ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1208 ติดกับดักแล้ว

บทที่ 1208 ติดกับดักแล้ว

หลังจากทำความสะอาดแล้ว เฟอเรททั้งสองตัวก็ขาวสะอาด จึงทำให้เห็นสีขนที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้

ฉินสือโอวใช้ไดร์เป่าผมเป่าขนของเจ้าสองตัวน้อยให้แห้ง ทันใดนั้นเฟอเรทตัวน้อยไร้เดียงสาทั้งสองตัวก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา

หลังจากล้างสีย้อมออกจากขนแล้ว ขนที่หัวและหลังของเฟอเรทตัวน้อยทั้งสองตัวนี้เป็นสีเหลืองอ่อน ส่วนท้องมีสีคล้ายกันแต่จะอ่อนกว่าเล็กน้อยและขอบตาเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนกับหมีแพนด้ายักษ์

นอกจากนี้ ปากของพวกมันยังมีสีขาวราวกับหิมะ แขนขาทั้งสี่และส่วนตรงกลางหางเป็นสีดำ เหมือนกับว่ากำลังสวมรองเท้าบูตสีดำอยู่

ฉินสือโอวเป่าขนให้พวกมันจนแห้ง เจ้าตัวเล็กทั้งสองนอนอยู่บนฝ่ามือของเขาอย่างเชื่อฟัง ดวงตากลมโตกลอกตาไปมา เผยให้เห็นความฉลาดและเสียง ‘ยะ’ ที่ไม่ชัดเจนในลำคอก็ดังขึ้น ราวกับเด็กงอแงที่กำลังใช้หัวสีกับนิ้วหัวแม่มือของเขา

เมื่อเห็นสภาพที่แท้จริงของเจ้าตัวเล็กทั้งสองตัวนี้ แบล็คไนฟ์ก็ร้องอุทานว่า “พระเจ้า มันคือเฟอเรทแบลคฟุตจริงๆ ด้วย! เจ้าพวกนี้เป็นของหายากแล้วพวกเขาไปเอามาจากไหนกันนะ? จริงๆ แล้วพวกมันอาจจะเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ดังนั้นคู่นี้คงจะมีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งล้านดอลลาร์!”

ฉินสือโอวค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนี้ ปรากฏว่าเดิมทีเฟอเรทที่เลี้ยงกันในครอบครัวในยุคปัจจุบันที่ได้รับความนิยมมากในอเมริกาเหนือ จริงๆ แล้วเฟอเรทแบลคฟุตเป็นเฟอเรทชนิดเดียวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปผืนนี้อย่างแท้จริง

เมื่อเทียบกับสปีชี่ส์เดียวกันของพวกมันแล้ว เฟอเรทแบลคฟุตจะมีขนเรียบกว่า มีความรู้สึกไวกว่า รูปลักษณ์ภายนอกน่ารักกว่าและความสามารถในการล่าสัตว์ที่รวดเร็วกว่าด้วย

แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กลับไม่ใช่เพราะขนหรือรูปลักษณ์ภายนอกของพวกมัน แต่กลับเป็นอาหาร

ในยุคที่เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด มีเฟอเรทแบลคฟุตจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วตอนใต้ของแคนาดาและตามเทือกเขาร็อกกีตรงไปทางตะวันออกไปยังพื้นที่กว้างของโอคลาโฮมา แคนซัสและเนแบรสกาในสหรัฐอเมริกา ทุกที่ล้วนสามารถพบเห็นร่องรอยของพวกมัน

พื้นที่บริเวณนั้นยังเป็นเขตทุ่งหญ้าที่มีชื่อเสียงของทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งมีหนูและแพรี่ด็อกจำนวนมากและสัตว์ตัวเล็กๆ ทั้งสองชนิดนี้ก็บังเอิญเป็นที่โปรดปรานของเฟอเรทแบลคฟุต

แต่สัตว์ทั้งสองชนิดนี้ก็บังเอิญเป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่าเจ้าของฟาร์ม โดยเฉพาะแพรี่ด็อก พวกมันชอบแทะรากของทุ่งหญ้าและอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่ม ซึ่งในกลุ่มหนึ่งมักจะมีแพรี่ด็อกหลายพันตัวและพวกมันสามารถทำลายทุ่งหญ้าได้หลายสิบเฮกตาร์

ในศตวรรษที่ผ่านมา เพื่อที่จะกำจัดสัตว์ฟันแทะที่ทำลายทุ่งหญ้าชนิดนี้ เจ้าของฟาร์มจึงใส่เหยื่อผสมยาพิษจำนวนมากเพื่อกำจัดแพรี่ด็อก

วิธีนี้ได้ประโยชน์มาก แพรี่ด็อกประสบกับภัยพิบัติร้ายแรง ในขณะเดียวกันเฟอเรทแบลคฟุตที่กินพวกมันเป็นแหล่งอาหารหลัก ก็ต้องประสบภัยพิบัตินี้เช่นกัน จำนวนของพวกมันลดลงอย่างรวดเร็ว จนถึงช่วงปี 1970 ทุ่งหญ้าแคนาดาจึงประกาศการทำลายเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่น่ารักชนิดนี้

โชคดีที่เผ่าพันธุ์เฟอเรทแบลคฟุตยังอยู่รอดต่อไปได้ ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 นักชีววิทยาชาวอเมริกันบังเอิญค้นพบเผ่าพันธุ์ขนาดเล็กของเฟอเรทแบลคฟุตประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบตัวที่รัฐไวโอมิง

แต่เดิมสำหรับเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ หนึ่งร้อยยี่สิบตัวนั้นนับว่าไม่น้อยเกินไป เพียงแค่ได้รับการป้องกันที่ดี แค่ไม่กี่ปี มันก็สามารถแพร่พันธุ์ได้ถึงหลายพันตัว จากนั้นก็เป็นหมื่นตัว จากนั้นอีกก็จะสามารถหลุดออกจากสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ได้

โชคไม่ดีที่ในปี 1985 เผ่าพันธุ์เฟอเรทแบลคฟุตเกิดการระบาดของโรคติดต่อกันถึงสองครั้งและสุดท้ายพวกมันก็มีชีวิตรอดเหลือเพียงแค่สิบแปดตัว นักชีววิทยาควรลงมือตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นทั้งสิบแปดตัวนี้ก็จะไม่รอดเช่นกันและสุดท้ายมาตรการป้องกันของมนุษย์ก็จะไร้ประโยชน์

จากนั้นพวกเขาจึงเอาเฟอเรททั้งสิบแปดตัวนี้มาเป็นแม่พันธุ์และเพิ่มเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างทารกในหลอดทดลองและไข่ที่ผ่านการแช่แข็ง ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันก็ได้ช่วยชีวิตสัตว์ชนิดนี้ไว้ได้ แต่เนื่องจากมันไม่ได้อาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้า ความสามารถในการมีชีวิตรอดและการสืบพันธุ์ของเฟอเรทเหล่านี้แย่มาก จนปัจจุบันนี้จำนวนของพวกมันก็มีแค่ประมาณห้าร้อยตัวเท่านั้น

ไม่รู้ว่าเบนสันและคนพวกนี้เอาเฟอเรทแบลคฟุตตัวน้อยมาจากที่ไหน ราคาที่เพิ่งเสนอของแบล็คไนฟ์จริงๆ แล้วก็ค่อนข้างหัวโบราณเล็กน้อย สัตว์ตัวน้อยชนิดนี้ควรมีราคาต่อหนึ่งตัวมากกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์ด้วยซ้ำ

ซึ่งเฟอเรทแบลคฟุตเป็นสัตว์ที่หายากกว่าแพนด้ายักษ์ ตอนนี้ประเทศจีนสามารถส่งแพนด้ายักษ์ไปเป็นนักการทูตในประเทศอื่นๆ ได้แล้ว แต่ชาวอเมริกันไม่เต็มใจที่จะใช้เฟอเรทแบลคฟุตเป็นสัญลักษณ์ทางการทูต

ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้แพนด้ายักษ์ในตลาดมืดมีราคาเท่าไร? เพราะเฟอเรทแบลคฟุตมีแต่จะแพงขึ้น!

รูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ชนิดนี้ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าแพนด้ายักษ์เท่าไร โดยเฉพาะตอนนี้เจ้าตัวนุ่มๆ ขนาดเล็ก ตัวอวบอ้วนที่เต็มไปด้วยขนที่หนานุ่ม ฉินสือโอวที่เพิ่งเข้ามาได้เพียงครู่หนึ่งก็โดนรูปลักษณ์ภายนอกของพวกมันพิชิตใจได้ซะแล้ว

มันน่ารักมากจริงๆ!

น่าเสียดายที่เจ้าตัวเล็กทั้งสองตัวนี้เป็นอาวุธนิวเคลียร์สองลูกที่สามารถวิ่งได้ ชาวอเมริกันจึงจัดทำข้อมูลของเฟอเรทแบลคฟุตแต่ละตัวที่เพิ่งเกิดรวมทั้งบันทึกสีขน ยีนและลักษณะทางกายภาพของพวกมัน ซึ่งมันจะไม่สูญหายไปได้แม้แต่ตัวเดียวแน่นอน

คาดว่าตอนนี้ชาวอเมริกันคงรู้แล้วว่าพวกเขาได้เสียเฟอเรทแบลคฟุตไปแล้วสองตัว ไม่แปลกใจเลยที่ตอนที่พวกเขาเรียกตัวเองว่าเรนเจอร์เบนสันและคนอื่นๆ ก็กลัวขึ้นมาทันที เพื่อที่จะค้นหาเฟอเรทแบลคฟุตคู่หนึ่งชาวอเมริกันอาจจะส่งกองกำลังทหารเรนเจอร์ออกไปก็ได้!

ถ้าฉินสือโอวแอบเก็บเฟอเรทแบลคฟุตตัวน้อยไว้อย่างเงียบๆ และรอให้ชาวอเมริกันมาจับเบนสันและคนอื่นๆ ไปและจัดการสถานการณ์ให้เรียบร้อย เดาว่าคงจะส่งเขาไปที่ศาลโดยตรง พอถึงตอนนั้นสถานะทหารอาสาสมัครของเขาก็จะไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้

ในสหรัฐอเมริกา เฟอเรทแบลคฟุตเป็นสัตว์คุ้มครองที่ไม่ได้รับการอนุญาตให้ขนส่ง ซื้อขายและการเพาะพันธุ์ส่วนตัว ดังนั้นระดับการป้องกันจึงมีมากกว่านกอินทรีหัวขาว เนื่องจากพวกมันมีจำนวนน้อยเกินไป

ฉินสือโอวรักและทะนุถนอมเฟอเรทแบลคฟุตตัวน้อยทั้งสองมาก เมื่อกี้ตอนที่ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมพวกมัน เขาได้ป้อนพลังโพไซดอนส่วนหนึ่งเข้าไปอย่างราบรื่นและตอนนี้เจ้าตัวเล็กทั้งสองตัวก็เต็มไปด้วยความผูกพันกับเขา พวกมันจึงนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างไร้เดียงสา

ฉินสือโอวพาเฟอเรทขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ เขามองไปที่เบนสันและลูกน้อง จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า “เมื่อกี้ผมพูดอะไรนะ? พวกคุณอวดดีต่อสิ หึหึ? ทำไมไม่อวดดีแล้วล่ะ?”

เห็นได้ชัดว่าชาวประมงก็รู้จักเฟอเรทแบลคฟุตเช่นกัน พวกเขารวมตัวกันและล้อมรอบมองดูด้วยความประหลาดใจสักพัก จากนั้นก็ถึงคราวที่พวกเขาจะอวดดีบ้าง

“ให้ตายเถอะ ฉันเรียนมาน้อยเลยไม่เข้าใจกฎหมาย ใครบอกฉันได้บ้างว่าโทษทางกฎหมายในการลักลอบค้าเฟอเรทแบลคคืออะไร?”

“ฮ่าฮ่า ถ้าคุณถูกชาวอเมริกันจับได้ ระดับยิงเป้าก็สามารถทำได้เป็นการส่วนตัวนะ”

“เยี่ยมไปเลย ให้ตายเถอะ พวกคุณเอาเฟอเรทแบลคมาได้อย่างไร? ผมคิดว่าการขโมยสิ่งนี้จากชาวอเมริกันนั้นยากกว่าการขโมยทองคำจากซิตี้แบงก์อีกใช่ไหม?”

เมื่อเห็นเฟอเรทตัวน้อย สีหน้าของเบนสันและคนอื่นๆ ก็หน้าซีดทันที ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงพูดปากสั่นว่า “กัปตัน พวกเขาเจอแล้ว! ทำอย่างไรดี? พวกเขาเจอเฟอเรทแบลคแล้ว! เราจบเห่แน่ เราจะถูกฆ่าตายไหม?”

เบนสันไม่สนใจเพื่อนร่วมทางที่กำลังหวาดกลัวอยู่ข้างๆ และตะโกนใส่ฉินสือโอวด้วยสีหน้าที่ดูกังวลของเขาว่า “ใครให้คุณอาบน้ำให้มัน? คุณใช้น้ำเปล่าล้างสีย้อมใช่ไหม?”

ฉินสือโอวพูดอย่างงงงวยว่า “ใช้น้ำอาบให้มันแล้วจะเป็นอย่างไร?”

เบนสันลุกขึ้นยืนต่อหน้าเขาและอุทานด้วยความโกรธว่า “คุณไม่รู้เหรอว่าสีย้อมที่อยู่บนตัวพวกมันคืออะไร? พระเจ้า! พระเจ้า! เจ้าตัวเล็กทั้งสองจบเห่แล้ว…เร็วเข้า ไปเอาพวกมันมา! รีบไปเอามา ไม่อย่างนั้นจะสายเกินไป!”

ฉินสือโอวไม่เข้าใจว่าเบนสันหมายถึงอะไร แต่เขารู้สึกว่าตัวเองทำผิดพลาดโดยไม่รู้ตัว เขาจึงไปเอาเฟอเรทแบลคมาให้เขา

แต่เมื่อเบนสันได้ตัวเฟอเรทตัวน้อยแล้วกลับหันหลังวิ่งหนีไป เขาวิ่งอย่างรวดเร็วเข้าไปในเรือแล้วโยนเฟอเรทตัวน้อยลงทะเล

…………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท