ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1214 หมอกหนาเต็มท้องฟ้า

บทที่ 1214 หมอกหนาเต็มท้องฟ้า

“มันไม่เหมือนกัน ผมจะกลับไปจัดเลี้ยงงานแต่งงาน พอถึงตอนนั้นไปร่วมงานก็จะได้ไม่มีปัญหา? แต่คุณก็เห็น ตอนที่ผมบอกว่างานแต่งงานของเราจัดขึ้นในเดือนกันยายน เขาก็ไม่สนใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้ต่อเลย” ฉินสือโอวกล่าว

สำหรับเรื่องแบบนี้ เขาเกลียดเข้ากระดูกดำมาก เดิมทีก็เป็นแค่ความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมชั้นทั่วไป แต่พอหลังเรียนจบแล้วก็ไม่ติดต่อกันเลยและปกติก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเลยแล้วพอเราแต่งงานมีลูกก็โทรมา นี่มันหมายความว่าอะไร?

ฉินสือโอวมีนิสัยแบบนี้ ปกติจะเล่นด้วยกับทุกคน แม้ว่าจะเป็นแค่การพูดคุยกันแค่ในอินเทอร์เน็ตไม่กี่ประโยคก็ตาม แต่เมื่อพบปัญหาเขาก็จะไม่ยอม และโดยปกติแล้วจะไม่มีการติดต่อใดๆ เลยและเมื่อเรื่องได้มาถึงตัวแล้วค่อยนึกถึงตัวเอง ช่างมันเถอะ เรื่องนี้ผมไม่เคยเอามารวมกันอยู่แล้ว

หลังจากหยอกล้อลูกสาวสักพัก ฉินสือโอวก็กล่อมเธอนอน เจ้าตัวเล็กจะเชื่อฟังมากในตอนกลางคืน เดาว่าเมื่อเห็นหู่เป้าฉงหลัวเข้านอนตรงเวลา พอถึงตอนนั้นเธอก็จะหลับตานอน

ในขณะที่กำลังกล่อมลูกให้นอนหลับ ฉินสือโอวก็แสดงท่าทางยิ้มเยาะใส่วินนี่และหันตัวเข้าหาเธอ

วินนี่หัวเราะเบาๆ พลางผลักเขาออกไปและพูดว่า “คุณบอกว่าคุณอายไม่ใช่เหรอไง? ลูกสาวก็นอนอยู่ข้างๆ คุณจะทำอะไร?”

“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร? ผมอยากทำลูก” ฉินสือโอวพูดอย่างหนักแน่น

“แหนะ ตรงนั้นก็มีเด็กหนึ่งคนแล้วไงคะ” วินนี่ชี้ไปที่เสี่ยวเถียนกวาที่กำลังหลับสนิทพร้อมกับพูดยิ้มหวานไปด้วย

ฉินสือโอวกอดเธอไว้และทำตัวไม่มีเหตุผลแล้วพูดว่า “เธอยังขาดน้องชายและน้องสาวนะ”

สำหรับคืนนี้ก็จบลง เช้ารุ่งขึ้นเกาะแฟร์เวลจึงมีหมอกหนาเกิดขึ้น

อากาศแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับหมู่เกาะ เกาะแฟร์เวลในหนึ่งปีหรือสามร้อยหกสิบห้าวันต้องมีร้อยวันที่มีทะเลหมอกปกคลุม แต่เนื่องจากลมทะเลแรงและมีแดดจัด ปกติจึงมักจะมีหมอกในตอนเช้าและฟ้าโปร่งในตอนบ่าย

วันนี้หมอกลงหนักมาก หลังจากฉินสือโอวเปิดหน้าต่างได้สักพัก วินนี่ก็รู้สึกว่าผ้าห่มและที่นอนชื้น เธอจึงลืมตาอย่างสะลึมสะลือขึ้นมาและพูดว่า “ปิดหน้าต่างเถอะค่ะ มันชื้นเกินไปจะไม่ดีต่อผิวของเสี่ยวเถียนกวานะคะ”

ฉินสือโอวยิ้มและปิดแง้มหน้าต่างไว้ จากนั้นก็ไปออกกำลังกายตอนเช้าตามปกติ

แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ ก็กำลังวิ่งในตอนเช้า แต่หมอกหนามาก จนทำให้ไม่สามารถมองเห็นในระยะสี่ถึงห้าเมตรได้ ฉินสือโอวต้องวิ่งไปข้างหน้าเท่านั้นถึงจะมองเห็นเงาคน

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “พระเจ้า ทำไมวันนี้ถึงได้มีหมอกหนาขนาดนี้นะ?”

“ใช่ หมอกหนามาก กรมอุตุนิยมวิทยาเซนต์จอห์นได้ประกาศคำเตือนหมอกสีแดง ให้ท่าเรือ สนามบินและทางหลวงปิดทั้งหมด” แบล็คไนฟ์กล่าว

ทริกเกอร์พูดแทรกขึ้นว่า “ดูท่าจะไม่ค่อยดีแล้ว หมอกหนาในครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแก้ไขได้ภายในวันครึ่ง อีกอย่างตามความเห็นของกรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่าอีกสองหรือสามวันต่อมาก็จะมีหมอกหนาแบบนี้”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมจู่ๆ ถึงมีหมอกหนาขนาดนี้ล่ะ?” ฉินสือโอวพูดด้วยความแปลกใจ

สองปีครึ่งที่แล้วที่เขามาที่เกาะแฟร์เวล ผ่านประสบการณ์ในวันที่มีหมอกมาก็มาก แต่ก็ไม่เคยเห็นหมอกที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อน

เหล่าทหารยักไหล่ใส่แสดงออกว่าพวกเขาไม่รู้ ฉินสือโอวเช็ดน้ำออกจากผม นี่ไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นน้ำที่เกิดจากหมอกเกาะตัวบนเส้นผมของเขา

ในสภาพอากาศแบบนี้ไม่สามารถออกกำลังกายตอนเช้าได้ เพราะจะทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้นและไอน้ำก็รุนแรงเกินไป

แต่มันก็สะดวกสบายสำหรับฉินสือโอว เขาไปที่ชายหาดเพื่อเอากระดองแมลงยักษ์ที่หมึกยักษ์ส่งมาให้ที่ชายทะเลและเขาไม่จำเป็นต้องซ่อน เขาเดินแบกกระดองกลับไปที่วิลล่า ระหว่างนั้นก็เห็นเงาคนสองสามคนผ่านไป แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร

หลังทานอาหารเช้าเสร็จ สถานีตำรวจแห่งเกาะแฟร์เวลก็ออกประกาศเตือนสีแดงว่า ให้ประชาชนรีบปิดประตูและระวังมีคนมาขโมยของ ด้วยสภาพอากาศแบบนี้กล้องวงจรปิดจะหยุดการใช้งาน ต่อให้มีใครก่ออาชญากรรม ก็แทบจะตรวจจับไม่ได้

แม้ว่าที่ฟาร์มปลา หมอกจะไม่มีผลต่อเรดาร์

แต่สำหรับความรู้สึกของมนุษย์แล้ว การเกิดหมอกส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก

ในช่วงตอนเที่ยง ร่องรอยของเรือประมงสองลำก็ปรากฏขึ้นบนเรดาร์อย่างต่อเนื่อง ส่วนพวกมันมาทำอะไรนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องฉวยโอกาสมาขโมยปลาในสภาพอากาศที่มีหมอกหนาแบบนี้อย่างแน่นอน

ฉินสือโอวโกรธคนพวกนี้จนแทบจะทนไม่ไหว ไม่น่าให้อภัยจริงๆ เขาใช้มาตรการมาตั้งมากมายและคิดว่าจะป้องกันการขโมยปลาได้ คิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้มุ่งมั่นที่จะคว้าโอกาสที่มีอยู่และใช้โอกาสที่มีอยู่ทั้งหมดพยายามหาทางมาขโมยปลาไปให้ได้

แบล็คไนฟ์ก็จนปัญญาเช่นกัน จึงด่าออกไปว่า “ฟัค! พวกเขายังเห็นกฎหมายอยู่ในสายตาบ้างไหม? แม้ว่าจะไม่เห็นกฎหมายก็เถอะ แล้วเคยตระหนักถึงปลอดภัยบ้างไหม? อากาศแบบนี้ยังกล้าออกทะเล ไม่กลัวจะชนหินหรือเรือล่มบ้างเหรอไง?”

ทริกเกอร์ไม่เข้าใจจึงพูดว่า “ท่าเรือก็ปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เรือประมงพวกนี้จะออกมาได้อย่างไร?”

ชาร์คหัวเราะและพูดว่า “พวกเขาคือเรือผี…”

“ให้ตายสิ!” พวกทหารถอนหายใจ “อากาศแบบนี้อย่าพูดถึงเรื่องที่น่ากลัวแบบนี้เลยดีกว่าไหม?”

“เรือผีลำนี้ไม่ใช่เรือที่เราพูดถึงกันทั่วไป ตอนนี้พวกเขากำลังลอยอยู่ในทะเลและไม่สามารถเข้ามาท่าเรือหรือหยุดได้ พวกเขาทำได้เพียงลอยไปมาในทะเลได้เท่านั้น นายว่านี่เหมือนกับเรือผีไหมล่ะ?” ชาร์คอธิบาย

ฉินสือโอวปรบมือและพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกนายหยุดคุยกันตรงนี้เถอะ คนพวกนี้กำลังจะขโมยเงินเรานะ พวกนายต้องรู้ว่า แค่พวกเขาไม่ได้งมตาข่ายขึ้นมา ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนายจะถูกลดเงินโบนัสในช่วงปลายปี…”

“ไอ้พวกสาระเลวพวกนี้นี่! บอส เราต้องให้บทเรียนสักอย่างกับพวกเขาแล้วล่ะ ส่งเรือผีไปทำให้พวกเขาตกใจดีไหม?” พวกทหารพอได้ยินว่าจะมีคนมาขโมยเงินของตัวเองเริ่มฮึกเหิมกันขึ้นมาทันที

“ความคิดดี สภาพอากาศแบบนี้เหมาะมากสำหรับเอาเรือผีออกโจมตีมาก แต่นี่ก็ยังไม่เท่ากับการบอกกับผู้คนว่าเรือผีมีส่วนเกี่ยวข้องกับฟาร์มปลาของเรา ใช่ไหม? ตอนนี้ฟลาวเวอร์ฟอกซ์ก็ได้ปรากฏขึ้นในฟาร์มปลาบ่อยขึ้นแล้ว” ชาร์คคัดค้านและพูดว่า “จะคิดมากไปทำไม? ส่งเรือยนต์ความเร็วสูงไป ทิ้งขีปนาวุธใส่พวกเขา ขีปนาวุธของเรายังไม่เคยถูกใช้เลยสักครั้ง!”

แบล็คไนฟ์แยกเคี้ยวออกมาและหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “หรือเราจะใช้เครื่องบินขับไล่พวกเขาออกไปและใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกว่าเรามองเห็นไม่ชัด จึงทำให้พวกเขาปะทะกันเอง”

ฉินสือโอวฟังคนกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันว่าจะจัดการกับเรือประมงทั้งสองลำอย่างไร แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วหัวแม่มือให้

และมันก็เป็นการตัดเส้นทางการหาเงินของคนอื่นจริงๆ หลังจากเข้าใจแล้วว่าปลาที่คนพวกนี้ขโมยไปนั้นเกี่ยวข้องกับโบนัสของตัวเอง ชาวประมงและทหารจึงแสดงความคิดเห็นออกมาทีละคนๆ ซึ่งก็แย่มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างรวดเร็ว

การจัดการกับเรือสองลำนี้ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ง่ายมาก บังเอิญที่ตำแหน่งของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากที่ที่คราเคนนอนอยู่ เขาจึงคิดในใจว่าถือโอกาสนี้ส่งคราเคนออกไปจัดการพวกเขาและเพิ่มสีสันตำนานให้กับน่านทะเลผืนนี้สักหน่อยก็พอแล้ว

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนหาคราเคนเจอ มันกำลังนอนหลับอยู่ที่ก้นทะเล ดูเหมือนว่าฉลามวัวที่กินอย่างอิ่มหนำสำราญเมื่อคืนนี้จะทำให้มันกินจนพอใจมาก

ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแทนจิตสำนึกของมันพ่นไอน้ำให้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างช้าๆ

เนื่องจากสาเหตุทางโครงสร้าง เมื่อหมึกยักษ์ลอยจากทะเลลึกมาถึงน้ำตื้น จะทำให้เกิดอาการชาของกล้ามเนื้อ ดังนั้นนอกเหนือจากเทพปกรณัมนอร์สแล้ว ผู้คนจะไม่สามารถเห็นเหตุการณ์หมึกยักษ์โจมตีเรือขึ้นในชีวิตจริงได้

ในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดใต้ทะเลลึก วาฬหัวทุยจะจัดการกับหมึกยักษ์ด้วยวิธีนี้ เมื่อพวกมันเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ วาฬหัวทุยจะหาทางลอยขึ้น ขอแค่ลอยขึ้นไปถึงน้ำตื้น หมึกยักษ์ชั่วร้ายตัวนั้นก็จะยอมแพ้

แต่หมึกยักษ์ชั่วร้ายจะใช้อวัยวะในตัวดูดช่องระบายอากาศของวาฬหัวทุยจนมันหายใจไม่ออกตาย ก่อนที่มันจะขึ้นสู่ผิวน้ำ

แผนของฉินสือโอว ก็คือปล่อยให้ตำนานที่ถูกจัดฉากให้เกิดขึ้นจริง

……………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท