ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1205 กักเรือลำนี้ไว้

บทที่ 1205 กักเรือลำนี้ไว้

ลองคิดดูอีกที ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าฟาร์มปลาของตัวเองอาจจะอุดมสมบูรณ์เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้แล้วก็ได้ ไม่ใช่แค่เพราะหัวใจแห่งโพไซดอนเท่านั้น แต่เป็นเพราะความพยายามที่เขาทำเพื่อฟาร์มปลาเป็นอย่างมากอีกด้วย

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพื่อที่จะป้องกันการขโมยปลา เขาทำมาตรการขึ้นมาตั้งเท่าไร? ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ ซื้อเรือความเร็วสูงสี่ลำ วางแผนตำนานเรือผี ใส่ร้ายและฟ้องร้องเยาวชนลินตันทั้งสี่คนนั้น…

ในที่สุด ผลก็เริ่มปรากฏออกมาแล้ว หลังจากเข้าสู่ฤดูจับปลา ฟาร์มปลาอื่นๆ ต่างก็เตรียมป้องกันเรือขโมยปลา ทะเลฝั่งเขาเงียบสงบมาก เพราะไม่มีเรือขโมยปลาเข้ามาเป็นเวลาหลายวันแล้ว

แต่เขาก็มีความสุขได้ไม่นาน วันรุ่งขึ้นหลังจากได้รับโทรศัพท์จากศาลฎีกาแห่งนิวฟันด์แลนด์ แอร์แบ็คที่เข้าเวรอยู่ก็บอกเขาว่า “บอส เรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่งเข้ามาในน่านน้ำฟาร์มปลาของเรา คุณจะไปดูเขาไหมครับ?”

ตอนนี้พวกคนที่จะมาขโมยปลาฉลาดมาก ใช้ทุกวิถีทางในการปลอมตัว เหมือนกับงานปาร์ตี้ฮาโลวีนที่ต้องสวมหน้ากาก ขอแค่เห็นว่ามีเรือกำลังเข้ามาเจ้าของฟาร์มปลาก็ต่างพากันตกใจกลัวแล้ว ก่อนออกจากฟาร์มปลา พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะยืนยันจุดประสงค์ที่แท้จริงของเรือเหล่านี้

ทางฝั่งฉินสือโอวก็สะดวกสบายมาก เรดาร์ที่ติดตั้งมาด้วยราคาแพงก็เป็นประโยชน์มาก มันสามารถสแกนรูปร่างขนาดเล็กใหญ่ของเรือและส่งข้อมูลกลับมา เพื่อให้ชาวประมงที่มีประสบการณ์วิเคราะห์ประโยชน์ใช้สอยทั่วไปของเรือลำนี้

เมื่อได้ยินว่าเป็นเรือบรรทุกสินค้า ฉินสือโอวก็ส่ายหัวและพูดว่า “นายไม่ต้องเฝ้าดูหรอก ตามเลยดีกว่า แต่ถ้านายไม่ได้อยู่ที่น่านน้ำของเรานาน ก็ไม่เป็นไร”

สรุปว่าสองชั่วโมงต่อมา แอร์แบ็คก็มาหาฉินสือโอวอีกครั้งและพูดว่า “บอส เรือลำนั้นไม่ได้แวะจอดนาน แต่มันเข้ามาตามทิศทางของท่าเรือ ผมคิดว่าจำเป็นต้องรายงานให้คุณทราบ”

ฉินสือโอวที่กำลังรับลมอยู่บนชายหาดก็ลุกขึ้นและถามด้วยความประหลาดใจว่า “อะไรนะ? มาตามท่าเรือของเราเหรอ? หรือว่าจะเป็นคนรู้จัก? ถ้าอย่างนั้นให้เบิร์ดขับเฮลิคอปเตอร์ไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

หลังจากที่เบิร์ดขับเฮลิคอปเตอร์ไปตรวจสอบและส่งข่าวกลับมาว่าไม่ใช่คนรู้จักมาที่นี่ เรือลำนั้นมีชื่อว่าเบนสันซีฮอร์ส เป็นเรือบรรทุกสินค้าที่จดทะเบียนในนิวยอร์กประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะให้บริการเส้นทางจากนิวยอร์กไปยังกรีนแลนด์เป็นหลัก ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ ถึงเข้ามาเทียบท่าได้?

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เรือบรรทุกสินค้าก็เข้าใกล้ท่าเทียบเรือของฟาร์มปลาเรื่อยๆ เมื่อเห็นแบบนี้ฉินสือโอวจึงขึ้นเรือกำปั่นทะเลตะวันออก จากนั้นชาร์คก็ออกเดินเรือและไปทางเรือบรรทุกสินค้าอย่างรวดเร็ว

เหตุผลที่ทำแบบนี้ เขาแค่ต้องการยืนยันตัวตนและวัตถุประสงค์ของเรือลำนี้ให้แน่ใจ ทะเลจะแตกต่างจากพื้นดิน เพราะไม่สามารถให้เรือเทียบท่าได้ตามต้องการ ไม่อย่างนั้นถ้าเรือลำนี้มีปัญหา พอถึงเวลานั้นจะรั้งเอาไว้ไม่ได้

เรือยนต์ความเร็วสูงเข้าใกล้เรือบรรทุกสินค้า บูลจึงถือเครื่องขยายเสียงขึ้นมาแล้วตะโกนสุดเสียงว่า “เฮ้ พวกคุณเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

ชายวัยกลางคนในชุดทำงานสีน้ำเงินเดินออกมาจากห้องโดยสารขับเรือบรรทุกสินค้า เขายิ้มและพูดว่า “ขอโทษครับคุณ ผมเบนสันกัปตันเรือลำนี้ คืออย่างนี้นะ ถังเก็บน้ำมันบนเรือบรรทุกสินค้าของเรามีบางอย่างผิดปกติ คืนนี้เราจึงต้องการแวะพักที่ท่าเรือของพวกคุณ จากนั้นจะเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อน้ำมันดีเซล”

“แล้วเรือของพวกคุณขนส่งอะไรมา? กำลังจะไปที่ไหน?” บูลถามอย่างระมัดระวัง

เบนสันพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรือลำนี้ขนส่งสิ่งทอฝ้าย ถ้าคุณไม่เชื่อก็สามารถส่งคนมาตรวจสอบได้ เราออกเรือจากท่าเรือสปาร์คในรัฐนิวยอร์กและปลายทางคือท่าเรือชาลส์ในกรีนแลนด์ ข้อมูลนี้ได้รับการจดทะเบียนที่สำนักงานรับรองเอกสารศุลกากร ถ้าคุณไม่เชื่อผมก็สามารถกลับไปตรวจสอบได้”

เมื่อเขามาถึง ฉินสือโอวได้ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องของเรือลำนี้แล้วและก็เป็นจริงตามที่เบนสันพูด เรือลำนี้กำลังขนส่งสิ่งทอฝ้ายจากนิวยอร์กไปยังกรีนแลนด์

บูลยังต้องการถามอะไรบางอย่างอีก ฉินสือโอวจึงส่ายหัวและโบกมือส่งสัญญาณให้เรือลำนี้แล่นไปที่ท่าเรือ จากนั้นเขาก็หันกลับมาพูดกับชาร์คที่กำลังขับเรืออยู่ว่า “แจ้งแบล็คไนฟ์ที่อยู่บนฝั่งด้วยว่าให้พาพวกเราไป หลังจากที่เรือลำนี้เข้าเทียบท่าแล้วก็คุมตัวผู้ควบคุมเรือมาให้ฉันด้วย”

ชาร์คประหลาดใจและถามว่า “มีอะไรเหรอบอส ทำไมดูจริงจังขนาดนี้?”

“นายไม่คิดว่าเรือลำนี้จะมีปัญหาเหรอ?” ฉินสือโอวกล่าว

ชาร์คส่ายหัวและพูดว่า “ก็เป็นแค่เรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่งเท่านั้นเอง จะมีปัญหาอะไรครับ? ทุกปีเรือจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดาที่ไปกรีนแลนด์เพื่อทำธุรกิจสิ่งทอก็มีจำนวนมาก เมื่อตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่นก็เคยเดินเรือเส้นทางนี้”

ฉินสือโอวกลอกตาไปมาและพูดอย่างอดทนว่า “ในเมื่อเคยทำธุรกิจนี้มาแล้ว นายควรรู้ว่าจะไปที่ไหนถ้าถังเก็บน้ำมันของเรือมีปัญหา? ฟาร์มปลาของเราอยู่ใกล้กับท่าเรือเซนต์จอห์นมาก ทำไมพวกเขาไม่ไปแวะพักที่ท่าเรือเซนต์จอห์นล่ะ? พูดมาถึงตรงนี้แล้วยังจะบอกว่าไม่มีปัญหา นายเชื่อได้ไหม?”

“บางทีน้ำมันของพวกเขาอาจจะไม่เพียงพอที่จะขับรถไปที่ท่าเรือเซนต์จอห์นก็ได้?” บูลเดา

ชาร์คพูดขัดจังหวะเขาว่า “ช่างเถอะบูล บอสพูดถูก เรือลำนี้อาจจะมีบางอย่างผิดปกติก็ได้ เราอยู่ห่างจากเซนต์จอห์นแค่ไหน? ระยะทางใกล้ขนาดนั้นจะกินน้ำมันได้มากแค่ไหนกันเชียว? คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเทียบท่าเรือเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักของเราแทนที่จะไปที่เซนต์จอห์น ซึ่งมันก็ผิดปกติอยู่บ้างจริงๆ”

ไม่ว่าจะเป็นเรือประมงหรือเรือบรรทุกสินค้า ถ้ามีปัญหาจะต้องจอดพัก เว้นแต่จะหมดหนทางจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ต้องพยายามจอดเทียบท่าเรือส่วนตัวขนาดเล็ก ซึ่งนี่ก็ยังคงเป็นปัญหาที่ฉินสือโอวเคยกังวลมาก่อนหน้านี้ ท่าเรือแบบนี้ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น

ชาร์คใช้เครื่องรับส่งวิทยุแจ้งกับแบล็คไนฟ์ให้พาคนไปเตรียมการ พวกเขาตามหลังเรือเบนสันซีฮอร์สไป เหมือนกับการควบคุมนักโทษ ซึ่งจะคุมเรือลำนี้ไปที่ท่าเรือของฟาร์มปลา

ทันทีที่เรือจอดเทียบท่า แบล็คไนฟ์ก็พาทหารสี่คนกระโดดขึ้นไปบนดาดฟ้าเรืออย่างรวดเร็ว จากนั้นโบกมือให้คนในห้องโดยสารขับเรือออกมา

“นี่พวกคุณ เป็นอะไรหรือเปล่า? ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะไม่ต้อนรับนะ” เบนสันเดินออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดไปด้วย

แบล็คไนฟ์ถามด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “พวกคุณมีกี่คน? ช่วยออกมาตรวจสอบด้วย”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเบนสันก็หายไป เขาจึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “เฮ้คุณ พวกคุณไม่ใช่ตำรวจทางทะเลหรือศุลกากรนะ พวกคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะค้นเรือของเรา โอเคไหม? อันที่จริงเราแค่ต้องการเติมน้ำมันดีเซลและน้ำจืดในเมืองของพวกคุณเท่านั้น เราแค่แวะพักอีกครู่เดียวและจะจ่ายค่าจอดให้พวกคุณด้วย ดังนั้นเราควรเคารพซึ่งกันและกันไม่ใช่เหรอ?”

เรือยนต์ความเร็วสูงได้ขวางเรือบรรทุกสินค้าอยู่ข้างหลัง ฉินสือโอวจึงขึ้นไปบนเรือ เขายิ้มและพูดว่า “อย่าเข้าใจผิด กัปตันเบนสัน แน่นอนผมและลูกน้องของผมเคารพพวกคุณมาก แต่เราก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของเราด้วยไม่ใช่เหรอ?”

เบนสันมองเขาอย่างสับสนและถามว่า “พวกคุณมีหน้าที่อะไร? ทำอะไรในฟาร์มปลา?”

ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เราไม่เพียงแต่เป็นชาวประมงในฟาร์มปลาเท่านั้น แต่ยังเป็นทหารอาสาสมัครอีกด้วย เรนเจอร์น่ะ เคยได้ยินไหม?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของชายหนุ่มทั้งสองคนที่ตามเบนสันมาด้วยก็เปลี่ยนไปทันที หนึ่งในนั้นถามด้วยความประหลาดใจว่า “เรนเจอร์เหรอ? พระเจ้า ชาวอเมริกันส่งกองกำลังพิเศษมาเลยเหรอ?”

สีหน้าของฉินสือโอวก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แม่เจ้า ทหารอาสาสมัครของแคนาดาต้องเรียกว่าพวกอ่อนแอสิ ทุกครั้งที่พูดออกไปก็จะคิดว่าตัวเองเป็นทหารที่ทำงานหนักเพื่อจักรพรรดิแห่งอเมริกัน!

แต่ถ้าสังเกตจากปฏิกิริยาของชายหนุ่มทั้งสองคนแล้ว เรือลำนี้คงจะมีปัญหาจริงๆ เพราะการตอบสนองของพวกเขาผิดปกติไป

เห็นได้ชัดว่าเบนสันและชายหนุ่มอีกสองคนก็รู้เรื่องนี้ หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ พวกเขาก็กลับไปที่ห้องโดยสารขับเรือ

………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท