ผู้มาเยือนผู้ใหญ่สองเด็กหนึ่ง เดิมทีในขบวนผู้ซึ่งเดินทางบินมายังเหยากวงอย่างไม่ขาดสายก็ไม่ได้มีผู้มีความสามารถโดดเด่นจนเป็นที่จับตานัก แต่กลุ่มคนที่กำลังเดินทางมาถึงและดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนนั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากว่าพวกเขาช่างเตะตาเสียจริงๆ
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นระดับก่อแก่นปราณ คนหนึ่งนักพรตคนหนึ่งนักปราชญ์ ส่วนเด็กคือเณรน้อยผู้หนึ่ง
สายตาของมั่วเฟยเหยียนและมั่วหร่านอี จับจ้องไปยังใบหน้าของเณรน้อยนั้นพร้อมกัน
มั่วหร่านอีลุกขึ้นอย่างลิงโลด เผลอตัวร้องออกมาว่า “หู่โถว!”
มั่วเฟยเยียนตัวดีดเกร็ง กลางนัยน์ตาฉายแววเป็นประกาย แล้วก็ค่อยกลับคืนสู่ความสงบนิ่งดังเดิม น้ำเสียงนางแผ่วบางดั่งขนนก “ไม่ใช่หรอก หู่โถวจะตัวเล็กอย่างนี้ได้เช่นไร”
สองสาวพี่น้องจ้องนิ่งไปยังเณรน้อยที่กำลังบินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จังหวะพอดีกับที่นักพรตในชุดสีขาวดั่งดวงจันทร์หยิบพัดเล่มหนึ่งออกมาช้อนคางเณรน้อยขึ้น เหมือนกำลังพูดจาหัวเราะอะไรบางอย่างอยู่ ก็เห็นเณรน้อยผู้นั้นทำท่าบ่นอุบแล้วหันหน้าหลบไปทาง สีหน้าทั้งน้อยใจและโมโห แต่กลับดูแฝงด้วยความน่ารัก
มั่วหร่านอีโต๊ะตบหนึ่งที “มั่วเฟยเยียน เจ้าดูสิ นั่นมันหู่โถวชัดๆ เจ้าบอกสิ ว่าใช่ไม่ใช่ ใช่หรือไม่เล่า”
พูดจบ น้ำเสียงก็สั่นเครือเล็กน้อย
มั่วเฟยเยียนประคองใบหน้า พูดขึ้นน้ำเสียงเรียบ “ใช่หู่โถวหรือไม่ รอให้ถึงเหยากวงค่อยไปถามเขาก็แล้วกัน ถ้าข้าบอกว่าใช่แล้วเจ้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ”
มั่วหร่านอีสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งที “มั่วเฟยเยียน เจ้าเห็นพ้องกับข้าสักครั้งจะตายหรือไรกัน”
นางรู้ดี นับแต่เข้าสู่การบำเพ็ญมาร มั่วเฟยเยียนผู้ซึ่งยิ่งทระนงสูงส่งก็ขัดสายตาเมื่อได้เห็นนาง เชอะ การวางท่าให้งามสง่าสุภาพของผู้บำเพ็ญพรตนางเห็นมามากแล้ว แต่พฤติกรรมของพวกเขายังเลวร้ายกว่ามารบำเพ็ญเพียรเสียอีก เพียงเเค่ปกคลุมด้วยรูปลักษณ์ของมนุษย์ก็จะเป็นคนดีได้กระนั้นหรือ ช่างมองตื้นจริงเชียว!
สีหน้ามั่วเฟยเยียนเยือกเย็นดั่งหยกน้ำแข็ง กวาดสายตามองมั่วหร่านอีปราดหนึ่ง แล้วพูดขึ้นช้าๆ “ข้าไม่มีกำลังจะไปเห็นพ้องกับเจ้าหรอก”
ได้รู้ข่าวคราวจากอาจารย์มาตั้งแต่แรกแล้ว ว่าผ่านไปอีกไม่กี่เดือนการประลองเฟิงอวิ๋นก็จะเริ่มขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสิบคนแรกที่สามารถเข้าไปได้ ก็จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าสู่แดนสวรรค์มี่หลัวตู แต่น่าเสียดายนางแม้จะความสามารถโดดเด่น ผ่านการฝึกฝนอย่างยากลำบากมาตั้งแต่เด็ก แต่อายุอานามมาถึงเพียงนี้ ตอนนี้กลับยังอยู่ที่ระดับก่อแก่นปราณขั้นกลางเพียงเท่านั้น
ด้วยอายุของนางมีระดับการฝึกบำเพ็ญเพียรถึงขั้นนี้ ก็เพียงพอจะวางท่าภาคภูมิต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเด็กในดินแดนเทียนหยวนแล้ว แต่จะให้ความสามารถฉายแววออกมาจากการประลองเฟิงอวิ๋น นั่นช่างดูเหลวไหลไร้สาระ การแข่งขันเช่นนี้ เป็นการแข่งขันครั้งใหญ่ที่เตรียมไว้เพื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับบก่อแก่นปราณขั้นปลายและระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์เป็นการเฉพาะ
มั่วเฟยเยียนหลงใหลในการฝึกบำเพ็ญเพียรตั้งแต่เยาว์วัย นับได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงที่อายุน้อยซึ่งหาได้น้อยมาก หากเจ้าสาวที่จะแต่งงานกับพรรคเหยากวงไม่ใช่มั่วชิงเฉิน นางคงไม่มีใจจะมาร่วมสนุกในครั้งนี้ แต่คงทุ่มเทเวลาทั้งหมดกับการฝึกฝน เพื่อจะได้เข้าร่วมการประลองเฟิงอวิ๋นครั้งที่สองในสามสิบปีหลังจากนี้
ดังนั้นที่มั่วเฟยเยียนบอกว่าไม่มีเวลา มิใช่ว่าจงใจแกล้งให้มั่วหร่านอีโกรธ แต่เป็นความจริงเสียยิ่งกว่าจริง
แต่น่าเสียดาย หญิงสาวผู้นี้มีสติปัญญาสูงส่งแต่ความฉลาดทางอารมณ์ต่ำ เพียงคำพูดธรรมดาประโยคเดียวกลับใช้น้ำเสียงอันเย็นชาพูดออกมา มั่วหร่านอีได้ฟังพลันโกรธหน้าเขียว หากไม่ใช่เพราะว่ายังอยู่บนเรือสมบัติของเจ้าสำนักลั่วสยา นางคงเตะประตูออกไปเหมือนเคยนานแล้ว
ทั้งสามคนค่อยๆ ใกล้เข้ามา แล้วหยุดนิ่งกลางอากาศ คารวะเจ้าสำนักหร่วนผู้ยื่นตระหง่านอยู่ที่หัวเรือหนึ่งที จากนั้นจึงผละออกมา รอจนเจ้าสำนักหร่วนเดินจากไป
เรื่องเช่นนี้เป็นปกติอย่างยิ่ง แต่เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่เดินทางมาบังเอิญพบเข้ากับผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ระดับต่ำกว่า ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ระดับต่ำกว่านั้นต่างก็ทำเช่นนี้ เจ้าสำนักหร่วนไม่ได้ใส่ใจ พยักหน้ารับคาราวะ แล้วเร่งความเร็วบินร่อนลงไปยังหน้าประตูพรรคเหยากวง มีอาวุโสระดับก่อแก่นปราณซึ่งทางเหยากวงส่งมาต้อนรับรออยู่แต่แรกแล้ว
ถังมู่เฉินทั้งสามคนจึงได้ค่อยๆ ร่อนลงไปช้าๆ
นักปราชญ์ในชุดสีฟ้าครามส่งยิ้มไปยังถังมู่เฉินหนึ่งที “พี่ถัง งานเข้าคู่บำเพ็ญของสหายท่านนี่ช่างยิ่งใหญ่อลังการนัก ตลอดทางที่ผ่านมาเห็นมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดนับนิ้วแทบไม่ได้เลย”
ถังมู่เฉินดวงตาโค้งยิ้ม “นั่นย่อมใช่อยู่แล้ว น้องสาวข้า และน้องเขย หาใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาไม่”
เขาและหู่โถวหากไม่เพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิดจนติดอยู่กับที่แห่งหนึ่ง และได้รู้จักกับนักปราชญ์ผู้นี้ กว่าจะหลุดออกมาได้เวลาก็ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว นึกถึงพวกมั่วชิงเฉินไม่รู้เป็นตายร้ายดี ก็ร้อนใจราวกับไฟลุกรีบตามมายังเหยากวง ใครจะรู้ว่าทันทีที่ก้าวสู้ดินแดนเทียนหยวนก็ได้ยินเรื่องมงคลใหญ่ มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนจะเข้าคู่บำเพ็ญก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ทำให้ต้องประหลาดใจก็คือเยี่ยเทียนหยวนบรรลุขั้นก่อกำเนิดแล้ว
พอนึกถึงเรื่องนี้ ถังเฉินมู่ก็สีหน้าเปลี่ยน เหมือนบอกเป็นนัยว่าเรื่องดีใดๆ ก็ตามล้วนแต่ถูกเจ้าเด็กหนุ่มนั่นเอาไปเสียหมด นึกถึงตอนแรกที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อก่อน เขากับตนต่างก็อยู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นกลางด้วยกัน แต่เมื่อเวลาหลายปีผ่านไป ตัวเขาเองซึ่งหยุดนิ่งอยู่ที่ระดับก่อแก่นปราณขั้นกลางเกือบจะห้าสิบปีถึงเพิ่งจะตั้งหลักมั่นคงในระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายได้ แต่คนอื่นกลับเป็นระดับก่อกำเนิดไปแล้ว
หู่โถวสีหน้าตื่นเต้นลิงโลด เมื่อมองไปยังเหยากวงก็กลับหน้านิ่วคิ้วขมวด “พี่ถัง พวกเราตั้งนานกว่าจะมา ชิงเฉินจะโกรธจนต่อยคนหรือเปล่านะ”
ถังมู่เฉินหดคอกลับโดยไม่รู้ตัว แล้วแสร้งทำทีสะบัดมืออย่างผ่าเผย “ไม่หรอกๆ นางหนูนั่นก็ต่อให้ดุดันแค่ไหน คงต้องเห็นแก่ที่ตนเป็นเจ้าสาวบ้างละ หู่โถว เจ้าเคยเห็นเจ้าสาวที่ไหนปาอิฐใส่คนอื่นหรือ”
หู่โถวส่ายหน้า แล้วพูดขึ้นอย่างลังเล “จะว่าไปก็ไม่เคยนะ” แต่พูดเสริมในใจขึ้นอีกประโยคว่า แต่ถ้าเป็นชิงเฉิน นั่นก็ไม่แน่
นักปราชญ์ปาดเหงื่อ หญิงสาวที่ทั้งสองคนนี้กล่าวถึงจะดุดันร้ายกาจเพียงใดกันนะ ตนเองได้รับคำเชิญจึงเข้ามาร่วม เป็นความคิดที่ฉลาดแล้วจริงหรือ
“พี่เซียว เหม่ออะไรอยู่ ไปกันเถิด” ถังมู่เฉินตบบ่านักปราชญ์
“อาวุโสทั้งสาม มีเทียบเชิญหรือไม่” ลูกศิษย์สำนักที่ประจำหน้าที่อยู่ที่ประตูเข้ามาต้อนรับ
สองสามวันมานี้มีแขกมาจำนวนมาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ลูกศิษย์ประจำหน้าที่ดูแลต้อนรับแขกนอกจากลูกศิษย์ระดับสร้างรากฐานแล้ว ยังมีอาวุโสระดับก่อแก่นปราณอีกสองสามคน ขอเพียงในแขกที่มาถึงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก็กำเนิด ก็จะเป็นหน้าที่ของอาวุโสระดับก่อแก่นปราณเข้าไปต้อนรับ หากไม่มี ก็จะเป็นหน้าที่ลูกศิษย์ประจำสำนักทำหน้าที่ต้อนรับแทน
ถังเฉินมู่อึ้งอยู่ชั่วครู่ แล้วได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว หรี่ตายิ้มแล้วพูดว่า “พวกเรามาจากที่อื่น ไม่ได้มีเทียบเชิญ แต่ว่านะ เจ้าจะปฏิเสธพวกเราให้อยู่ข้างนอกไม่ได้ เห็นเจ้าเด็กนี่ไหม เขาเป็นน้องชายของเจ้าสาวนะ เป็นครอบครัวตัวจริงของบ้านเจ้าสาว”
“เอ่อ…” ลูกศิษย์ที่ประจำหน้าที่อยู่ หันไปประสานสายตากับลูกศิษย์อีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
“ศิษย์พี่เฉียน ท่านมาจากมาจากยอดเขาชิงมู่ ได้ยินว่าท่านอาจารย์อามั่วมีน้องชายบ้างหรือเปล่า” ลูกศิษย์ประจำทำหน้าที่แอบส่งสัญญาณ
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนที่ยืนอยู่ด้านข้างตอบว่า “ไม่เคยนะ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มากราบขอเข้าร่วมกับนัก ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเรื่องราวรายละเอียดของตระกูลก็ได้”
ลูกศิษย์ประจำหน้าที่รู้สึกลำบากใจ “แล้วต้องทำอย่างไรดี จะให้เข้าไปหรือไม่ให้เข้าไปกันดี หรือจะพาพวกเขาไปยังสถานที่ซึ่งเตรียมเอาไว้เอาไว้เพื่อต้อนรับผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดโดยเฉพาะดี”
สถานที่ซึ่งลูกศิษย์ผู้นี้กล่าวถึง ก็คือบริเวณเทือกเขาฟางจูที่เตรียมเอาไว้ให้กับบําเพ็ญเพียรระดับต่ำและผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเป็นลูกศิษย์ประจำหน้าที่ของยอดเขาชิงมู่มาตั้งแต่มั่วชิงเฉินมาขอเข้าร่วมสำนัก ไม่กี่ปีมานี้ถึงแม้การบำเพ็ญเพียรจะไม่ได้คืบหน้าอย่างใด แต่การครองตนและปฏิบัติหน้าที่นั้นสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินดังนั้นก็ขยิบย้ายสายตา แล้วพูดขึ้นว่า “ผู้ใหญ่สองคนนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ส่วนเด็กเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายพุทธญาณ ไม่รู้ระดับตื้นลึก แต่อย่างน้อยทั้งสามคนก็ไม่น่าจะใช่ผู้ที่ลอบปะปนเข้ามาเพื่อดื่มกิน ข้าว่าเอาตามนี้แล้วกัน เจ้ายื้อเวลาเอาไว้ก่อน ข้าจะไปคุยกับท่านอาจารย์อาซู่เหยียน”
ในเหยากวงใครๆ ก็ล้วนรู้ว่ามั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอสนิทสนมกัน หากครอบครัวมั่วชิงเฉินมาจริง ให้ต้วนชิงเกอรับรองคงดีที่สุดแล้ว หากเป็นผู้แอบอ้างตัวมา ต้วนชิงเกอซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่ปราณเช่นเดียวกันนั้นอย่างน้อยก็คงแข็งแกร่งกว่าพวกเขาซึ่งเป็นลูกศิษย์ระดับเพียงสร้างรากฐาน
ลูกศิษย์ประจำหน้าที่ซึ่งถูกทิ้งให้อยู่ที่เดิมก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรมีมากกว่าสักคำ ครั้นก็ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งพูดขึ้น “คนบ้านชิงเฉินมาหรือ”
ถังเฉินมู่ทั้งสามคนได้ยินจึงเหลียวไป ก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งมุมปากอมยิ้ม มองมาอยู่เงียบๆ
หญิงสาวผู้นำหน้าตาอ่อนโยน สวมชุดสีขาวดั่งดวงจันทร์โปร่งสบาย ชายกระโปรงโบกพัดรับสายลม เผยให้เห็นเรือนร่างอันเพียวบางชดช้อย นับว่าเป็นยอดหญิงงามผู้หนึ่งซึ่งหาใดเทียมมิได้
ถังเฉินมู่ถึงกับใจสั่น พึมพำขับร้องออกมาว่า “กออ้อดกดื่น น้ำค้างหมอกขาวโพลน ยอดดวงใจนั้น อยู่อีกฟากน้ำ จะทวนกระแสตามหา หนทางคดเคี้ยวยาวไกล ครั้นลอยตามน้ำ นางนั้นราวกับอยู่กลางวังวน…”
นักปราชญ์ผู้นั้นยิ่งหนักกว่า นัยน์ตาของเขาส่องประกายวาบขึ้นมาอย่างฉับพลัน แล้วสะบัดพัดกางออกดังหนึ่งทีกลางอากาศ ตามด้วยมือข้างหนึ่งก็มีพู่กันขนเพียงพอนปรากฏขึ้น ปลายพู่กันดำเข้มขึ้นเองแม้จะไม่มีน้ำหมึก จ้องด้วยแววตาเร่าร้อนเดินก้าวเข้าไปยังหญิงงามผู้นั้น แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าตื่นเต้น “คนสวย ให้ข้าได้วาดรูปเหมือนเจ้าอื่นได้หรือไม่”
ต้วนชิงเกอหน้าตาตกใจ มองไปยังหู่โถวผู้เดียวซึ่งยังอยู่ในสภาพปกติอยู่
มือทั้งคู่ของหู่โถวกุมหน้าก้าวถอยหนึ่งก้าว อดไม่ได้ที่จะตัดขาดจากคนทั้งสองนั้น
ข้าไม่รู้จักพวกเขา ข้าไม่รู้จักพวกเขา
หู่โถวจัดการจิตใจ ค่อยๆ คลายมือออก แล้วส่งยิ้มไปยังต้วนชิงเกอ
ต้วนชิงเกอแม้จะรู้สึกว่าผู้ใหญ่สองคนท่าทีดูพิกล แต่กับเณรน้อยผู้น่ารักรูปนี้ กลับยากจะทำหน้าเย็นชาใส่ ยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนแล้วพูดขึ้น “เจ้าก็คือน้องของชิงเฉินใช่ไหม”
“ข้าคือลูกพี่ลูกน้องฝั่งพ่อของชิงเฉิน” หู่โถวพยักหน้าอย่างจริงจัง
ต้วนชิงเกอเดินไปจูงมือหู่โถวขึ้น “เช่นนั้นก็ตามข้าเดินเข้าไปก่อน”
รอยยิ้มบนหน้าหู่โถวเหือดไป แอบพร่ำบ่นอยู่ในใจ แม่นาง เจ้ามาจูงมือกับพระสงฆ์องค์เจ้าเช่นนี้ ไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ
ด้วยเกรงว่าจะถูกปฏิเสธในฐานะผู้ซึ่งไม่รู้ที่มา ก็ได้แต่ปล่อยให้นางจูงมือเดินเข้าไปด้านในอย่างว่าง่าย
“อาจารย์อาซู่เหยียน พวกเขา…” ลูกศิษย์ประจำหน้าที่มองไปยังพวกถังมู่เฉินทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็เงียบไป
ต้วนชิงเกอเผยอปากโดยไม่แสดงสีหน้าท่าทางใด แล้วหันไปพยักหน้าให้กับทั้งสองคน “สหายทั้งสองเชิญเข้ามาเถิด”
แต่โบราณมาผู้บำเพ็ญเพียรหยินบริสุทธิ์หยางบริสุทธิ์ รูปร่างหน้าตาล้วนแต่ดูโดดเด่น ต้วนชิงเกอเองก็ไม่ยกเว้น เป็นยอดหญิงงามในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียร ตัวตนหยินบริสุทธิ์ บรรดาลูกศิษย์ของหรูอวี้เจินจวินแห่งเหยากวง ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยา ต่างผลักหนุนจนทำให้นางเข้าสู่จุดสูงส่งซึ่งผู้บำเพ็ญหญิงทั่วไปยากจะเอื้อมถึง
อาจพูดได้ว่า เทียบกับประวัติที่เยี่ยนเทียนหยวนประสบแล้วผู้ซึ่งคล้ายคลึงจนแทบเป็นคนเดียวกันจะเป็นใครไปได้อีก
มั่วหลีลั่วผู้ไม่ได้งดงามเร่าร้อน เห็นผู้บำเพ็ญเพียรชายทีก็รู้สึกขัดสายตาไปหมด และหร่วนหลิงซิ่วผู้ทั้งชาติกำเนิดก็มิได้โดดเด่น นิสัยก็เอาแต่ใจ รวมถึงผู้ทั้งที่ไม่ได้หน้าตางดงามสะท้านเมือง กลับคอยเอาถือก้อนอิฐไล่ปาผู้มาตามจีบจนแทบเละคามือเกือบออกเรือนไม่ได้อย่างมั่วชิงเฉิน เทียบกับต้วนชิงเฉินผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนงามสง่า ทักษะการปฏิเสธแทบจะเรียกได้ว่าขั้นสุดยอด ต้วนชิงเกอเธอคือนางฟ้าในฝันของเขาเหล่าผู้บำเพ็ญวัยหนุ่มแห่งดินแดนเทียนหยวน!
เห็นต้วนชิงเกอนำทั้งสามคนเดินเข้าไป ลูกศิษย์ประจำหน้าที่ก็ตบศีรษะเบาๆ อย่างหัวเสีย “ศิษย์พี่เฉียน พวกเราเพียงแค่ระวังพวกเขาแอบเอาคนเข้ามาร่วมดื่มกิน แต่ลืมระวังไปว่าท่านอาจารย์อาซู่เหยียนเป็นพวกดวงบุรุษติดพัน”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนหรี่ตา แล้วพูดว่า “ช่างเถิด ขอเพียงท่านอาจารย์อาชิงเฉิงไม่ใช่ดวงบุรุษติดพันก็พอ”
“อาจารย์อาชิงเฉิงกว่าจะออกเรือนได้ไม่ง่าย…” ลูกศิษย์ประจำหน้าที่พึมพำ
ต้วนชิงเกอจูงมือหู่โถวเดินเข้าไปด้านใน ถังมู่เฉินปรับสีหน้ากลับ แต่นักปราชญ์ผู้นั้นกลับยังคงตื่นเต้นราวกับดื่มเลือดไก่ ถือพู่กันเอาไว้แน่นคอยตามมั่วชิงเกอ “คนสวย ได้หรือไม่ เจ้ายอมเถิดนะ รูปภาพสวยงามนับร้อย ขาดก็เพียงรูปเดียว”
ต้วนชิงเกอมุมปากกระตุกหนึ่งที แล้วเร่งฝีเท้าเดิน เห็นด้านหน้าไม่ไกลจากนั้นมีหญิงสาวสองนางยืนเคียงไหล่กันอยู่ พวกนางก็รีบเข้าไปพยักหน้าแสดงคารวะ แต่สายตากลับมองข้ามนางไป จับจ้องที่เณรน้อยซึ่งอยู่ข้างๆ