มไปไม่น้อย หรือว่าดื่มด้วยกันกับพวกเฉิงหรูยวน?
“ซีเหนียน เจ้าโกรธอยู่?” สยงสี่ยื่นมือออก กอดไหล่ของมู่ซีเหนียนไว้
มู่ซีเหนียนสะบัดออกอย่างแรง ยิ้มเยาะว่า “ข้าจะโกรธอะไร ข้ายังดีใจแทนคุณชายเลย ยังต้องแสดงความยินดีกับคุณชายสยงที่เข้ารอบประลองคัดเลือกเลย!”
สยงสี่สีหน้าซีดเผือด จับมือของมู่ซีเหนียนกดไว้ที่หน้าอกตนเอง ตะเบ็งเสียงเบาว่า “เจ้าลูบดู นี่ข้าดีใจอยู่หรือ? ซีเหนียน ข้าพูดไว้นานแล้ว ว่าจำเป็นต้องเข้ารอบประลองคัดเลือก!”
“นั่นมันแน่นอน เข้ารอบประลองคัดเลือก เจ้าก็สามารถกลายเป็นบุตรเขยของตระกูลซ่างกวานแล้ว!” มู่ซีเหนียนผมเงินสยาย พลิ้วไหวตามลม น้ำเสียงส่อเสียดยิ่งนัก
“เจ้ามันสารเลว!” สยงสี่เบิกตากว้าง จู่ๆ ก็ยื่นมือจับมู่ซีเหนียนไว้ แล้วก้มหน้าจูบลงไป
มู่ซีเหนียนยกมือขึ้น ตบสยงสี่เสียงดังกังวานดังเพียะ สยงสี่กลับไม่สะทกสะท้าน ยิ่งจูบยิ่งรีบร้อน
นี่ นี่เรื่องอะไรกัน?
มั่วชิงเฉินงงสนิทแล้ว หรือว่าคืนนี้นิยมจับชู้เช่นนั้นหรือ?
จู่ๆ เสียงร้องเบาๆ ดังขึ้น มู่ซีเหนียนดิ้นหลุดจากอ้อมกอดของสยงสี่ ยิ้มเยาะพลางมองสยงสี่
สยงสี่เช็ดโลหิตบนริมฝีปาก เดินหน้าก้าวหนึ่งจับข้อมือของมู่ซีเหนียนขึ้นแล้วลากเข้าพุ่มดอกไม้ข้างๆ
มั่วชิงเฉินใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ขึ้นมา นี่หากถูกพบเข้า ต้องถูกฆ่าปิดปากแน่นอนเลยสินะ แน่นอนสินะ?
“ศิษย์น้อง อย่าดู!” เยี่ยเทียนหยวนส่งเสียงทางจิตเงียบๆ อีกทั้งยังยื่นมือปิดตาของมั่วชิงเฉินไว้
มั่วชิงเฉินพูดไม่ออกบอกไม่ถูก มีจิตตระหนักอยู่ ปิดตามีประโยชน์อันใดเล่า
เพียงแต่ ดูผู้ชายสองคนเช่นนั้น ต้องเป็นตากุ้งยิงสินะ?
มั่วชิงเฉินตัดขาดจิตตระหนักแต่โดยดี เมื่อลืมตาดู กลับพบว่าเยี่ยเทียนหยวนดูอย่างใจจดใจจ่อ
“ท่าน ท่านก็ดูไม่ได้เช่นกัน!”