ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1212 คราเคนกินข้าว

บทที่ 1212 คราเคนกินข้าว

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปในทะเลลึก ฉินสือโอวก็จึงหาคราเคนเจอและวางแผนที่จะพามันไปเตร็ดเตร่ในทะเลลึกสักพัก

เพราะไม่ได้เจอมันมาสักพักแล้ว ขนาดตัวของคราเคนจึงใหญ่ขึ้นและมีลำตัวยาวกว่ายี่สิบเมตรแล้ว หมึกยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดที่ถูกค้นพบในโลกอยู่ที่อ่าวเลยัลประเทศนิวซีแลนด์และหมึกยักษ์ตัวนั้นมีหนวดที่ยาวที่สุดคือสิบหกจุดเจ็ดเมตร รวมกับลำตัวจะยาวประมาณยี่สิบเอ็ดเมตร

ฉินสือโอวไม่ได้วัดขนาดของคราเคน แต่ถ้ามันมีขนาดถึงยี่สิบเอ็ดเมตรก็ไม่มีปัญหา ภายใต้การเร่งปฏิกิริยาของพลังแห่งโพไซดอน มันยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วมันจะสามารถมันจะโตได้มากแค่ไหน นั่นก็ยังบอกไม่ได้

หมึกยักษ์ที่มีความยาวมากกว่ายี่สิบเมตรจะล่องลอยอยู่ในทะเล อานุภาพนั้นช่างน่ากลัวจริงๆ ฉินสือโอวไม่เคยเจอกับความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งอย่างวาฬเพชฌฆาตและวาฬหัวทุยมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นปลาที่กล้าต่อสู้กับคราเคนด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าโลกใต้น้ำนั้นลึกลับและไม่อาจคาดเดาได้ คราเคนที่มีความยาวยี่สิบเมตรจึงไม่ใช่ราชาที่ไร้คู่ต่อสู้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ครั้งนี้จะมีเพียงแค่เรื่องแมลงยักษ์คล้ายตะขาบที่เขาต้องไปตามหา ถ้าพวกนี้ได้รวมตัวกันแล้วก็เกือบจะฆ่าสัตว์อย่างคราเคนได้

คราเคนร่อนเร่อยู่ใต้ท้องทะเลทั้งวัน ไม่รู้จะหาเรือเจอได้จากที่ไหน เรือลำนี้ถูกทำลายจนเสียหายอย่างหนักจนตำแหน่งท้ายเรือเป็นโพรง

ตอนนี้คราเคนก็อาศัยอยู่ในเรือลำนี้ โดยมีหนวดแปดเส้นที่โอบล้อมเรือทั่วทุกทิศทุกทางและตัวของมันก็ทะลุจากท้ายเรือเข้าไปในห้องโดยสารเรือ สถานที่นี้มีความเป็น “ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน” มาก เหมือนกับว่ามันเป็นเรือที่ถูกทำลาย

ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปดูภายในเรือและไม่มีสิ่งของมีค่าอะไรเลย ภายในของเรือลำนี้สะอาดมาก เว้นแต่ตัวเรือและทุกอย่างแทบจะเสื่อมโทรมไปจนหมดแล้ว

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนมีอำนาจทุกอย่าง สุดท้ายเขาก็พบเหรียญทองแดงสองสามเหรียญในซอกรอยแตกของเรือ จิตสำนึกแห่งโพไซดอนจึงเก็บพวกมันออกมา แต่กลับพบว่ามองเห็นอะไรชัดเจนเลย มีเพียงลายเส้นทรงกลมคร่าวๆ ซึ่งไม่มีค่าอะไร เขาจึงคืนสู่เจ้าของและเอาเหรียญทองแดงส่งคืนให้ตรงซอกรอยแตก

หมึกยักษ์เป็นสัตว์น้ำลึก สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่คราเคนเลือกคือทะเลลึกนอกฟาร์มปลา ที่นี่ไม่มีแสงสว่างใดๆ เลย ดังนั้นถึงแม้ว่าคราเคนต้องการเคลื่อนไหวอย่างอิสระก็ยังลำบาก ต่อให้ตาของมันจะใหญ่พอๆ กับโต๊ะเรียนของเด็กประถมก็ตาม

หลังจากรู้สึกถึงพลังแห่งโพไซดอน มันก็ค่อยๆ โผล่หัวออกมา จากนั้นก็ลอยตามฉินสือโอวไปเหนือน้ำทะเล

คนอื่นๆ มักจะพาสุนัขแมวออกไปเดินเล่นข้างนอก ส่วนเย็นนี้ฉินสือโอวจะพาหมึกยักษ์ไปเดินเล่นและนี่คือหมึกยักษ์ที่มีอาวุธที่ฟัน หนวดแปดเส้นที่มาพร้อมกับกระบองฟันหมาป่า ดังนั้นการเป็นเจ้าถิ่นในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือก็เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับมัน

ฉลามวัวฝูงหนึ่งกำลังเร่ร่อนหาอาหารอยู่กลางน่านน้ำ จู่ๆ พวกมันก็รู้สึกว่าน้ำทะเลไหลเชี่ยวอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็หันไปรอบๆ อย่างรวดเร็วและตะแคงมองลงไปด้านล่าง จากประสบการณ์ของพวกมัน นี่เป็นสัญญาณการปรากฏตัวของปลาฝูงหนึ่ง

ฉลามวัวเป็นหนึ่งในนักฆ่าที่น่ากลัวที่สุดในท้องทะเล พวกมันมีขนาดเล็ก แต่นิสัยดุร้าย รับรู้กลิ่นได้ไวและมีการรับรู้ที่รุนแรง พวกมันสามารถตามล่าเหยื่อได้ในระยะหนึ่งกิโลเมตรโดยอาศัยความสั่นสะเทือนและเสียงของทะเล

ดังนั้น เมื่อน้ำทะเลในบริเวณน่านน้ำผืนนี้เกิดการสั่นสะเทือน พวกมันจะรับรู้ได้และพวกมันจะตัดสินขนาดของฝูงปลาที่จะโจมตีจากความถี่ในการสั่นสะเทือนของน้ำทะเล

แต่ครั้งนี้พวกมันพลาดแล้ว หลังจากผ่านไปหลายสิบวินาที ฝูงปลาก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมาและหมึกยักษ์ที่น่ากลัวตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาแทน

เมื่อเห็นคราเคน ปลาทะเลธรรมดาทั่วไปจะหนีกระเจิดกระเจิง แต่ฉลามวัวไม่หนี พวกมันกลับเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวกว่าตัวเองสิบเท่า คิดไม่ถึงว่าจะจ้องตาเป็นมันและรุมล้อมเข้าไป พวกมันมองคราเคนด้วยสายตาคิดร้ายคล้ายกับว่าต้องการล่ามัน

นี่คือนิสัยที่แท้จริงของฉลามวัว พวกมันมีความสามารถในการโจมตีและมีนิสัยการกินแบบผสมผสาน เมื่อพวกมันหิว เป็นที่รู้กันดีว่าสัตว์ทุกตัวสามารถเป็นอาหารของพวกมันได้ รวมถึงฉลามบางตัวที่มีขนาดใหญ่กว่าพวกมันด้วย

บังเอิญที่คราเคนก็หิวเช่นกัน เพราะในทะเลลึกไม่มีอาหารให้มันกินเลย

เมื่อเห็นฉลามวัวที่กำลังล้อมรอบเข้ามา คราเคนก็เริ่มออกตัวเคลื่อนไหว มันพ่นน้ำหนึ่งครั้งและเร่งความเร็วทันทีและหนวดทั้งแปดเส้นก็ปล่อยให้วงล้อไฟจัดการฆ่า สักพักก็เห็นแค่น้ำทะเลซัดสาดและมีเลือดสดๆ ไหลออกมา จนฉลามวัวที่อยู่ล้อมรอบอยู่ ไม่สามารถโจมตีได้ทัน จึงถูกกระบองฟันหมาป่าตีจนแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ

เหมือนกับผู้ใหญ่รังแกกลุ่มเด็กๆ การโจมตีของฉลามวัวต่อคราเคนนั้นเป็นเพียงแค่ความหยาบคายเท่านั้น จากนั้นก็เกมโอเว่อร์

ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ฉลามวัวฝูงนี้ก็พ่ายแพ้ไป ฉลามวัวหลายสิบตัวก็เป็นเจ้าแห่งมหาสมุทรเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่พวกมันไม่ได้เผชิญหน้ากับหมึกยักษ์มากพอ โดยเฉพาะหมึกยักษ์ตัวนี้ยังสามารถต่อสู้ได้อีกด้วย

คราเคนจัดการฉลามวัวหกตัวได้อย่างรวดเร็วและอีกสองตัวก็ถูกตีจนเลือดไหลแต่ไม่ตาย เมื่อคราเคนหยุด พวกมันก็หันหลังกลับแล้วหนีทันทีจนแทบอยากจะให้พ่อแม่ของพวกมันเพิ่มหางให้พวกมันมากกว่านี้

เมื่อเห็นฉลามวัวหนีไปแล้ว คราเคนกะพริบตาดวงโตที่มีขนาดเท่ากับโต๊ะเรียนหนังสือด้วยความดูถูกเหยียดหยาม มันใช้หนวดจับซากฉลามวัวไว้และเริ่มกินพวกมันต่อหน้าฉินสือโอว

ท่าทางการกินของหมึกยักษ์นั้นเต็มไปด้วยรสชาติแห่งความป่าเถื่อนและดุร้าย แรงดูดที่หนวดของพวกมันน่ากลัวมาก หลังจากที่ดูดซากของฉลามวัวไว้อย่างโหดร้ายแล้ว มันก็ฉีกเป็นเนื้อชิ้นใหญ่แล้วยัดเข้าปาก มันจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และฉลามวัวหนึ่งตัวกินได้ไม่กี่คำก็หมดแล้ว

ฉินสือโอวส่ายหัว เขาไม่สนใจที่จะดูการกินของคราเคน ดังนั้นเขาจึงวางจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอีกด้านไว้ใกล้กับหลุมน้ำเงินที่มีแมลงยักษ์คล้ายตะขาบอาศัยอยู่และเตรียมที่จะเอากระดองออกมาอีกครั้ง

ที่ที่แมลงยักษ์คล้ายตะขาบอาศัยก็อยู่ในทะเลลึกเช่นกัน เมื่อก่อนฉินสือโอวเคยมาที่นี่หลายครั้งและที่นี่ก็เป็นที่ที่มืดสนิทแห่งหนึ่ง

แต่หลังจากมาในครั้งนี้เขาก็พบว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น พื้นที่ทะเลที่ใกล้กับหลุมน้ำเงินกำลังส่องแสงเป็นประกายเล็กน้อย…

ให้ตายเถอะ หรือว่าที่นี่จะเป็นที่อยู่ของแมงกะพรุนเวเลลลาเรืองแสง? ฉินสือโอวถึงกับผงะ ปกติแล้วเขาออกลาดตระเวนในฟาร์มปลาและพบว่าแมงกะพรุนเวเลลลาเรืองแสงมีความเกี่ยวข้องกับปูดันเจเนสส์ พวกมันอาศัยอยู่ในน่านน้ำของฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในคอกและเขาไม่เคยพบพวกมันอยู่ที่อื่นเลย

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมน่านน้ำแห่งนี้ ฉินสือโอวจึงสังเกตอย่างละเอียดสักพักถึงจะเข้าใจว่าตัวเองคิดผิด นี่ไม่ใช่แมงกะพรุนเวเลลลา แต่มันคือปลาฝูงหนึ่ง

ครึ่งหน้าของลำตัวปลาชนิดนี้มีรูปร่างแบนคล้ายจานและหางก็เป็นรูปทรงกระบอก มันเคลื่อนที่ช้าๆ เมื่อเข้าใกล้กับก้นทะเล มันไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ในระยะครึ่งเมตรเหมือนกันเดียวกับเต่า

ท่าทางของพวกมันค่อนข้างดุร้าย ถ้ามองแค่หน้าตา พวกมันต้องเป็นหนึ่งในสี่ชายที่ชั่วร้ายในใต้ท้องทะเลแน่นอน เพียงแค่เห็นเจ้าพวกนี้มีตาสองดวงที่ด้านบนของหัว มีปากใหญ่น่ากลัว ปากของมันกว้างเท่าลำตัวและมีฟันแหลมเรียงกันเป็นแถวที่ขอบปาก

นอกจากนี้ ยังแปลกมากที่ปลาชนิดนี้ยังมีครีบที่คอ สามารถแกว่งไปมาเพื่อช่วยให้พวกมันเคลื่อนไหวได้และสิ่งที่แปลกไปกว่านั้นคือ บนหัวของพวกมันมีโคมไฟขนาดเล็กห้อยอยู่และแสงสว่างเปล่งออกมาจากตรงนี้

ฉินสือโอวรู้ว่าปลาชนิดนี้คือปลาตกเบ็ด มีฉายาว่าปลาโคมไฟ จริงๆ แล้วโคมไฟบนหัวของพวกมันเกิดจากครีบหลังที่ค่อยๆ ยื่นขึ้นไป

ปลายครีบหลังเปล่งแสงเนื่องจากมีเซลล์ต่อมที่สามารถหลั่งลูซิเฟอรินซึ่งเร่งปฏิกิริยาโดยลูซิเฟอเรสและผ่านกระบวนการออกซิเดชันทางเคมีอย่างช้าๆ พร้อมกับออกซิเจนเพื่อเปล่งแสงออกมา

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท