ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1219 พวกมันเป็นของผมแล้ว

บทที่ 1219 พวกมันเป็นของผมแล้ว

เสี่ยวเถียนกวาไม่เคยเห็นหมอกลงหนาขนาดนี้มาแล้ว เธอปีนขึ้นมาถึงหน้าประตูแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ เธอไม่เข้าใจว่าโลกในวันนี้ทำไมถึงไม่เหมือนกับโลกเมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้

ฉินสือโอวก็ไม่เคยเห็นหมอกหนาขนาดนี้มาก่อน แต่เมื่อเขาเห็นท่าทางสงสัยของลูกสาว เขาก็หัวเราะออกมาพลางมาอยู่ข้างๆ เธอ ทั้งสองคนมองไปยังหมอกหนานั้นอย่างไร้จุดหมาย

วินนี่ส่ายหัวไปมาพลางพูดว่า “หมอกลงขนาดนี้ มองอะไรไม่เห็นเลย มันมีอะไรหน้าดูอย่างนั้นเหรอคะ?”

“ดอกไม้ที่อยู่ในสายหมอกนั้นสวยงามที่สุด” ฉินสือโอวหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี พูดไป เขาก็อุ้มลูกสาวขึ้นมาหยอกล้อ “ใช่ไหม? พ่อพูดถูกไหมคะ?”

เสี่ยวเถียนกวาถูกสอนมาแล้ว ตอนนี้จึงสามารถคุยกับพ่อแม่ได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อได้ยินฉินสือโอวพูด เธอก็รีบเงยหน้าขึ้นมาเรียกด้วยความดีใจทันที “ปะป๊า ปะป๊า…”

ฉินสือโอวตอบกลับ เสี่ยวเถียนกวายื่นมือออกมา พลางร้องต่อไปว่า “ปะป๊า ปะป๊า…”

ท่านชายฉินมองไปรอบๆ เขาเห็นหู่จือและเป้าจือวิ่งออกมาจากหมอกอย่างมีความสุข

เมื่อเห็นท่าทางดีใจของพวกมันทั้งสองตัว เขาก็มองไปยังพวกมันอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากนั้นก็แก้ไขคำพูดของลูกสาว “นี่ไม่ใช่ปาป๊า นี่มันสุนัข!”

“ปะป๊า! ปะป๊า!” …ยังคงพูดคำเดิม

“สุนัข! สุนัข!” ท่านชายฉินหมดความอดทนแล้ว

หู่จือและเป้าจือวิ่งมาอยู่ตรงหน้าฉินสือโอว ลำตัวของพวกมันทั้งสองเปียกชื้น พวกมันอ้าปากสะบัดหัวไปมาจนเจ้าตัวขนดกดำเล็กๆ สองตัวหล่นลงมาที่พื้น

เจ้าตัวเล็กทั้งสองถูกสะบัดจนเวียนหัวตาลาย พวกมันกลิ้งตัวไปมาสองรอบจากนั้นก็ปีนลุกขึ้นยืน มันเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเจ้าตัวใหญ่แบบเต็มสองตา อีกทั้งยังเห็นชายร่างใหญ่ที่กำลังชี้นิ้วและตะโกนมายังพวกมัน ปากใหญ่ของเขาอ้ากว้างราวกับต้องการกินพวกมัน ทันใดนั้นพวกมันก็รู้สึกกลัวขึ้นมา จึงหมุนตัววิ่งหนีออกไป

เสี่ยวหมิงวิ่งนำเหล่ากระรอกดินมาตลอดทาง ครอบครัวกระรอกดินแวะทักทายหู่จือและเป้าจือ พวกเรากำลังหาพี่ใหญ่ พวกนายสองคนกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?

เจ้าตัวเล็กทั้งสองเพิ่งจะวิ่งมาถึงหน้าประตู พวกมันก็เจอเขากับเสี่ยวหมิงและกระรอกดินที่วิ่งตามมา พวกมันโดนขวางทางอีกแล้ว เสี่ยวหมิงเดินออกมาข้างหน้า จากนั้นก็ผลักเจ้าตัวเล็กทั้งสองตัวล้มลงกับพื้น

วินนี่ตกใจ เธอจึงถามออกมาว่า “พระเจ้า? นี่มันตัวอะไรกัน? หนูเหรอคะ?”

ฉินสือโอวก็มองไม่ออกเหมือนกัน ท่าทางของสองพี่น้องเฟอเรทแบลคฟุตดูน่าเวทนาเกินไป ขนตามร่างกายเปียกและแบ่งกันเป็นกระจุกๆ ขนที่หัวยังเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงน้ำเต้า อีกอย่างท่าทางอันน่าสงสารและเวทนาของพวกมันลบความน่ารักของความเป็นเฟอเรทแบลคฟุตไปจนหมด

เมื่อมองดูดีๆ เขาถึงจะมองออกว่าเป็นสองพี่น้องเฟอเรท เขาพูดขึ้นมาด้วยความตกใจทันทีว่า “พระเจ้า พวกแกเองเหรอ? อย่าปล่อยพวกมันไป! จับพวกมันมาให้ฉัน!”

แม้สองพี่น้องเฟอเรทแบลคฟุตคิดอยากจะเดินก็ยังเดินไม่ไหว พวกมันถูกเสี่ยวหมิงและกระรอกดินจับไว้ เมื่อพวกมันจะหมุนตัวกลับหลัง พวกมันก็เจอเข้ากับหู่จือและเป้าจือที่อยู่ด้านหลัง เรียกได้ว่าถูกซุ่มโจมตีจากทุกทิศทาง

วินนี่มองมาด้วยความสงสัย เธอยังมองไม่ออกเลยพวกมันคือตัวอะไร จึงถามออกมาว่า “มันคืออะไรเหรอคะ?”

สีหน้าของฉินสือโอวเต็มไปด้วยความตกใจ เขาปล่อยเสี่ยวเถียนกวา แล้วไปอุ้มเฟอเรททั้งสองตัวขึ้นมา พลางพูดขึ้นว่า “รอผมอาบน้ำให้พวกมันก่อนคุณก็จะรู้ รับรองได้ว่าเป็นของดี!”

พูดจบ เขาก็พาพวกมันทั้งสองตัวเข้าไปยังห้องครัว จากนั้นก็เอากะละมังมาใส่น้ำอุ่นเพื่ออาบน้ำให้พวกมัน

ตอนนั้นเองฉงต้าที่นอนอยู่บนพื้นก็กระโดดลุกขึ้นมา มันพุ่งตัวเข้าไปในห้องครัวพลางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เข้าไปจับฉินสือโอว แล้วร้องคำรามออกมาเสียงต่ำ

เมื่อหันไปเห็นใบหน้าดุร้ายของฉงต้า สองพี่น้องเฟอเรทก็ตกใจหน้าซีดเกือบตาย พวกมันรีบกระโดดลงกะละมังอย่างรวดเร็ว

ฉงต้าร้อนใจขึ้นมาทันที อุ้งมืออ้วนของมันฟาดลงมาทันที มันจับกะละมังลากออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปใช้ปากงับสองพี่น้องเฟอเรทขึ้นมา

เมื่อสองพี่น้องเฟอเรทแบลคฟุตกะพริบตา ก็พบว่าตัวเองตกอยู่ข้างๆ ปากอันน่ากลัวของฉงต้าเรียบร้อยแล้ว จิตใจที่ยังเป็นเด็กของพวกมันไม่สามารถรับกับสถานการณ์อันโหดร้ายแบบนี้ได้ สุดท้ายพวกมันก็ตาลายจนเป็นลมไปในที่สุด

โลกใบนี้ชักจะบ้าบอเกินไปแล้ว วันนี้พวกมันรับเรื่องน่ากลัวมากเกินไปแล้ว!

ฉงต้าร้องคำรามออกมาด้วยความรังเกียจ มันปัดกะละมังไปมาเพื่อที่จะให้สองพี่น้องเฟอเรทหลุดออกมา จากนั้นก็คาบพวกมันขึ้นมาแล้ววิ่งหนีออกไป

ฉินสือโอวยังอยู่ในอาการตกตะลึง วินนี่พูดออกมาอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า “คุณอย่าให้ข้าวพวกเด็กๆ นะคะ พวกมันไม่ปล่อยเพื่อนตัวน้อยทั้งสองตัวแน่ อีกอย่าง นี่มันอะไรกันแน่คะ?”

เธอเดินเข้ามาจับหางของเฟอเรทตัวหนึ่งขึ้นมาดู จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความตกใจว่า “อ้อ เฟอเรทเหรอ? สายพันธุ์ไหนเหรอคะ?”

เฟอเรทเป็นสัตว์เลี้ยงที่พบเห็นได้ทั่วไปที่แคนาดา แน่นอนว่าวินนี่รู้จักพวกมัน

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาคิกคักแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาใช้น้ำอุ่นล้างเอาคราบสกปรกออกจากเจ้าตัวเล็กทั้งสองตัว และใช้โอกาสนี้ในการถ่ายพลังโพไซดอนให้พวกมันด้วย เมื่อได้รับพลังโพไซดอน พวกมันทั้งสองตัวก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เจอนักล่าที่น่ากลัว พวกมันก็ถอนหายใจออกมา

เพราะว่าพลังโพไซดอน ทำให้พวกมันสองตัวผูกพันกับฉินสือโอวเป็นอย่างมาก พวกมันให้เขาใช้ไดร์เป่าผมเป่าจนแห้งหลังอาบน้ำอย่างว่าง่าย

พวกมันเคยสัมผัสประสบการณ์แบบนี้มาก่อนขึ้นเรือ ดังนั้นพวกมันจึงคุ้นเคยกับมันมาก

ร่างที่แท้จริงของเฟอเรทแบลคฟุตจึงปรากฏออกมา ในที่สุดวินนี่ก็เห็นรูปร่างของพวกมัน เธอชี้ไปยังพวกมันทั้งสองตัวอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็ชี้ไปยังด้านนอก ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างพร้อมกับอุทานออกมาว่า “เพราะเจ้า เป็นไปไม่ได้…”

ฉินสือโอวทำท่าทางจะร้องตะโกนออกมา วินนี่จึงรีบพูดออกมาเสียงต่ำทันที เธอจับแขนของเขาแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “พระเจ้า เฟอเรทแบลคฟุต? นี่ไม่ใช่เฟอเรทแบลคฟุตที่สูญพันธุ์จากแคนาดาไปแล้วหรอกเหรอคะ?”

ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างพอใจ พลางหัวเราะหึหึออกมา “ไม่เลว นี่คือเฟอเรทแบลคฟุต!”

วินนี่มองเขาอย่างตกตะลึง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เธอก็เข้าใจขึ้นมาทันที “คุณเคยเจอพวกมันเหรอคะ? คุณรู้ว่าพวกมันยังคงมีชีวิตอยู่เหรอคะ? แต่พวกมันมาถึงที่ฟาร์มปลาได้อย่างไร?”

ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คิดไม่ออก

ฉินสือโอวตอบว่า “ยังจำเรือประมงเมื่อวันก่อนได้ไหม? ผมบอกกับตำรวจทะเลว่าพวกเขาเข้ามาที่ฟาร์มปลาพร้อมกับพกอาวุธปืน ซึ่งอันที่จริงแล้วมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เด็กสองคนนี้ เป็นของพวกมันลักลอบพามาด้วย”

วินนี่เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี พลางพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “แล้วคุณจะจัดการอย่างไร? นี่คือเฟอเรทแบลคฟุต คนอเมริกาเห็นพวกเขาเป็นของล้ำค่าเลยนะคะ! ถ้าหากว่าพวกเขารู้ว่าเฟอเรทแบลคฟุตที่สูญพันธุ์ไปแล้วอยู่ที่นี่กับพวกเรา แบบนั้นคงจะเป็นปัญหาแน่”

ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหลัวปอมาอยู่ที่นี่ปีหนึ่งแล้ว ยังไม่มีใครรู้เลยว่ามันคือหมาป่าขาวนิวฟันแลนด์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเลยไม่ใช่เหรอ? เจ้าพวกนี้ตัวเล็กขนาดนี้ พวกเราระวังหน่อยก็สามารถซ่อนพวกมันไว้ได้แล้ว”

“ต่อให้ถูกเจอก็ไม่มีอะไรต้องกลัว พวกเรารู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกมันมาอยู่บนเกาะได้อย่างไร? ถ้าพวกอเมริกาอยากจะเอาเรื่อง ก็ให้พวกเขามาหาได้เลย ผมไม่กลัวพวกเขาอยู่แล้ว” ฉินสือโอวเอ่ยเสริม

วินนี่ถูกฉินสือโอวพูดโน้มน้าวอย่างรวดเร็ว เธอไม่มีแรงขัดต่อสิ่งเล็กๆ ที่มีขนปุยพวกนี้มากนัก เรื่องหนึ่งเธอก็กังวลว่าหากมีคนพบจะเป็นอย่างไร แต่เธอก็ได้กอดและเรียกพวกมันทั้งสองตัวด้วยความรักความเอ็นดูแล้วเรียบร้อย

แต่สองพี่น้องเฟอเรทไม่ยอมที่จะอยู่ในอ้อมกอดของวินนี่ พวกมันดิ้นรนออกไปหาฉินสือโอว แต่หลังจากที่ลงถึงพื้น ดวงตากลมโตก็กลอกไปมา จมูกสูดดมฟุดฟิดไม่หยุด แล้วเริ่มเดินไปทั่วห้องครัว

เมื่อกระรอกดินตามสองพี่น้องเฟอเรทมาถึงประตูห้องครัว พวกมันก็จ้องมองมายังสองพี่น้องเฟอเรท กระรอกดินอ้วนยื่นขาที่ถูกทำร้ายออกมาพลางมองไปยังฉินสือโอวอย่างเศร้าสร้อย ขาอ้วนของมันยังคงมีเลือดแห้งแผ่นเล็กๆ ติดอยู่

วินนี่ช่วยกระรอกฆ่าเชื้อที่แผล สองพี่น้องเฟอเรทมองไปยังกระรอกดินตัวน้อยพลางแลบลิ้นเลียปากไปมา แบบนี้ฉินสือโอวจึงเข้าใจได้ทันที ว่าเจ้าสองตัวนี้หิวแล้วแน่นอน

………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท