ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1217 สงครามในสวน

บทที่ 1217 สงครามในสวน

เมื่อมองจากเรดาร์ของเครื่องตรวจหาปลา เรือขโมยปลาสองลำกำลังเร่งเครื่องเพื่อที่จะหนีทันที เมื่อดูทิศทางการเดินเรือ พวกเขาต้องการที่จะออกไปจากบริเวณของฟาร์มปลา

“แม่ง มาขโมยแล้วคิดหนีงั้นเหรอ? แม่งเอ๊ย!” บีบีซวงโพล่งขึ้นมา “ฉันจะขับเครื่องบินไปดู มีใครอยากไปด้วยบ้าง?”

ฉินสือโอวห้ามเขาไว้ก่อน พลางพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าบ้า จะออกไปขับเครื่องบินทั้งที่อากาศแบบนี้เนี่ยนะ นายรนหาที่ตายหรืออย่างไร? ไปดูก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะอะไรเรือพวกนั้นถึงได้หนีไป?”

แบล็คไนฟ์หันกลับมามอง แล้วพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า “พวกเราทุกคนอยู่ที่นี่ คนที่สามารถขับเรือดำน้ำได้อย่างบีบีซวงกับออสเปรก็อยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่าเรือผีไม่มีการเคลื่อนไหว แล้วแบบนั้นพวกเขาจะหนีไปทำไมนะ?”

“หรือว่าเกิดรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมา?” บูลถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ

“ไอ้โง่ ไป ฉันไม่อยากคุยกับคนโง่!”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา พลางพูดว่า “ไม่ว่าจะเพราะอะไร แต่เรือขโมยปลานั่นก็หนีไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เอาล่ะ พวกเราไม่ต้องสนใจแล้วว่าจะทำอย่างไรกันดี ตอนนี้อย่างไรเสียทุกคนก็ไม่สามารถออกทะเลเพราะหมอกหนานี่ งั้นก็พักผ่อนกันสักหน่อยเถอะ”

เขาเดินออกจากห้องเรดาร์ไปแล้วขับรถเอทีวีกลับไปบ้าน ตอนนั้นหู่จือและเป้าจือที่นอนอยู่ข้างๆ รถก็เงยหน้าขึ้นมามองไปยังที่ไกลๆ ด้วยสายตาระแวดระวัง แต่เพราะว่าหมอกลงค่อนข้างหนา พวกมันทั้งสองจึงต้องใช้จมูกในการดมกลิ่นด้วย ในที่สุดพวกมันก็ไม่เห็นอะไร จึงทำได้เพียงลงจากรถไปด้วยความสงสัย

ฉินสือโอวถามออกมาว่า “มีคนมาเหรอ?”

เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งหู่จือกับเป้าจือก็ยังคงไม่มีท่าทีอะไร แบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าที่ฟาร์มปลาไม่ได้มีคนแปลกหน้าเข้ามา ดังนั้นเขาจึงยักไหล่แล้วเดินออกไป

หลังจากที่เขาแยกตัวออกมาจากหู่จือและเป้าจือ ใต้ต้นเมเปิลขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ร่างเล็กขนสีเทาทองทั้งสองร่างก็ค่อยๆ โผล่หัวออกมาด้วยท่าทีฉลาด พวกมันค่อยๆ มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็สะบัดหางแล้ววิ่งหนีไป

เพราะว่าหมอกลงหนา ครอบครัวกระรอกดินครอบครัวหนึ่งกำลังนอนอยู่บนสนามหญ้าพลางสะบัดร่างกายไปมา ด้วยเหตุนี้ทำให้หมอกที่ตกลงมาโดนขนของมันอย่างต่อเนื่องกลายเป็นหยดน้ำ และน้ำพวกนั้นก็โดนสะบัดออกตลอดเวลาทำให้ดูเหมือนกำลังอาบน้ำ เพื่อเอาฝุ่นและสิ่งสกปรกที่อยู่บนขนออก

พวกมันสะบัดตัวไปมาอย่างสบายใจ เพลิดเพลินไปกับการอาบน้ำหมอก จนลืมวันเวลาไปหมด ทำให้พวกมันถูกนักล่าตัวเล็กทั้งสองจับตามองอยู่

นักล่าตัวเล็กทั้งสองตัวนั้น เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฟอเรทแบลคฟุตที่หนีออกมาจากเรือบรรทุกสินค้าเมื่อสองวันก่อน

เฟอเรทเป็นสัตว์มีประสาทสัมผัสไว หลังจากที่พวกมันถูกคลื่นซัดเข้ามาที่ชายหาดวันนั้น มันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นฉี่และอุจจาระของเหล่ากระรอกดินที่หลงเหลืออยู่ได้ทันที

กลิ่นพวกนี้ทำให้พวกลูกๆ ของพวกมันกลัว สำหรับพวกมันแล้ว กลิ่นพวกนี้แรงเกินไป โดยที่ไม่ต้องบอกพวกมันเลย พื้นที่นี้เป็นที่ของเหล่าเทพยอดนักล่า สำหรับสัตว์ที่อ่อนแอปวกเปียกอย่างพวกมันแล้ว รออยู่เฉยๆ ให้อาหารมาเสิร์ฟถึงที่จะดีกว่า

เพราะเหตุนี้ หลังจากที่เฟอเรทแบลคฟุตขึ้นฝั่งมันก็หาพุ่มหญ้าเพื่อที่จะซ่อนตัวทันที พวกมันซ่อนตัวอยู่ในนั้นสองวัน จนวันนี้ที่หิวจนทนไม่ไหว บวกกับสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกซึ่งเหมาะแก่การซ่อนตัวแล้ว พวกมันจึงออกมาหาอาหาร

เฟอเรทแบลคฟุตเป็นสัตว์กินเนื้อ บรรพบุรุษดั้งเดิมของพวกมันกินเนื้อสัตว์สดๆ เป็นอาหาร พวกมันมักจะกินสัตว์เข้าไปทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ อวัยวะภายใน กระดูก ผิวหนัง รวมถึงขนด้วย

อันที่จริงแล้วพวกมันเป็นสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน ตอนกลางวันพวกมันจะชอบนอนหลับอยู่ในรัง พอตกกลางคืนก็ตื่นขึ้นมาหาอาหาร

แต่ว่าพวกมันคงจะหิวจริงๆ เดิมทีเฟอเรทเป็นสัตว์ที่มีระบบย่อยอาหารสั้น ร่างกายของมันเผาผลาญได้อย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นที่จะต้องทานอาหารเสริมตลอดเวลา แต่ตั้งแต่พวกมันมาเหยียบที่เกาะนี้ พวกมันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่นิดเดียว!

ถ้าหากไม่เป็นเพราะฉินสือโอวใช้พลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนปรับสภาพร่างกายให้พวกมัน เจ้าเฟอเรทผู้น่าสงสารทั้งสองตัวนี้คงจะหิวจนเป็นลมไปแล้ว

เหยื่อชนิดแรกของเฟอเรทคือหนูชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพอสซัม แพรรี่ด๊อก กระรอกดิน มันก็สามารถกินได้หมด ดังนั้นมันจึงใช้จมูกดมกลิ่น ไม่นานพวกมันทั้งสองตัวก็เจอเข้ากับกลิ่นของครอบครัวกระรอกตัวน้อยอย่างรวดเร็ว เมื่อตามกลิ่นไปก็เจอเข้ากับพวกมัน

ในขณะที่พวกมันเตรียมพร้อมจะโจมตี จู่ๆ ก็พบว่าครอบครัวนี้มีสมาชิกที่มีขนาดตัวที่ใหญ่มาก

สองพี่น้องมองหน้ากัน นายมองมาที่ฉัน ฉันมองไปที่นาย ตัวน้องถามตัวพี่อย่างนุ่มนวลว่า ‘ดูเหมือนว่าพวกเราจะตัวเล็กไปเลย นอกจากนี้ยังมีเจ้าตัวใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งอยู่อีก จะจัดการอย่างไร?’

คนเป็นพี่พยายามให้กำลังใจอย่างหนัก มันปลอบน้องสาวว่า ‘กลัวเหรอ? นักรบที่อ่อนแอ ยังไงก็ยังคือนักรบ ไม่ว่าแมลงวันจะอ่อนแอแค่ไหน แต่มันก็ยังบินได้ กระรอกดินน้อยเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของพวกเราตามธรรมชาติอยู่แล้ว พวกเราเกิดมาเพื่อเป็นนักล่า ไม่ต้องพูดมาก แค่คำเดียว จัดการซะ!’

ถ้าหากว่าเลือกได้ พวกมันก็คงไม่ทำ แต่พวกมันหิวจะตายอยู่แล้ว อาหารอันโอชะอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าเหยื่อจะมีขนาดเท่าไหร่ แต่การที่มันตัวโตก็ดี เพราะว่าจะได้กินได้อีกหลายมื้อ!

ด้วยทัศนคติการมองโลกในแง่ดี เฟอเรทแบลคฟุตสองตัวก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหญ้า พวกมันไม่ต้องการครูสอนแต่พวกมันเรียนรู้ทักษะการต่อสู้มาจากบรรพบุรุษของตัวเอง พวกมันเคลื่อนตัวไปยังที่ที่เหล่ากระรอกดินซ่อนตัวอยู่อย่างระมัดระวัง

หลังจากเข้าใกล้แล้ว เฟอเรทแบลคฟุตก็กระโดดออกมาทันที ดวงตาของพวกมันจ้องมองไปยังกระรอกดิน พร้อมแยกเขี้ยวยิงฟันหมายจะกัดกระรอกดิน

ครอบครัวกระรอกดินที่กำลังเพลิดเพลินกับการอาบน้ำหมอก จู่ๆ ก็ถูกอะไรบางอย่างสองตัวกระโจนเข้ามาใส่ตัวเอง หากบอกว่าไม่กลัวก็คงจะเป็นการโกหก

อีกอย่าง คางคกที่กระโดดใส่เท้าของคน แม้ว่ามันจะไม่กัดแต่มันก็น่ารังเกียจอยู่ดี!

เฟอเรทแบลคฟุตเป็นนักล่าระดับปรมาจารย์ พวกมันเคลื่อนไหวรวดเร็ว อุ้งมือหนัก ท่าทางว่องไว ทักษะในการต่อสู้ยอดเยี่ยม หนูธรรมดาจึงตกเป็นเป้าหมายของพวกมัน และทุกครั้งที่พวกมันล่าเหยื่อ พวกมันยังสามารถจับเหยื่อได้มากถึงเก้าในสิบ

แต่ว่าครอบครัวกระรอกดินเป็นข้อยกเว้น ปกติพวกมันจะทานผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยพลังจากจิตสำนึกแห่งโพไซดอน เพราะแบบนั้นร่างกายจึงแข็งแรง แต่กระรอกบินไม่ใช่สัตว์ที่ไม่เก่งกาจ พวกมันสามารถเจาะต้นไม้ ขุดหลุม ขึ้นเขาและว่ายน้ำได้หมดทุกอย่าง ปฏิกิริยาตอบสนองก็เร็ว เมื่อเงาดำโผล่เข้ามา พวกมันก็รีบหนีทันที

เป็นอย่างที่ว่ากันว่ากระต่ายเจ้าเล่ห์จะมีสามรัง กระรอกดินเจ้าเล่ห์พวกนี้ก็มีโพรงถึงสามสิบกว่าโพรงต่อหนึ่งตัว

เจ้าพวกนี้เป็นสัตว์ที่ไม่ระมัดระวังตัวอย่างมาก เช่นว่าพวกมันกำลังอาบน้ำหมอกอยู่ ก็ดันอาบน้ำอยู่หน้าโพรงของตัวเอง เมื่อหมุนตัวก็สามารถเข้าโพรงไปได้เลย แต่ว่ายังมีตัวที่ค่อนข้างอ้วนอยู่ตัวหนึ่ง การตอบสนองของมันช้าไปเล็กน้อย จึงถูกเฟอเรทแบลคฟุตกัดเข้าที่ขาอันอวบอิ่มของมัน

ฟันของเฟอเรทคมมาก กัดทีหนึ่งก็มีเลือดออกแล้ว กระรอกดินเจ็บจนร้องครวญครางออกมา มันสะบัดขาอันใหญ่และทรงพลังอย่างแรง ราวกับกระต่ายที่เตะนกอินทรีที่บินมาหาพวกมัน มันเตะเฟอเรทแบลคฟุตเข้าไปเต็มๆ จนมันกระเด็นลอยออกไป

กระรอกดินอีกสี่ตัวที่อยู่ในโพรงรีบวิ่งออกมาเมื่อได้ยินเสียงร้องของคนในครอบครัว หลังจากนั้นสถานการณ์ที่เหลือก็คือ เฟอเรทแบลคฟุตผู้นุ่มนวลที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ก็ถูกกระรอกดินที่ตัวใหญ่กว่าห้าตัวล้อมพวกมันเอาไว้

เฟอเรทแบลคฟุตตัวน้องผู้อ่อนแอมองไปยังเหยื่ออันน่ากลัวทั้งห้าตัว มันคิดอยากจะถามอะไรบางอย่าง ถ้าหากบอกว่าทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิด พวกเขาจะเชื่อไหมนะ?

กระรอกดินไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่ว่าพวกมันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เพราะว่าพวกมันเป็นสัตว์กินพืช เป็นสัตว์ที่ไม่มีนิสัยชอบต่อสู้ ดังนั้นฉินสือโอวจึงวางใจที่จะให้พวกมันอยู่ที่นี่

เฟอเรทแบลคฟุตตัวพี่ที่ถูกเตะจนตัวลอยลุกขึ้นมาอีกครั้ง ลูกเตะของกระรอกดินตัวนั้นปลดล็อกพลังระดับเลเวลหนึ่งของมัน รวมถึงระเบิดพลังของมันอีกด้วย มันวิ่งกลับมาด้วยท่าทางโหดเหี้ยม ตาเบิกโพลงพร้อมปากที่แยกเขี้ยวออกมา มันร้องคำรามออกมาราวกับสัตว์ป่า เสียงดัง “ฮึ่ม ฮึ่ม!”

ถ้าหากว่าพวกมันต้องการจะต่อสู้จริงๆ พวกมันทั้งห้าที่มีร่างกายกำยำสามารถฆ่าเฟอเรททั้งสองตัวได้อย่างสบายๆ แต่พวกมันไม่มีพลังที่จะโจมตี เมื่อถูกเฟอเรทขู่คำราม พวกมันก็วิ่งหนีหางจุกตูดไปทันที

เจ้าขาใหญ่ที่โดนกัดขาก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ มันวิ่งไปกระโดดไปราวกับเป็นจิงโจ้

เฟอเรทผู้พี่กับผู้น้องที่ตกอยู่ในอาการตกใจนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเต็มเปี่ยม ที่แท้พวกเราก็เก่งกาจมากเลย! ดูหนูตัวใหญ่ทั้งห้าตัวพวกนั้นสิ ตัวใหญ่แล้วมีประโยชน์อะไร?

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท