ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1203 เขตต้องห้ามของพระเจ้า

บทที่ 1203 เขตต้องห้ามของพระเจ้า

พ่อฉินกำลังสับเนื้ออยู่ในครัว ฉินสือโอวเดินเข้ามาหยิบมีดหั่นผักและเขียง จากนั้นก็เริ่มสับ ‘ป๊อกๆๆ’

วินนี่อุ้มเสี่ยวเถียนกวาเข้ามาดูและถามว่า “ในบ้านมีเครื่องบดเนื้ออยู่ไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมต้องสับด้วยล่ะ?”

พ่อฉินยิ้มและพูดว่า “เนื้อที่สอดไส้เกี๊ยวอย่าใช้เครื่องบดเนื้อเด็ดขาด เพราะจะทำให้เสียรสชาติ เนื้อจะเหนียวและน้ำในเนื้อก็จะไม่มี พอกินเข้าไปแล้วจะมีกลิ่นหอมที่ไหนกัน?”

คราวนี้จะใช้เนื้อแกะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้อไม่ติดมัน ดังนั้นจึงเอามาห่อรวมกับผักป่าทำเป็นเกี๊ยวจะดีกว่า ส่วนเนื้อหมูมีไขมันมากเกินไป จะทำให้ผักป่าถูกกลบรสชาติไปจนหมด

หลังจากสับเนื้อแล้ว ฉินสือโอวก็เอาผักจี่ไฉ่และไส้เนื้อที่สับไว้ก่อนหน้านี้มาคลุกเคล้าในปริมาณเท่าๆ กัน จากนั้นใส่ผงเครื่องเทศห้าอย่าง ต้นหอมสับ ขิงสับ ซีอิ๊วขาว ซอสหวานและผงชูรส หลังจากผสมกันแล้วก็จะเติมน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย

ในขณะที่วินนี่กำลังหยอกล้อลูกสาวอยู่ก็ถามรายละเอียดการห่อเกี๊ยวไปด้วย ฉินสือโอวขี้เกียจตอบ จึงพูดว่า “คุณไม่ชอบกินเกี๊ยวไม่ใช่เหรอ? จะถามอะไรมากมายขนาดนี้?”

วินนี่พูดอย่างหมดหวังงว่า “ก็คุณชอบกิน ต่อไปฉันจะได้ห่อให้คุณกิน ไม่ได้เหรอคะ?”

พ่อฉินโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอก ให้เสี่ยวโอวห่อเองเถอะ เขาห่อเกี๊ยวได้อย่างคล่องแคล่วเลยล่ะ”

ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่า “ถ้าผมอยากกินเกี๊ยวก็ไม่จำเป็นต้องห่อเองก็ได้ แค่ให้เชอร์ลี่ย์กับพาวลิสทำก็พอแล้ว”

“แกนี่ขี้เกียจจริงๆ ตั้งใจทำแล้วกัน” แม่ฉินม้วนแขนเสื้อพร้อมกับมองค้อนใส่

คนในบ้านกำลังยุ่งกันอยู่ในครัว แซนเดอร์สมาหาฉินสือโอว จึงเคาะประตูแล้วถามว่า “บอสมีเวลาไหมครับ? ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะรายงานให้คุณทราบ”

ฉินสือโอวโผล่หัวออกมาจากห้องครัวแล้วพูดว่า “เฮ้ ศาสตราจารย์ คุณมาพอดีเลย เที่ยงวันนี้เรากินเกี๊ยวกัน คุณกับทิญามากินด้วยสิ ผักป่าที่แม่ของผมเอามาห่อเกี๊ยวอร่อยมากเลยนะ”

หลังจากใช้เวลากว่าครึ่งปีในการอยู่ที่ฟาร์มปลา แซนเดอร์สและผู้คนในฟาร์มปลาต่างก็คุ้นเคยกันแล้ว เขาเป็นนักวิชาการที่ถ่อมตัวมาก ถึงบูลจะยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมแต่เมื่อได้พูดคุยกับแซนดอร์สก็สามารถค้นหาหัวข้อประเด็นต่างๆ มาพูดคุยกันได้ ดังนั้นผู้คนในฟาร์มปลาจึงชอบเขามาก

พ่อฉินและแม่ฉินต่างก็เคารพแซนเดอร์มากเป็นพิเศษ ในใจของพวกเขาเชื่อว่าศาสตราจารย์ที่มาจากมหาวิทยาลัยชิงหวาและปักกิ่งเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมาก ถ้าอยู่ในบ้านเกิดของพวกเขา ก็จะเป็นเหมือนกับบทประพันธ์ที่เขียนได้ดี เพราะเขาค่อนข้างมีความสามารถ

แซนเดอร์สเห็นว่าคนในบ้านกำลังยุ่งจึงไม่ได้ถามเขาต่อ แต่เขากลับถามให้ดูกลมกลืนกันว่า “อ๋อ เกี๊ยวเหรอ? ผมชอบอาหารประเภทนี้มาก ผมเคยไปกินเกี๊ยวซุปเปรี้ยวของพวกคุณที่ไชน่าทาวน์ในโตรอนโต วันนี้ก็ใช่เหรอ?”

ฉืนสือโอวล้างมือและเดินออกไป เขายิ้มและพูดว่า “ไม่ๆ ศาสตราจารย์ วันนี้ไม่ใช่เกี๊ยวซุปเปรี้ยว แต่เป็นเกี๊ยวสอดไส้ ต้องเป็นของที่คุณไม่เคยกินมาก่อนอย่างแน่นอน”

ในครัวยังมีผักจี่ไฉ่ที่ไม่ได้ใช้เหลืออยู่เล็กน้อย ศาสตราจารย์อาวุโสจึงชี้ไปที่พวกมันและถามว่า “นั่นคือผักป่าชนิดนั้นใช่ไหม? โอ้ พระเจ้า ผมไม่เคยกินเกี๊ยวสอดไส้ผักป่ามาก่อนเลยจริงๆ ผักป่าพวกนี้กินได้ด้วยเหรอครับ?”

ฉินสือโอวจึงช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมผักป่าของจีนให้เขา “ชื่อภาษาจีนของผักป่าชนิดนี้คือจี่ไฉ่ ซึ่งเป็นผักป่าที่ดีต่อสุขภาพ อุดมไปด้วยกรดจี่ไฉ่ นี่เป็นส่วนประกอบในการห้ามเลือดที่มีประสิทธิภาพชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถลดเลือดออกและเวลาในการแข็งตัวของเลือดได้”

“นอกจากนี้ จี่ไฉ่ยังมีสารประกอบแอซิติลโคลีน ซิโตสเตอรอลและควอเทอร์นารีเอมีน ซึ่งไม่เพียงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและปริมาณไตรกลีเซอไรด์ในเลือดและตับเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความดันโลหิตอีกด้วย”

หลังจากได้ยินแบบนี้แล้ว แซนเดอร์สก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “ผักป่าชนิดนี้มีส่วนประกอบห้ามเลือดด้วยเหรอ? ถ้าอย่างนั้นผมต้องกลับไปหาเพื่อนร่วมงานเพื่อขอความช่วยเหลือซะแล้ว ถ้าส่วนประกอบห้ามเลือดเหล่านี้สามารถเพิ่มประโยชน์ลงในกาวชีวภาพได้ก็คงจะดีมาก”

ทั้งสองนั่งคุยกันในห้องนั่งเล่น วินนี่จึงช่วยชงชาแดงให้แซนเดอร์ส ศาสตราจารย์อาวุโสอายุเพิ่มขึ้น จึงชอบดื่มสิ่งนี้ เพราะหลังจากดื่มแล้วทำให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่น

ขณะที่ดื่มชาแดง แซนเดอร์สก็กลับเข้าประเด็นที่จะพูด “บอส คุณจำกระดองของแมลงยักษ์คล้ายกับตะขาบที่คุณเคยให้ผมตอนแรกๆ ได้ไหม? ผมอยากถามว่ามันยังอยู่ไหม?”

ฉินสือโอวส่ายหัวและพูดว่า “ผมก็ไม่แน่ใจ ผมได้มันมาโดยบังเอิญ คงต้องลองหาดูก่อนถึงจะให้คำตอบได้ เกิดอะไรขึ้น? คุณเคยศึกษามันเหรอ?”

แซนเดอร์สขยับเข้าใกล้เขาและกระซิบว่า “ใช่บอส ผมศึกษามันและพบว่ามันเป็นอย่างที่คุณพูด นี่เป็นสิ่งที่วิเศษมากจริงๆ! องค์ประกอบของมันซับซ้อนมาก ในนั้นมีองค์ประกอบของแร่ธาตุแปลกๆ อยู่ ผมได้ทำการทดลองและพบว่ามันมีความสามารถในการลดการเผาผลาญของเซลล์!”

“แล้วไงต่อ? คุณค่าของมันคืออะไร?” ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ

ท่าทางของแซนเดอร์สจริงจังขึ้นมาทันที เขาคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ พูดว่า “การคาดเดาของผมอาจจะไม่ถูก แต่ถ้าถูกล่ะก็ มันต้องน่ากลัวมากแน่ๆ! ผมคิดว่าคุณคงรู้ตำนานในแต่ละประเทศที่มีการบันทึกของยาอายุวัฒนะใช่ไหม?”

ไม่ต้องพูดให้มากความ ฉินสือโอวเข้าใจความหมายของแซนเดอร์ส เขาเบิกตากว้างและถามว่า “ไม่จริงนะ ในกระดองนี้มีสารที่คล้ายกับยาอายุวัฒนะเหรอ?”

แซนเดอร์สถูมือไปมาแล้วพูดว่า “ผมเดาว่าเป็นแบบนี้ แต่จะค้นคว้าและทดลองให้มากกว่านี้ได้อย่างไร อย่างน้อยดูตอนนี้ มันมีความสามารถในการลดอัตราการเผาผลาญทางชีวภาพและยืดอายุสิ่งมีชีวิตได้อีกด้วย”

“แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป การลดอัตราการเผาผลาญของเซลล์จะทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ของชีวิต ผลที่ตามมาจึงไม่แน่นอน มันอาจจะลดพละกำลังของชีวิตลง”

“แล้วคุณค่าของมันอยู่ที่ไหน?” ฉินสือโอวถาม

“คุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการยืดอายุให้ยืนยาว คุณก็รู้บอส ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ ล้วนมีพละกำลังมากที่สุดเมื่อตอนที่ยังเด็กและยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไรพละกำลังก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ สารชนิดนี้ที่พบในกระดองของแมลงยักษ์ จะทำให้มนุษย์เข้าสู่วัยชราเร็วขึ้นและทำให้พละกำลังของมนุษย์แย่ลง” แซนเดอร์สกล่าว

“แต่สิ่งนี้ก็ทำให้ชีวิตของมนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้นได้เช่นกัน สำหรับคนปกติแล้ว สิ่งนี้มีค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายและผู้สูงอายุแล้ว มันมีประโยชน์มาก!”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ แซนเดอร์สจึงส่ายหัวและพูดว่า “ผมจะศึกษาต่อไป ถ้าการคาดเดาของผมได้รับการยืนยันแล้ว ถ้าอย่างนั้นการค้นพบนี้ก็คงจะน่ากลัวเกินไป บอส ผมคิดว่าเราเข้าสู่เขตต้องห้ามของพระเจ้าแล้ว ผมไม่รู้ว่าผลของมันจะออกมาเป็นอย่างไร”

ฉินสือโอวถามอย่างเด็ดขาดว่า “ถ้าอย่างนั้นนอกจากผม มีใครจะรู้ผลการวิจัยของคุณบ้าง?”

แซนเดอร์สยิ้มและพูดว่า “ผมเข้าใจว่าคุณกังวลเรื่องอะไร มีเพียงเราสองที่รู้ความลับนี้ ผมเพิ่งจะบังเอิญเริ่มประเด็นนี้และเจาะตรงไปที่ประเด็นหลัก ดังนั้นหลังจากที่ผมรู้ความลับที่อยู่ในกระดองแล้ว ผมเลยให้ความสำคัญกับการรักษาความลับนี้เป็นอย่างมาก”

ต่อมาศาสตราจารย์อาวุโสก็ได้อธิบายให้ฟังว่าทำไมเขาถึงเริ่มประเด็นนี้โดยบังเอิญ

หลังจากที่ฉินสือโอวส่งกระดองให้เขา เขาก็ไม่ได้สนใจมันมาเป็นเวลานาน ก่อนหน้านี้เขาเคยศึกษาแมงกะพรุนเวเลลลาเรืองแสงมาตลอด แมงกะพรุนชนิดนี้ขาดการต้านทานต่อแสงเป็นอย่างมากและเมื่อเจอกับแสงจ้าก็จะตายทันที เขาจึงคิดหาวิธีแก้ปัญหาด้านนี้มาโดยตลอด

……………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท