ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1210 เถาองุ่นล่อแมลง

บทที่ 1210 เถาองุ่นล่อแมลง

ตำรวจทางทะเลพาเบนสันและลูกน้องไปที่เรือของพวกเขาและเรื่องก็จบลงตรงนี้

ดูเหมือนว่าเรื่องเรือเฟอเรทแบลคฟุตจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและไม่มีใครอยากพูดถึงเลย ทั้งสองฝ่ายพยายามปกปิดร่องรอยที่เคยมีอยู่ของพวกมัน

เหตุการณ์นี้ทำให้ทหารอย่างออสเปรที่ไม่ค่อยพูดถึงกับถอนหายใจและพูดด้วยความรู้สึกสลดใจว่า “ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ทั้งสองตัวหายไปแบบนี้ เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่สามารถช่วยพวกมันได้และยังไม่สามารถช่วยพวกมันให้ได้รับความยุติธรรมกลับคืน”

แบล็คไนฟ์มองเขาแปลกๆ และพูดว่า “นี่เพื่อน นายหมายความว่าอะไร? คิดมากไปแล้ว อยากจะเป็นนักปรัชญาหรือกวีหรือไง?”

ออสเปรยิ้มอย่างเขินอายและพูดว่า “ไม่ใช่ ฉันแค่นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ตอนที่เราอยู่ในกองทัพ นายดูเฟอเรทสองตัวนี้สิเหมือนกับเราในตอนนั้นมากแค่ไหน? บางครั้งตอนที่เราข้ามน้ำข้ามทะเลไปปฏิบัติภารกิจนอกประเทศ พอมีปัญหานอกจากประเทศจะช่วยเราไม่ได้แล้ว ยังจะทำทุกวิถีทางเพื่อแยกเราจากกันอีกด้วย”

ในขณะที่พูดอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพร้อมกับสีหน้าที่อดจะนึกถึงไม่ได้

แบล็คไนฟ์กลอกตาไปมาและขี้เกียจที่จะสนใจเขา จึงหันหน้ามาถามฉินสือโอวว่า “บอส คุณกำลังมองหาอะไร?”

ฉินสือโอวยกปลายเท้าขึ้นและมองไปที่ชายหาดพร้อมกับบ่นพึมพำว่า “ฉันจะดูว่าเจ้าเด็กที่น่าสงสารทั้งสองตัวจะบังเอิญถูกคลื่นซัดเข้าชายหาดหรือเปล่า? มา มาช่วยฉันหาร่องรอยของพวกมันด้วยกัน ถ้าหาเจอจะมีรางวัล”

แบล็คไนฟ์เดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ และปลอบว่า “เรื่องนี้คุณไม่ผิดเลย บอสไม่ต้องหาแล้วและก็ไม่ต้องรู้สึกผิด ตอนนี้พวกมันอาจจะไปอยู่บนสวรรค์แล้วก็ได้ ถ้าจะหาพวกมัน เราก็ต้องเงยหน้ามองขึ้นไป”

ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ ใครบอกว่าฉันรู้สึกผิด? ใครบอกว่าพวกมันไปถึงสวรรค์แล้ว? อย่างน้อยพวกมันก็ไม่ได้ตายในทะเล

เมื่อถึงฝั่ง ฉินสือโอวก็พาหู่จือและเป้าจือไปหาเฟอเรทแบลคฟุต เขาเดินไปตามชายหาด แต่ไม่ได้อะไร จึงทำให้เขารู้สึกผิดหวังมาก

เมื่อเห็นฉินสือโอวหาซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น แบล็คไนฟ์จึงพูดด้วยความหดหู่ใจว่า “บอสเป็นคนที่รักและผูกพันกับสัตว์มากจริงๆ”

“ใช่ เขาเป็นคนอารมณ์ลึกซึ้งมาก ตอนนี้เขาคงรู้สึกทุกข์ใจอยู่ลึกๆ แน่นอน ความจริงแล้วการตายของเฟอเรททั้งสองตัวนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย” ชาร์คยังพูดอีกว่า “แต่เขาไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิ เขาเป็นคนแบบนี้แหละ มีความรับผิดชอบ มีภาระอันหนักอึ้งและมีความรักใคร่เอ็นดู”

ฉินสือโอวอยากจะบอกว่าเขาเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้น…

เขาพาหู่เป้าฉงหลัวมาเดินนำหน้าหาเฟอเรทตัวน้อย แต่หาอย่างไรก็ไม่เจอ เขาจึงเดินตรงไปตามชายหาดไม่หยุดเหมือนกับว่ากำลังเดินเล่นรับลมทะเล

หลังจากเดินมานาน คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอท ด้านหลังเป็นไร่องุ่นอยู่และเขายืนอยู่บนชายหาดและมองดูอยู่ข้างหลัง จึงเห็นพื้นที่สีเขียวชอุ่มขนาดใหญ่บนเนินเขาเล็กๆ

ใบองุ่นเขียวชอุ่มสะบัดพลิ้วไหวท่ามกลางลมทะเล เถาองุ่นอันบอบบางดึงเอากิ่งไม้ออกและเลื้อยขึ้นไปตามต้น ไร่องุ่นในช่วงนี้กำลังเจริญเติบโตและเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

ฉินสือโอวเดินเข้าไปและสำรวจดูสักพัก กลับพบว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเถาองุ่นที่เติบโตจากระยะไกล ใบไม้จำนวนมากขาดเป็นรูและถ้าสังเกตอย่างละเอียดจะเห็นแมลงสีขาวขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง นี่มันเป็นการล่อแมลงมาชัดๆ

มีแมลงอยู่บนใบไม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เมื่อปีที่แล้วก็มีและผลกระทบก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร

แต่เขายังเห็นว่ามีรูบนเถาวัลย์ด้วย โดยเฉพาะบริเวณใกล้กับหน่ออ่อนบางส่วน ผิวของเถาองุ่นเปลี่ยนเป็นสีดำ เมื่อใช้มือดึงเบาๆ ก็สามารถดึงส่วนนี้จนขาดได้ เขาจึงลองมองเข้าไปข้างในและเห็นว่าในหน่ออ่อนมีแมลงกำลังเจาะรูและยังมีมูลแมลงสีเหลืองอ่อนอีกด้วย

ฉินสือโอวเห็นแบบนี้แล้วจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาจึงโทรหาบิลและอธิบายสถานการณ์นี้ให้บิลฟังหนึ่งรอบพร้อมกับถ่ายรูปสองสามรูปส่งไปให้เขา จากนั้นก็ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น

บิลบอกเขาว่าไม่ต้องกังวล เขาจะไปถามผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร แล้วจะโทรกลับมาและให้รอเขาสักพัก

รอได้ไม่นาน บิลก็โทรกลับมาและพูดว่า “นี่มันน่าจะเกิดจากหนอนเจาะลำต้น แมลงชนิดนี้เกิดขึ้นปีละครั้งและตัวอ่อนจะอยู่ในกิ่งองุ่นจนข้ามผ่านฤดูหนาวไป พฤติกรรมนี้จะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนของปีหน้าและยังคงสร้างความเสียหายต่อภายในของกิ่งก้านอย่างต่อเนื่อง บางครั้งตัวอ่อนจะกัดทำลายกิ่งไม้จนทำให้กิ่งไม้หักได้”

“แล้วการรักษาล่ะต้องทำอย่างไรบ้าง?” ฉินสือโอวกล่าว

บิลพูดอย่างลังเลว่า “แน่นอนว่ามีการรักษา แต่การป้องกันไว้ก่อนเป็นวิธีที่ดีที่สุด ต่อมาเมื่อถึงฤดูหนาว คุณต้องตัดแต่งเถาองุ่นตรงที่เป็นสีดำออก หน่ออ่อนที่เป็นสีดำ บริเวณนี้ก็ต้องตัดและเผาทิ้ง”

เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้ประโยชน์ของเขา ฉินสือโอวก็รู้สึกหดหู่ใจมากและพูดว่า “ฉันเข้าใจ แต่ตอนนี้มันเป็นฤดูใบไม้ผลิ แล้วนายบอกวิธีการจัดการในฤดูหนาวกับฉันมันจะมีประโยชน์อะไร? ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร?”

“รวมถึงการตัดแต่งด้วยมือและการพ่นยาฆ่าแมลงสองวิธีนี้ด้วย” บิลพูดว่า “ถ้าบอกทางโทรศัพท์คงจะไม่เข้าใจเท่าไร งั้นพรุ่งนี้ผมจะเอาเครื่องมือก่อสร้างและยาฆ่าแมลงไปหาคุณ”

จากนั้นฉินสือโอวก็ยังคงสำรวจดูต่อ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ก่อนหน้านี้เขาประมาทเกินไปในการจัดการดูแลไร่องุ่นและตอนนี้ต้นองุ่นจำนวนมากก็ยังล่อแมลงมาอีก ถ้าเขาไม่บังเอิญมาเห็นพอดี ต่อไปก็ไม่แน่ใจว่าจะพัฒนาเป็นอะไรได้อีก

ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ก็ไม่สามารถโทษเขาได้ทั้งหมด ฤดูหนาวเมื่อปีที่แล้วมีหิมะตกหนักและอากาศหนาวมาก ผู้เชี่ยวชาญทางสถานีโทรทัศน์อธิบายว่า อากาศแบบนี้มีทั้งข้อดีและเสีย ข้อดีคือจะทำให้ศัตรูพืชแข็งตาย ปีนี้ฟาร์มและทุ่งหญ้าจึงมีผลเก็บเกี่ยวที่ดี

จึงทำให้ฉินสือโอวเชื่อฟังคำพูดของผู้เชี่ยวชาญและไม่ใส่ใจกับปัญหาโรคศัตรูพืช

วันรุ่งขึ้นพอบิลมาถึง เขาพาคนงานดูแลไร่องุ่นมาสองสามคนและพูดกับฉินสือโอวว่า “ไม่ต้องกังวล พวกเขาจะช่วยคุณแก้ไขปัญหาแมลงในต้นองุ่น แต่เมื่อถึงฤดูหนาวคุณจะต้องจัดการเอง ถ้าเกิดภัยพิบัติหนอนเจาะลำต้นองุ่นจะทำให้ยากต่อการจัดการกับมัน”

ฉินสือโอวพาชาวประมงไปที่ไร่องุ่น คนงานหนึ่งคนพาชาวประมงตามไปด้วยสองคนและสอนวิธีตัดแต่งหน่ออ่อนที่ล่อแมลงมาบนต้นองุ่นให้กับพวกเขา

บิลเอาถังยาฆ่าแมลงขนาดใหญ่ให้กับฉินสือโอวและพูดว่า “ผสมนี่กับน้ำปูนขาวให้เข้ากัน ที่นี่มีเครื่องบินทางการเกษตรใช่ไหม? พอถึงตอนเย็นก็แค่กระจายมันลงไปก็พอและหนอนเจาะลำต้นพวกนี้จะตายภายในคืนเดียว”

สำหรับเรื่องยาฆ่าแมลงแล้ว ฉินสือโอวค่อนข้างละเอียดรอบคอบมาก จนถึงตอนนี้สวนผัก ฟาร์มปลาและไร่องุ่นของเขาก็ยังไม่เคยใช้ยาฆ่าแมลงเลยสักครั้ง

เมื่อได้ยินบิลพูดแบบนี้ เขาจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วผลตกค้างของยาฆ่าแมลงพวกนี้จะเป็นอย่างไร?”

บิลหัวเราะแล้วพูดว่า “นี่คือยาไพรีทรัมกำจัดแมลงรุ่นที่สอง มันจะละลายทันทีที่ถูกแสงแดดส่อง ดังนั้นผมถึงให้คุณพ่นมันในตอนเย็น ไม่ต้องกังวล แค่แสงแดดส่องพวกมันสองวันก็จะหายไปจนหมดแล้ว อีกอย่างตอนนี้องุ่นของคุณก็ยังไม่เจริญเติบโตเลยแล้วจะกลัวอะไรกัน?”

สำหรับไร่องุ่นหมักไวน์แล้ว การระบาดของศัตรูพืชเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากมาก สาเหตุก็คือไม่สามารถใช้สารกำจัดศัตรูพืชกับมันได้ เมื่อมีสารตกค้างในองุ่นแล้วก็จะไม่สามารถผลิตไวน์ที่มีคุณภาพสูงออกมาได้

ปีนี้ฉินสือโอวต้องการหมักไวน์คุณภาพดีเอง เขาจะพึ่งคุณลุงฮิคสันไปตลอดไม่ได้หรอกจริงไหม?

หลังจากได้ฟังบิลพูดแล้วเขาก็สบายใจขึ้นและรับยาฆ่าแมลงมา เขาหยิบชุดเครื่องมือและเข้าไปในไร่องุ่น หลังจากพบรูเล็กๆ สีดำในหน่ออ่อนแล้วก็ให้เขาตัดส่วนนั้นทิ้งและรวบรวมมันไว้ตามที่บิลสอน

…………………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท