ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1209 วิ่งหนีไป วิ่งหนีไป

บทที่ 1209 วิ่งหนีไป วิ่งหนีไป

เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนช็อก!

ฉินสือโอวสบถ บ้าเอ๊ย นายเกิดมาฉลาดแบบนี้ได้อย่างไร? ไม่เพียงแค่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังจู่โจมได้อีกด้วย สีหน้าที่ตกใจของเบนสันเมื่อครู่นี้หลอกเขาได้จริงๆ จนทำให้เขาคิดว่าตัวเองทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีลงไป

ไม่อย่างนั้น เขาจะเอาเฟอเรทตัวน้อยให้เบนสันอย่างโง่เขลาได้อย่างไร? ในขณะเดียวกันเขาก็ประเมินความชั่วร้ายของคนคนนี้ต่ำเกินไป!

คิดไม่ถึงว่าเพื่อที่จะลดโทษทางกฎหมาย ผู้ชายคนนี้จะโยนเฟอเรทตัวน้อยลงไปในน้ำให้จมน้ำตาย?! ฉินสือโอวนึกถึงข่าวหนึ่งก่อนหน้านี้ ที่มีคนขโมยทารกและพ่อแม่ของเขาก็โทรแจ้งตำรวจ เพื่อหลบหนีและตามหาเบาะแสของคนคนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะบีบคอทารกและฝังน้ำแข็งในอากาศที่หนาวเย็นจัด!

แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ ก็รู้สึกโมโหกับการกระทำของเบนสัน จากนั้นปืนพกของเขาก็มีเสียง ‘แครก’ ดังขึ้นและเขาก็ร้องตะโกนว่า “ไอ้บ้านี่ แกต้องตายแน่! แกตายแน่!”

สีหน้าของเบนสันซีดขึ้นมาทันที เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างรวดเร็วและตะโกนว่า “ไม่ๆๆ! อย่ายิง! ฉันไม่ได้ต้องการฆ่าพวกมัน! พวกมันว่ายน้ำเก่ง ไม่มีทางจมน้ำทะเลตายหรอก! และอีกอย่างตรงนี้ก็อยู่ใกล้กับชายฝั่งมาก พวกมันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว!”

ฉินสือโอวโบกมือห้ามแบล็คไนฟ์และตะโกนว่า “อย่ายิง สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือจะจับเฟอเรทคู่นี้ได้อย่างไร แอร์แบ็คนายคอยดูพวกบ้านี่ไว้ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือตามฉันมา!”

การจับเฟอเรทตัวน้อยนั้นจริงๆ แล้วง่ายมาก เบนสันโยนพวกมันลงไปในน้ำและจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ได้ตามมันไป เพียงแค่ฉินสือโอวยินยอม พวกมันก็สามารถอยู่ในทะเลอย่างคงที่ได้ตลอดเวลา

แต่ทำไมเขาถึงต้องการให้อยู่อย่างคงที่ด้วยล่ะ? ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าเจ้าตัวเล็กน่ารัก ต้องดีมากแน่ๆ ถ้าเก็บพวกมันไว้ให้ลูกสาว เหตุผลหลักคือตอนนั้นเขากังวลว่าจะเก็บพวกมันไม่ได้และชาวอเมริกันต้องมาคุกคามเขาแน่นอน

ตอนนี้สถานการณ์เริ่มเข้าที่แล้ว เบนสันโยนเฟอเรทตัวน้อยทั้งคู่ลงทะเลท่ามกลางคนจำนวนมาก แล้วทำไมฉินสือโอวจึงไม่ปกป้องพวกมัน จากนั้นยังจะแอบพาพวกมันกลับไปอีก?

ด้วยความคิดนี้ ฉินสือโอวจึงใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสร้างคลื่นให้ขนานกับชายฝั่งและดันเฟอเรทตัวน้อยให้ลอยกลิ้งไปในระยะทางไกลอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวเล็กทั้งสองตกใจกลัวอยู่ในน้ำนี่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกมันลงน้ำ แต่กระแสน้ำทำไมถึงเร็วขนาดนี้ล่ะ?

แม่เจ้า ช่วยด้วย!

ตัวของเฟอเรทแบลคฟุตมีสีเหลืองอ่อนผสมกับสีดำและสีน้ำตาล หลังจากลงน้ำแล้วจึงทำให้สังเกตได้ยาก นอกจากนี้ยังมีหัวขนาดเล็กและหลังจากที่เปียกน้ำขนก็ยังติดไปกับตัว จึงยิ่งทำให้มีขนาดเล็กเหมือนกับหนูน้ำ หลังจากคลื่นสองสามลูกซัดมาก็หาพวกมันไม่เจอแล้ว

ทหารและชาวประมงมองหาพวกเขาอย่างกระตือรือร้นเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่เจอแม้แต่ร่องรอยของพวกมัน พวกเขาจึงกังวลมากและถามฉินสือโอวว่า “บอส เราจะทำอย่างไรดี?”

ฉินสือโอวจะรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องทำอย่างไร? เพราะตอนนี้เขาก็สับสนอยู่เหมือนกัน คลื่นที่ซัดเมื่อสักครู่นี้ได้พัดพาเจ้าตัวเล็กทั้งสองไปไกลจากท่าเรือ จากนั้นจึงไปดูบนชายหาด พวกมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มันจะฉลาดเกินไปแล้วนะ!

พื้นดินไม่ใช่อาณาเขตของโพไซดอน ตอนนี้ฉินสือโอวจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

เมื่อมองหากันไปรอบหนึ่งแล้วก็ยังไม่เจอเฟอเรทแบลคฟุต แบล็คไนฟ์จึงดึงคอเสื้อของเบนสันขึ้นด้วยความโกรธพร้อมกับกัดฟันแล้วพูดว่า “บ้าเอ๊ย แกตายแน่! แกพยายามฆ่าสัตว์ที่กฎหมายคุ้มครอง แกตายแน่!”

เบนสันตกใจกลัวแบล็คไนฟ์จนขาสั่น แต่เขามีปฏิกิริยาตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและตะโกนว่า “ใครฆ่าสัตว์ที่กฎหมายคุ้มครองกัน? ฉันไม่ได้ทำแบบนี้สักหน่อย ใครทำกัน? ที่นี่มีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ที่ไหนกัน?”

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลตัวสั่นพร้อมกับตอบสนองกลับและร้องตะโกนข่มว่า “เราไม่มีกฎหมายลักลอบเพื่อคุ้มครองสัตว์! เราเป็นลูกเรือที่ซื่อสัตย์ พวกเราพกปืนมาอย่างมากก็แค่สองสามกระบอกเท่านั้น แต่ที่พกก็เพื่อป้องกันตัวเอง…”

คนอื่นๆ ก็ต่างพากันตะโกนขึ้นและพยายามแยกตัวออก

ใบหน้าตื่นตระหนกของเบนสันก็แอบดีใจในใจ โชคดีที่ตัวเองฉลาดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ต้องถูกหน่วยรบพิเศษของอเมริกายิงเป้า

เดิมทีเขาวางแผนที่จะโยนเฟอเรทคู่นี้ลงไปในน้ำแล้วให้พวกมันปีนขึ้นไปซ่อนบนฝั่ง แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่อย่างที่คิด ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ขอแค่พวกเขาแสร้งบอกว่าไม่ได้ลักลอบค้าเฟอเรทแบลคฟุตและอีกอย่างก็ไม่มีหลักฐาน ดังนั้นจะไม่สามารถฟ้องร้องได้อย่างแน่นอน

แต่เมื่อนึกถึงเจ้าของที่อยู่เบื้องหลัง เหงื่อของเขาก็ไหลออกมาอีกครั้ง นั่นคือเฟอเรทแบลคฟุตหนึ่งคู่ที่มีมูลค่าถึงสองล้านดอลลาร์ ว่ากันว่าเศรษฐีคนหนึ่งในตะวันออกกลางมีคอนเนคชั่นที่หลากหลาย ถ้ากลับไปแล้วสุดท้ายตัวเองถูกโยนลงทะเลจนไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูกจะทำอย่างไร?

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็หมดหวังอีกครั้งและร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดในขณะที่กอดขาแบล็คไนฟ์อยู่

เรือสปีดโบ๊ทสีขาวของตำรวจทางทะเลขับเข้ามา แบล็คไนฟ์จึงมองไปที่ฉินสือโอวด้วยความลำบากใจและถามว่า “ทำอย่างไรดี เรื่องเฟอเรทแบลคฟุตเราจะพูดออกไปดีไหม?”

ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วเตะเบนสันอย่างรุนแรงและพูดว่า “แม่เจ้า ไอ้พวกบ้านี่โชคดีชะมัด ไม่ต้องพูดแล้ว ว่าแล้วเราก็ต้องรับผิดร่วมกัน ถ้าชาวอเมริกันตั้งข้อกล้าวหาว่าเราไม่พยายามปกป้องก็จะลำบาก”

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลถอนหายใจด้วยความโล่งอกและทำท่าทางขอบคุณพระเจ้าที่คุ้มครองบนหน้าอก

ฉินสือโอวมองดูด้วยความโกรธและขึ้นไปชกเขาอีกครั้ง

เมื่อครู่นี้เบนสันใจดำอำมหิตมากจริงๆ อย่างที่เขาว่าเฟอเรทแบลคฟุตว่ายน้ำได้และมันจะไม่จมน้ำตายในทะเลแน่นอน ใช่ เฟอเรทแบลคฟุตว่ายน้ำได้เป็นอย่างดี แต่เฟอเรทสองตัวนั้นยังคงเป็นลูกเฟอเรทตัวน้อย ความสามารถในการว่ายน้ำของพวกมันยังอ่อนแอมาก

นอกจากนี้ ยังมีปลาและกุ้งจำนวนมากในฟาร์มปลา เฟอเรทแบลคฟุตตัวน้อยขนาดเท่าฝ่ามือสองตัวว่ายน้ำอยู่น่านน้ำ จะต้องถูกปลาค็อดและปลาอีโต้มอญคอยจ้องมองแน่นอน นั่นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก!

ตอนนี้ยิ่งอันตรายมากยิ่งขึ้น ถ้าหลังจากเจ้าตัวเล็กทั้งสองขึ้นฝั่งก็ไม่รู้ว่าจะวิ่งไปที่ไหน ฉินสือโอวจึงรู้สึกจนปัญญา

ตำรวจทางทะเลขึ้นไปบนเรือและถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฉินสือโอวจึงอธิบายสิ่งที่เกิดอย่างเซื่องซึม แน่นอนว่าเกี่ยวกับเรื่องที่เฟอเรทแบลคฟุตถูกจับไป

ตำรวจทางทะเลคนนั้นจึงเกาหัวและพูดว่า “เพียงเพราะพวกเขาต้องการจอดเทียบท่าของคุณ คุณจึงคิดว่าพวกเขามีปัญหาใช่ไหม?”

ฉินสือโอวพูดด้วยความโมโหว่า “นี่คุณ คุณจัดการได้ดีนะ แต่ทะเลผืนนี้เป็นอาณาเขตของผม! ผมมีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบสภาพของเรือที่เข้ามาในบริเวณของผม! นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นฐานอนุรักษ์เต่ามะเฟืองอีกด้วย ใครจะรู้ว่าเรือลำนี้ไม่ได้เข้ามาลักลอบจับเต่ามะเฟืองกันล่ะ?”

ตำรวจทางทะเลลูบจมูกไปมาและพึมพำว่า “อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อยเลย? มีคนจำนวนมากมาขโมยเต่ามะเฟืองงั้นเหรอ?”

ฉินสือโอวหัวเราะเยาะและชี้ไปที่คนพวกนั้นแล้วพูดว่า “คุณดูพวกเขาสิ ผมรู้สึกว่าพวกเขามีเจตนาที่ไม่ดี ถ้าพวกเขาไม่ได้ต้องการทำเรื่องผิดกฎหมาย แล้วพวกเขาจะพกอาวุธเหล่านี้มาทำไม?”

ตำรวจทางทะเลยักไหล่ใส่และเริ่มจัดการตามระเบียบ

แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ ถือปืนไรเฟิลเอนฟิลด์และจ้องไปที่เบนสันและคนอื่นที่อยู่ข้างๆ อย่างดุร้าย ถ้าพวกเขายังพูดเรื่องไร้สาระอยู่จะจัดการอย่างไม่เหลือความปรานีแม้แต่น้อย

หลังจากตำรวจทางทะเลตรวจสอบปืน คันธนูและลูกศรแล้ว พวกเขาจึงจับกุมเบนสันและคนอื่นๆ ไป และการนำอาวุธลักลอบเข้ามาในประเทศอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

สุดท้ายเบนสันก็ยังต้องการที่จะตอบโต้กลับ จึงชี้ไปที่แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ แล้วร้องตะโกนว่า “พวกเขามีปืนพกซ่อนอยู่ พวกคุณต้องตรวจสอบพวกเขาด้วย…โอ้ ให้ตายเถอะ หยุดตีผมได้แล้ว! ช่วยด้วย พวกคุณไม่ยุติธรรม…”

ทันทีที่เขาพูดจบ ทหารก็รุมซ้อมเขา

ตำรวจทางทะเลเมินพวกเขา มีบางคนที่ยังถือว่าใจดีพอที่จะอธิบายให้กับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลและคนอื่นๆ ให้เข้าใจว่า “ทางที่ดีพวกคุณควรจะทำตัวให้ดี คนพวกนี้อยู่เหนือการควบคุมของเรา พวกเขาเป็นคนของระบบกองทัพ ดังนั้นถ้าพวกคุณยั่วยุพวกเขา การถูกทำร้ายหรือทุบตีนั้นก็จะเอาเรื่องอะไรไม่ได้”

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลและคนอื่นๆ พยักหน้าอย่างแรง ในขณะที่เบนสันถูกทุบตีอย่างหนัก

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท