อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่ได้ทำให้หลัวอวี้เฉิงรู้สึกสับสน เขาโบกมือหนึ่งทีแทบจะในทันทีที่ตกลงไปในหลุมดำ วงกลมป้องกันโปร่งแสงสีเขียวมรกตก็ห่อทั้งสองคนไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา จากนั้นค่อยๆ ร่อนลง
เขายืนอยู่บนผืนดิน ปลดปล่อยจิตสัมผัสเพื่อสำรวจบริเวณรอบๆ ในระยะร้อยลี้อย่างรวดเร็ว เมื่อพบว่าไม่มีอันตรายใดๆ ถึงได้โปรยธงค่ายกลให้ลงบนพื้น แสงสีขาวสว่างวาบพลันม่านบังตาก็เริ่มบดบังทั้งสองคนไว้ตรงกลาง
“สหายมั่ว” หลัวอวี้เฉิงเห็นดวงตาทั้งสองข้างของมั่วชิงเฉินปิดสนิท จึงตะโกนเรียกหนึ่งครา แต่ก็ไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบกลับ จึงเลื่อนมือมายกข้อมือของนางขึ้น
เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ ตอนที่เขารีบไปถึงไม่ต้องมองนานก็รู้ถึงสภาพอันน่าเวทนาของการประลอง มองจากลมปราณที่ฮวาเชียนซู่ปล่อยออกมาแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นถึงระดับก่อกำเนิด เขาต้องใช้วิชาลับฝืนธรรมชาติบางอย่างแน่ แต่มั่วชิงเฉินที่สามารถต่อกรกับฮวาเชียนซู่ได้จนบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย ณ เวลานี้พลังวิญญาณในกายก็เต็มเปี่ยมแล้ว!
หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ นั้น หลัวอวี้เฉิงก็ถอนจิตสัมผัสกลับมา เขาหยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งให้นางกินลงไป สายตาหยุดอยู่บนมือขวาของนาง
ทั้งฝ่ามือถูกทำให้ทะลุ หนังและเนื้อปริออกมาข้างนอก เลือดแข็งตัวจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม และคราบเลือดเป็นจุดๆ บนเสื้อของนางส่วนใหญ่ ก็มาจากเลือดที่ไหลออกมาจากมือของนาง
หลัวอวี้เฉิงนำยาทาอวี้หลงที่ใช้รักษาแผลภายนอกซึ่งเป็นของจำเป็นสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณออกมา ทาลงบนมือขวาของมั่วชิงเฉินอย่างนุ่มนวล มองดูบาดแผลที่หายสนิทด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาหนึ่งผืน ใช้คาถาเสกฝนทำให้ชุ่ม และค่อยๆ เช็ดคราบเลือดและคราบต่างๆ บนมือให้สะอาด
เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยา เช่นนั้นสิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียงนี้ ที่เหลือคงต้องดูว่าร่างกายของมั่วชิงเฉินฟื้นฟูได้ช้าเร็วเพียงใด
จากนั้นเขาก็เดินทะลุม่านบังตา และเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมภายนอก
ภาพที่เห็นคือต้นไม้สูงเทียมเมฆ พุ่มไม้เตี้ย หญ้าเขียวขจีและดอกไม้ป่าที่งอกงาม เป็นทิวทัศน์ป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีชีวิตชีวา
หลัวอวี้เฉิงมิได้ส่งเสียงใดขณะสำรวจ มองจากภายนอกแล้ว ที่นี่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดผิดแปลกไป เมื่อครู่ที่ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบก็สัมผัสได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่มากมาย แต่ก็ไม่ได้มีอันตรายใดๆ ทว่าก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกอึดอัดในใจราวกับพายุกำลังจะมา
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่มีที่มาที่ไป จะมีก็แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเท่านั้นที่จะไม่เพิกเฉยกับเสียงในใจ
เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรเลื่อนระดับจากการบำเพ็ญเพียร สัมผัสทั้งห้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัมผัสที่หกเองก็เช่นเดียวกัน แม้จะยังไม่ถึงขั้นรับรู้ลิขิตสวรรค์ แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตนเอง โดยเฉพาะในยามคับขันก็มักจะมีสัญญาณบอก
หลัวอวี้เฉิงไม่ได้ขยายขอบเขตการใช้จิตสัมผัสตรวจสอบรอบๆ ยามนี้มั่วชิงเฉินบาดเจ็บสาหัสยังไม่ฟื้น เขาจึงไม่สามารถไปสำรวจคนเดียวได้ อีกทั้งยังไม่อยากรบกวนศัตรูที่ไม่รู้จักให้มาหาถึงที่ วิธีที่ดีที่สุดก็คือรอให้มั่วชิงเฉินฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยคิด
มั่วชิงเฉินที่หลับตาอยู่ รู้สึกได้ถึงคลื่นแห่งความเจ็บปวดราวที่ศีรษะ ราวกับว่ากำลังถูกเข็มเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนทิ่มแทงเข้าไป ทุกเข็มที่แทงลงไปเจ็บถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงจากหน้าผาก
ผ้าเช็ดหน้าอุ่นๆ ถูกวางลงบนหน้าผากของนางเพื่อซับเหงื่อ เสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น “สหายมั่ว เจ้าฟื้นเร็วจริง!”
มั่วชิงเฉินลอบถอนหายใจ พลางลืมตาขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “สหายหลัว เป็นเจ้าที่ช่วยข้า”
พูดไม่ทันจบ ดวงตาดอกท้อทั้งคู่ก็เบิกกว้าง
หลัวอวี้เฉิงยกยิ้มมุมปาก พลางพูดยิ้มๆ “แปลกใจอะไรเล่า วางใจเถิด ครั้งนี้ข้าช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ใครใช้ให้ข้าตามเจ้าทันกันเล่า”
มั่วชิงเฉินลดสายตาลง พลางพูดยิ้มๆ “ขอบคุณสหายหลัว ถูกสหายหลัวบังเอิญตามมาจนทัน นับว่าชิงเฉินช่างวาสนาดีเสียจริง”
แขนเสื้อขยับเล็กน้อย ถ้าหากว่าทายไม่ผิด ตอนนี้มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อจะต้องกุมกันแน่นมากแน่ๆ หลัวอวี้เฉิงถามอย่างใคร่ครวญ “สหายมั่ว ท่านกำลังกังวลเรื่องใดหรือ”
มั่วชิงเฉินค่อยๆ คลายมือ พลางพูดเสียงเรียบ “สหายหลัวคิดมากไปแล้ว ข้ามิได้กังวล”
ปากพูดไปเช่นนั้น แต่ในใจกลับถอนหายใจออกมา คนผู้นี้เขลาสักนิดไม่ได้หรือไร!
นางพยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ บนใบหน้าไม่ปรากฏสิ่งใดออกมา เพียงแค่การกระทำเล็กๆ ในที่ลับก็ถูกเขามองออก
ถูกแล้ว นางมองไม่เห็นแล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นจิตสัมผัสหรือว่าดวงตา ทั้งสองสิ่งนี้ล้วนแล้วแต่ถูกผ้าบางๆ ที่มองไม่เห็นปิดเอาไว้ ดูปกติทุกอย่าง เพียงแต่สูญเสียประโยชน์ของมันไป!
ชั่วพริบตาที่ลืมตาและพบกับความผิดปกติของนาง ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือปิดบังความจริง
บางทีคิดเช่นนี้อาจทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด ได้รู้จักกับหลัวอวี้เฉิง แม้จะไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีนัก แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่เลว อีกทั้งครั้งนั้นที่หนีงานแต่งงานก็มีเขาคอยช่วยเหลือ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ไม่ว่าจะอย่างไรก็นับว่าเป็นสหาย
แต่ว่านางไม่เคยอ่านความคิดของเขาออก เบื้องหลังของเขาเองก็ลึกลับ ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะผู้ใดช่วยเหลือผู้ใด นั่นขึ้นอยู่กับพื้นฐานความสามารถของคนสองคนที่เท่ากัน
การกระทำในช่วงหลายปีมานี้ น้อยครั้งที่นางจะลงมือโดยวู่วาม อีกทั้งยังรักษาความมีเมตตาต่อผู้อื่นแต่สิ่งเหล่านี้คือในคราที่นางสามารถปกป้องตัวเองได้ มิใช่ว่าดีจนไร้เหตุผล และนางมิคาดคิดว่าสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นนั้น ผู้อื่นจะเห็นด้วย นางมิได้ไร้เสียงสาขนาดนี้!
เช่นนั้นนางในตอนนี้ มิอาจแน่ใจได้ว่าหากหลัวอวี้เฉิงรับรู้สถานการณ์ของนางแล้วจะทำเช่นไร ว่ากันตามจริงแล้ว เขามิใช่ศิษย์พี่และก็มิใช่ท่านอาจารย์ ยังห่างไกลเกินกว่าที่นางจะสามารถเชื่อใจได้
“สหายมั่วมิได้กังวลจริงหรือ” หลัวอวี้เฉิงเอนกายเข้ามาใกล้ มองตรงเข้าไปในตาของมั่วชิงเฉิน
ดวงตาของนางสงบนิ่งและลึกซึ้งประหนึ่งสระน้ำลึก เมื่อเขาเข้าใกล้ก็พลันเกิดระลอกคลื่นขึ้น เผยให้เห็นถึงดวงตาใสกระจ่างเสมือนน้ำใสกำลังกระเพื่อมอย่างชัดเจน
มั่วชิงเฉินถอยไปข้างหลัง เมื่อรับรู้ได้ถึงลมปราณของเขา นางยิ้มจนตาโค้ง “แน่นอน สหายหลัว ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรหรือ”
หลัวอวี้เฉิงพูดอย่างไร้กังวล “เดิมทีอวี้เฉิงทัศนาจรไปตามอำเภอใจ ไร้จุดหมายปลายทาง เห็นสหายมั่วมุ่งหน้าทางทิศตะวันตก จึงเลือกมาทางนี้ด้วยเช่นกัน ผู้ใดจะคิดกันเล่าว่าเที่ยวเล่นอยู่ดีๆ จู่ๆ จิตก็เตือนภัย เกรงว่าสหายมั่วคงจะมีเคราะห์และก็เป็นจริงดังนั้น”
มั่วชิงเฉินตกตะลึง “ขอบคุณ”
เช่นนี้แล้ว นางคิดได้หรือไม่ว่าเขายอมรับนางเป็นสหายแล้วเยี่ยงนั้นหรือ สามารถเชื่อถือได้เช่นนั้นหรือ
“อาการบาดเจ็บของสหายมั่วเป็นเช่นไรหรือ” หลัวอวี้เฉิงพูดออกมา
มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นกล่าว “บาดแผลภายในฟื้นฟูขึ้นมากแล้ว”
การประลองครั้งนั้น จิตสัมผัสของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใดดวงตาของนางถึงมองไม่เห็น บาดแผลภายในภายนอกก็แค่เรื่องเล็กน้อย
หลัวอวี้เฉิงโบกมือหนึ่งครา เปิดม่านบังตาออก “ในเมื่ออาการบาดเจ็บของของสหายมั่วดีขึ้นมาก เช่นนั้นแล้วพวกเราไปสำรวจรอบๆ กันหน่อยเถิด”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไป
มั่วชิงเฉินไม่ขยับ นางถาม “สหายหลัว พวกเราอยู่ที่ไหนกันหรือ”
“ข้าเองก็ไม่ทราบ พวกเราเข้ามาทางรอยแยกมิติ อาจจะเป็นมุมใดมุมหนึ่งของเทียนหยวน หรืออาจจะเป็นมิติอื่น ด้วยเหตุนี้จึงต้องไปสำรวจดูเสียหน่อย”
มั่วชิงเฉินยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก ตอนที่หลัวอวี้เฉิงมาถึงนางก็ตกอยู่ในสภาพหมดสติเสียแล้ว ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าเวลาเพียงแค่นี้ ก็ตกลงไปในที่ที่ไม่รู้จักอีกครา