ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1224 ปลากระทะ

บทที่ 1224 ปลากระทะ

ท่านชายฉินคิดว่าตัวเองมีจิตวิญญาณของนักวิชาการที่สามารถรู้ถึงต้นตอของมันได้ เขาเรียนมัธยมมาจากโรงเรียนชนบทใช้ความคิดนี้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกและมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับประเทศได้ เนื่องจากเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าฟองน้ำทะเลนี้เกิดขึ้นได้อย่าไงร เขาจึงต้องศึกษามันอย่างรอบคอบ

หลังจากที่ศึกษาอยู่ได้ไม่ได้ เขาก็หลับตานอนหลับได้สำเร็จ….

วินนี่ขึ้นมาเรียกฉินสือโอวมาทานข้าว เมื่อเปิดประตู เธอก็เห็นว่าผู้ชายของตัวเองกำลังนอนฝันหวานราวกับเด็ก นอกจากนี้ยังมีโอพอสซัมเวอร์จิเนียตัวอ้วนอยู่ในอ้อมกอด พอสซัมวางหัวที่มีขนยาวอยู่ที่คอของฉินสือโอว บางครั้งก็ขยับหัวถูคางเขาเป็นครั้งคราว เหมือนเด็กน้อยที่กำลังนอนหลับอยู่

วินนี่ยิ้มหวานออกมา เธอหยิบกระดาษขึ้นมาฉีกเป็นสองสามเส้น จากนั้นก็มานั่งบนเตียง พลางมองไปยังฉินสือโอวด้วยความอ่อนโยน

ท่านชายฉินรู้สักคันใบหน้าเล็กน้อย เขาปัดมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากนั้นเขาก็รู้ว่าวินนี่กำลังใช้เส้นผมแกล้งเขา ฉินสือโอวสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเงยหน้าขึ้นเบิกตากว้างพลางพูดออกมาว่า “ว้าก…”

เขาคิดอยากจะกัดวินนี่สักที

แต่ว่าเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นใบหน้าซีดเผือดที่อยู่ด้านหน้า ไม่มีอวัยวะบนใบหน้าทั้งห้า มีเพียงหลุมสองสามหลุม แล้วผมที่กระเซอะกระเซิงที่อยู่ตรงหน้าเขา

“โว้ว!” ขุนนางฉินเห็นของเล่นชิ้นนี้ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา เดิมทีเขาอยากทำให้วินนี่ตกใจจนตัวลอย ในขณะเดียวกันเขาก็โยนต้าป๋ายออกไป ส่วนตัวเองก็ถอยหลังไป

วินนี่โยนกระดาษที่บังหน้าเหล่านั้นทิ้งแล้วหัวเราะออกมา ต้าป๋ายกลิ้งไปมาบนพื้น มันลืมตาขึ้นมางัวเงียแล้วมองไปยังคนทั้งสอง มันจำได้ชัดเจนว่าตัวเองนั้นนอนหลับอยู่บนเตียง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงลงมาอยู่ที่พื้นได้ล่ะ?

ฉินสือโอวมองไปยังใบหน้าที่กำลังพึงพอใจของวินนี่ เขาก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที เขากะว่าจะทำให้วินนี่ตกใจกลัว ทำไมเขาถึงโดนทำให้ตกใจเสียเองล่ะ?

หากเป็นปกติ ของแบบนี้ไม่สามารถหลอกเขาได้ แต่วินนี่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ ถึงสามารถทำให้เขาตกใจตื่นในขณะที่นอนหลับได้ ตอนนี้สมองของฉินสือโอวกำลังสับสน ปฏิกิริยาทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว สมองของเขาไม่สามารถตอบสนองได้

ฉินสือโอวกำลังตกใจอยู่ ส่วนวินนี่หัวเราะแล้วลุกขึ้นจากนั้นก็วิ่งออกไป เธอรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

ฉินสือโอวสวมชุดนอนแล้วไล่ตามวินนี่ไป วินนี่วิ่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากลงไปชั้นล่าง หลังจากนั้นเธอก็หยุดวิ่ง เธอรีบพูดขึ้นมาว่า “พ่อแม่กำลังนอนหลับอยู่ หากคุณทำอะไรฉัน ฉันจะตะโกนจนทำให้พวกเขาตื่นเลย”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินสือโอวตื่นตกใจขึ้นมาทันที “แล้วอาหารกลางวันก็ยังทำไม่เสร็จใช่ไหม? คุณก็ไม่ใช่ลูกสะใภ้ที่ดี หลักสามปฏิบัติสี่คุณธรรมล่ะ? ช่วยเหลือสามีสั่งสอนบุตรล่ะ?”

วินนี่ผลักเขาไปที่ห้องครัว “อยู่ในกระทะหมดแล้วค่ะ คุณเปิดดูสิคะ”

ฉินสือโอวเปิดกระทะออก ข้างในเป็นปลาที่ถูกล้างอย่างสะอาด เขาเกาหัวแล้วนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะทำปลากระทะ เขาปล่อยวินนี่ไปก่อน จากนั้นก็เตรียมตัวทำอาหาร

ก่อนจะเริ่ม เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตะโกนเรียก ซีมอนสเตอร์ แบล็คไนฟ์ ชาร์คและบลู ให้เข้ามา

ชายร่างใหญ่ห้าคนวิ่งเข้ามาในห้องครัวด้วยความมึนงง ฉินสือโอวชี้ไปยังหม้อและปลาที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องถาม เมนูง่ายๆ เมนูหนึ่ง ตอนนี้ฉันจะทำให้พวกนายดู พวกนายดูให้ดีล่ะ”

มีหลายพื้นที่ที่ทำปลากระทะ ที่บ้านเกิดของฉินสือโอวมีแม่น้ำหลายสาย ปลาในแม่น้ำไม่ได้ตัวใหญ่ นำมาทำอาหารทั้งตัวไม่อร่อย และหากต้องการทอดล่ะก็ เนื่องจากเมื่อก่อนมีแป้งมีน้ำมันน้อย ทำให้ออกมาไม่อร่อย ดังนั้นทุกครอบครัวจึงจับปลาในแม่น้ำ แล้วเอามาทำเป็นปลากระทะทานกัน

ตอนเด็กๆ ฉินสือโอวมักจะไปนำอวนตกปลาของตัวเองไปจับปลากับพวกฉินเผิงบ่อยๆ ในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง พวกเขาจะนำกระทะของตัวเองไป มีหมั่นโถวไปด้วยจำนวนหนึ่ง หลังจากจับลูกปลาในแม่น้ำแล้วพวกเขาก็จะจุดไฟทำปลากระทะกินกันที่ริมแม่น้ำ

พอตั้งแต่มัธยมปลายขึ้นมา เขาก็ไม่ได้กินอีกเลย ตอนนี้ปลาในแม่น้ำมีน้อยมากแล้ว และมีที่เลี้ยงมากมายในฟาร์มปลาที่วางจำหน่ายในตลาด มีคนจำนวนไม่น้อยที่พยายามจะทำอาหารเมนูนี้

วินนี่รู้ว่าบ้านเกิดของพวกเขาทำปลาเพียงอย่างไรคร่าวๆ ปลาเล็กๆ พวกนั้นถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่เพียงแต่จะล้างท้องและตัดหัวปลาออกเท่านั้น แต่เธอยังบั้งปลาบนตัวไว้แล้วด้วย แล้วใช้ไวน์ขาวและน้ำส้มสายชูหมักไว้อย่างง่ายๆ

แบบนี้ฉินสือโอวก็ทำอาหารได้ทันที มันง่ายมากเลย เขาตั้งกระทะจนร้อนแล้วเทน้ำมันมะกอกลงไป หลังจากที่น้ำมันเดือดเขาก็ใส่หมูสามชั้นลงไป หลังจากผัดเนื้อหมูจนมีกลิ่นหอมก็ใส่หอมหัวใหญ่ ขิง กระเทียม และพริกลงไปแล้วผัดเข้าด้วยกัน

หลังจากผัดเครื่องเทศจนมีกลิ่นหอมแล้ว เขาก็เทซอสถั่วเหลืองลงไป จากนั้นก็เทน้ำลงไปและเริ่มเคี่ยว สุดท้ายเขาก็ต้มไวน์ขาวและน้ำตาลลงไปเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ

นอกเหนือจากนี้เขาก็ไม่ได้ปรุงอะไรเพิ่มลงไปอีก รสชาติของปลาทะเลนั้นสดใหม่อร่อย กุญแจสำคัญของอาหารเมนูนี้คือความร้อนไม่ใช่ปริมาณของเครื่องปรุง ดังนั้นเมื่อทานก็จะได้รับรสชาติสดใหม่ของปลา

ในขณะที่กำลังตุ๋นปลา ฉินสือโอวก็นำเส้นบะหมี่มาละลายในน้ำอุ่นจากนั้นก็นวดเข้าด้วยกันจนกลายเป็นแผ่นแพนเค้กแผ่นเล็กๆ เขานำแพนเค้กเข้าเตาอบเพียงครู่หนึ่ง เมื่อได้ที่แล้วเขาก็หยิบมันออกมา จากนั้นก็เอาด้านหนึ่งทาน้ำมันแล้วนำไปย่างบนกระทะ

ปลากระทะเมนูนี้ต้องทานคู่กับแพนเค้กธัญพืชถึงจะอร่อย เดิมทีการทานแบบนี้เป็นที่นิยมในยุคเจ็ดสิบและช่วงแปดสิบ ณ ตอนนั้นอาหารหลักของบ้านเกิดฉินสือโอวเป็นพวกเค้กข้าว ข้าวเกาเหลียง

แต่ทานกับแพนเค้กทำให้มีรสชาติที่ดีกว่า ซุปปลาที่กำลังเดือดส่งเสียงดังปุดๆ ออกมา แพนเค้กชนิดนี้ดูดซับน้ำได้ดี มันจะดูดซับน้ำซุปปลามาบางส่วน สุดท้ายเมื่อแพนเค้กพวกนั้นถูกย่างจนได้ที่ น้ำซุปจากปลาก็คงจะเหลือจำนวนไม่มากแล้ว พอถึงตอนนั้นก็ถือว่าอาหารจานนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

ฉินสือโอวถามเหล่าชายหนุ่มที่อยู่รอบๆ ว่า “ทำกันได้หมดแล้วใช่ไหม?”

ทุกคนพากันพยักหน้า ชาร์คยิ้มพลางถามว่า “วันนี้ผมได้เรียนรู้เรื่องหนึ่ง ว่าเดิมทีแล้วปลาตัวเล็กก็สามารถเอามาทำอาหารแบบนี้ได้”

ฉินสือโอวถามออกมาว่า “แล้วปกติพวกนายทำอย่างไรกันล่ะ?”

ชาร์คตอบว่า “ง่ายมาก แค่ตุ๋นกับน้ำก็ใช้ได้แล้ว”

ฉินสือโอวพูดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจว่า “ใช้น้ำเปล่าต้มปลาเหรอ? แบบนั้นอาหารจะอร่อยเหรอ?”

ชาร์คยักไหล่แล้วตอบว่า “ผมก็ไม่รู้ อีกอย่างของพวกนี้ก็ให้หมาที่บ้านกิน มันคงไม่สนว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรหรอก?”

ฉินสือโอว “…”

ในขณะที่บลูกระทุ้งแขนเข้าที่ด้านหลังเขา ฉินสือโอวก็เลือกแพนเค้กสีเหลืองทองอันหนึ่งขึ้นมาจุ่มน้ำซุปแล้วส่งให้วินนี่ วินนี่ลองชิมแล้วยิ้มออกมาพลางพูดว่า “อือ อร่อยมากเลย ต่อไปทำอาหารให้ฉันทานบ่อยๆ เลยดีไหมคะ?”

เมื่อพูดจบ เธอก็เกิดอาการกังวลขึ้นมาทันที “ที่รัก ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่คลอดลูกความอยากอาหารของฉันก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นมาก พอทานไปแล้ว คุณว่าฉันจะเปลี่ยนมาอ้วนเหมือนหมูไหม?”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เขาหันไปบีบคางวินนี่อย่างอ่อนโยน แล้วใช้น้ำเสียงนุ่มนวลพูดปลอบใจเธอว่า “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ที่รัก ไม่ว่าคุณจะอ้วนขนาดไหน คุณก็มีเพียงขาสองขาเท่านั้น!”

ตอนที่ได้ยินประโยคนี้วินนี่กำลังจะยิ้มหวานออกมา แต่เมื่อได้ฟังประโยคหลังก็ทำเอาเธอขนลุกขึ้นมาทันที สุดท้ายเธออดไม่ได้ที่จะมองไปยังพวกชาร์คและพูดออกมาอย่างเศร้าๆ ว่า “เอาล่ะ เห็นแก่คุณแล้วกัน คืนนี้ลองพิมพ์คำว่าฉันรักคุณร้อยครั้ง ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ”

หลังจากที่วินนี่เดินออกไป ชาร์คและคนอื่นๆ ก็มองมาไปยังฉินสือโอวด้วยความอิจฉา “หัวหน้า นี่คือโทษของความสุขจริงๆ สินะ”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “พวกนายลองคุกเข่าลงบนแป้นพิมพ์แล้วใช้เข่าพิมพ์คำว่า ‘ฉันรักคุณ’ สักร้อยครั้งดูสิ ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าพวกนายจะมีความสุขหรือเปล่า!”

พวกชาวประมง “…”

แบล็คไนฟ์พูดเปลี่ยนประเด็นขึ้นมาว่า “งั้นพวกเรากินข้าวกันได้แล้วใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง “แน่นอน กินได้ตามสบาย แต่ว่าไม่ใช่ที่นี่ พวกนายต้องทำเอง ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกพวกนายมาทำไมกันล่ะ?”

พวกชาวประมง “…”

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท