ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1216 เรื่องน่ากลัวแห่งมหาสมุทรแอตแลนติก

บทที่ 1216 เรื่องน่ากลัวแห่งมหาสมุทรแอตแลนติก

พวกลูกเรือที่อยู่ที่ท้ายเรือยังไม่รู้ว่าเครื่องตรวจหาปลาพบเจออะไรเข้า พวกเขายืนมองลงไปที่ด้านข้างเรืออย่างใจจดใจจ่อ

หมอกลงหนาจัด บราบัสเดินมาทางด้านหลังพวกเขาโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว เขาใช้ฝ่ามือตบเข้าไปที่ด้านหลังชายชาวประมงร่างใหญ่คนหนึ่ง พลางพูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เกิดอะไรขึ้น”

เมื่อจู่ๆ ก็โดนตบเข้าที่กลางหลังแบบนั้น ชาวประมงคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เขาหันกลับมามองบราบัสด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าเป็นบราบัสเขาก็พูดออกมาด้วยความโมโหว่า “กัปตัน คุณพูดทักทายก่อนไม่ได้เหรอ ถือว่าเห็นแก่พระเจ้า อย่าทำให้ผมตกใจเลย!”

“เห็นแก่พระเจ้าเหมือนกัน อย่ามาพูดจาไร้สาระกับฉัน บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น” บราบัสพูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์

ชาวประมงคนนั้นกล่าวออกมาว่า “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆ อวนจับปลาก็ถูกอะไรบางอย่างดึงลงไป ดูเหมือนว่า เหมือนว่า เหมือนว่า…”

พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ดูลังเลขึ้นมาทันที

บราบัสพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “เหมือนอะไร ฉันว่าตอนนี้นายเหมือนกับผู้หญิงไม่มีผิด พูดอะไรไม่มีความชัดเจนสักอย่าง”

ชาวประมงไม่พอใจเล็กน้อยที่เขาถูกต่อว่าเรื่อยๆ เขาพูดออกมาว่า “ผมก็แค่กลัวว่าคุณจะกลัวเท่านั้น เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่อยู่ในน้ำกำลังฉีกอวนให้ขาด เราปล่อยอวนลงไปเรื่อยๆ จากนั้นก็พบเข้ากับแรงดึงมหาศาลเข้าจนทำให้อวนขาด”

บราบัสเดินไปมองที่ท้ายเรือด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาถามออกมาว่า “พวกนายรู้สึกถึงอะไรบางอย่างฉีกอวนจนขาดใช่ไหม อาจจะเป็นเพราะอวนไปเกี่ยวเข้ากับปะการังหรือเปล่า”

ชาวประมงหนุ่มอีกคนหนึ่งยักไหล่ แล้วชี้ไปที่ใต้น้ำพลางพูดออกมาว่า “กัปตัน พวกเรารู้ดีว่าที่นี่ไม่มีปะการัง ผมกลับรู้สึกว่า อาจจะเป็นสัตว์ประหลาดทะเลที่ฉีกอวนของพวกเรา ไม่อย่างนั้นมันจะมีแรงเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร ใช่หรือเปล่าพวก ฮ่าฮ่า”

ชาวประมงคนอื่นๆ พากันหัวเราะขึ้นมา แต่มีบางคนหัวเราะเยาะออกมา “สัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดในมหาสมุทรแอตแลนติกมีเรื่องราวมามากกว่าร้อยกว่าปีแล้ว แต่พวกเราไม่เคยเจอเลยนะ!”

เกิดการโต้เถียงขึ้นในกลุ่มชาวประมง จนไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ท่าทางของบราบัสน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุด เมื่อมีคนพูดถึงเรือผีสิงเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์อันมีชื่อเสียงโด่งดัง บราบัสก็หมดความอดทนลงทันที เขาตะโกนออกมาว่า “หุบปากให้หมด พวกนายมันเป็นพวกโง่! รีบเตรียมเรือเล็กกันเดี๋ยวนี้ แล้วลงไปดูว่าอวนลอยไปที่ไหนแล้ว!”

พวกชาวประมงทำงานไปพลางหัวเราะเย้ยหยันออกมา หมอกหนาเกินไป ดังนั้นเมื่อตอนที่พวกเขาปล่อยเรือเล็กลง พวกเขาจำเป็นที่จะตกใช้พลังงานในการรักษาสมดุลอย่างมาก

เมื่อชาวประมงเตรียมพร้อมที่จะกระโดดไปที่เรือเล็ก จู่ๆ เรือเล็กก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับมันเจอเข้ากับคลื่นลูกใหญ่

แต่ว่า หมอกหนาขนาดนี้บอกได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีพายุแน่นอน ไม่อย่างนั้นหมอกพวกนี้ต้องโดนลมพัดสลายไปแล้ว

ที่ท้ายเรือเงียบสงบทันที พวกชาวประมงต่างมองหน้ากันไปมา และมองไปยังเรือเล็ก โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

ตอนนั้นเองก็เกิดเสียงดังขึ้นที่ห้องควบคุมที่อยู่ตรงหัวเรือ บราบัสโมโหขึ้นมากเรื่อยๆ เขาหันไปตะโกนว่า “เจ้าพวกบ้า นอร์ริส แคนเมล เจ้าโง่ทั้งสองคน ทำอะไรกันอยู่วะ!”

เสียงของแคนเมลดังขึ้นมา “กัปตัน ผมคิดว่าผมควรเปิดประตูออกมาบอกข่าวอะไรบางอย่างกับพวกคุณ แต่นอร์ริสไม่ยอมให้ผมออกมา…”

“หุบปาก เจ้าโง่แคนเมล เร็วเข้า! รีบไปออกเรือ!” น้ำเสียงหงุดหงิดของนอร์ริสดังขึ้นตามมาทันที

แต่ว่า เพราะว่าหมอกที่หนาจัด ทำให้เสียงนั้นสร้างความรู้สึกวังเวงขึ้นมา ทำเอาทุกคนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย

บราบัสตะโกนออกมาว่า “ข่าวอะไรกัน พวกเราได้ยินที่แกพูดนะเว้ย แกรีบพูดออกมาเดี๋ยวนี้!”

แคนเมลตอบกลับด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า “เมื่อกี้พวกเราเจอเข้ากับสัตว์ตัวใหญ่ ถ้าดูจากเครื่องตรวจจับปลา ตอนนี้มันอยู่ใต้ท้องเรือของพวกเราแล้ว!”

เมื่อได้ยินดังนั้น พวกชาวประมงที่อยู่ท้ายเรือต่างพากันตื่นตระหนก และต่างพากันเอ่ยถามออกมาว่า “ตัวอะไรเหรอ”

“ตึง!” ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นมา เรือลำเล็กที่ถูกปล่อยลงไปในน้ำถูกคลื่นทะเลอันรุนแรงซัดพลิกคว่ำจมลงไปในทะเล จากนั้นคลื่นก็ซัดขึ้นมาเรื่อยๆ เชือกที่ถูกขึงอยู่ระหว่างเรือประมงกับเรือลำเล็กถูกดึงเข้าหากันอย่างกะทันหัน เรือเล็กถูกคลื่นซัดล่ม จนหายเข้าไปในสายหมอก!

พวกกะลาสีเรือต่างมองภาพนั้นกันจนตาค้าง พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที

“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ให้ตายเถอะ นั่นมันอะไรกันน่ะ” มีคนเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก

นอกจากนี้ยังมีคนดึงบราบัสไว้ แล้วถามออกมาด้วยเสียงแหบพร่า “กัปตัน คุณกำลังปิดบังอะไรอยู่งั้นเหรอ แคนเมลพูดถึงอะไรตัวใหญ่ๆ งั้นเหรอ บอกพวกเรามา เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

“ตึง!” เกิดเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง เรือลำเล็กที่หายไปโผล่ขึ้นมาจากคลื่นทะเลอันบ้าคลั่ง จากนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาชนเรือประมง แรงกระแทกอันรุนแรงทำให้เรือเล็กแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้เรือประมงสั่นไปมาอย่างไม่มีสิ้นสุด

พวกชาวประมงร้องออกมาด้วยความตกใจ พวกเขาต่างพากันหมอบลงเพื่อหาเสากอดเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย

ใบหน้าของบราบัสซีดเผือด เขาจับเชือกมามัดไว้รอบเอว เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเรือเหวี่ยงไปมา ในขณะเดียวกันเขาก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังเป็นเอกลักษณ์ว่า “แคนเมล เจ้าพวกโง่เง่า! เร็วเข้า! รีบเร็วเข้า! พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ!”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” มีคนตะโกนออกมา “พวกเราเจอเข้ากับอะไรกันแน่…โอ้ พระเจ้า ไม่นะ!”

หนวดปลาหมึกขนาดใหญ่พาดเข้ามาที่ท้ายเรือ ผิวของมันเป็นสีน้ำตาลแดง ร่างกายมีกลิ่นเหม็นออกมา เมื่อเหล่าลูกเรือเห็นภาพตรงหน้า ก็ถึงกลับมีคนกลัวจนฉี่ราด!

จากนั้น ก็มีหนวดที่สอง หนวดที่สาม และหนวดที่สี่โผล่ออกมา หนวดของมันพันเข้าที่ท้ายเรือจนยุ่งเหยิง หลังจากที่มันกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วก็ปัดอุปกรณ์และอวนจับปลาต่างๆ ลงทะเลไป

พวกชาวประมงต่างพากันกรีดร้องออกมาแล้ววิ่งไปที่หัวเรือ บราบัสอยากจะวิ่งหนี แต่โชคร้ายที่เขาโดนเชือกรั้งไว้อยู่ และเมื่อกี้เขามัดเชือกเป็นแบบเงื่อนตาย ทำให้อยากวิ่งก็ไม่สามารถวิ่งได้อย่างที่ต้องการ

“เจ้าพวกบ้า รอฉันด้วย!” บราบัสยังคงตะโกนออกมา แต่ว่าเสียงของเขาเปลี่ยนไป

ตอนนี้คิดว่ายังมีคนสนใจเขาอยู่อีกเหรอ ตอนนี้ต่างคนต่างก็ต้องเอาตัวรอด แม้ว่าพวกชาวประมงจะเป็นพวกงี่เง่า แต่พวกเขาก็พร้อมใจวิ่งหนีกันอย่างพร้อมเพรียง

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของบราบัสมองไปยังหนวดอันน่ากลัวทั้งสี่ของคราเคน เขาคิดว่าเขาอาจจะตายในไม่ช้านี้แล้วเป็นแน่ จู่ๆ หนวดทั้งสี่ของคราเคนก็หายไป มันทิ้งไว้แต่เพียงเมือกที่ท้ายเรือ และคลานลงทะเลไป

ตอนนั้นเอง บราบัสก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อกี้เขาตื่นตระหนกเกินกว่าที่มองเห็นเจ้าตัวนั้นได้อย่างชัดเจน ในตอนที่หนวดยักษ์ทั้งสี่ได้หายไปแล้ว เขาจึงเห็นว่ามันไม่ใช่งูเหลือม แต่…แต่ว่ามันคือหนวด! มันคือหนวดปลาหมึกที่มีปุ่มดูด!

ทุกๆ ปุ่มดูดของมัน มีขนาดเท่ากับกะละมัง!

“พระเจ้า ฉันต้องกำลังฝันร้ายอยู่แน่ๆ!” บาสบัสวาดรูปไม้กางเขนที่หน้าอก “พระเจ้าผู้เมตตา ช่วยลูกด้วย โปรดช่วยลูกจากฝันร้ายนี้ด้วย!”

ตอนนั้นเองเรือก็ถูกคลื่นทะเลซัดอย่างรุนแรงอีกครั้ง บราบัสหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามองเข้าไปในสายหมอก ก็มีหนวดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของเรือ พวกลูกเรือที่วิ่งหนีไปเมื่อครู่กรีดร้องแล้ววิ่งกลับมาทางนี้อีกครั้ง…

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บราบัสรู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าพวกเวรพวกนั้นที่เมื่อกี้ทิ้งฉันไป!

หลังจากที่พวกลูกเรือมองหนวดนั้นอย่างใกล้ชิดพวกเขาก็จำรูปร่างของมันได้ดี ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหาบราบัสด้วยน้ำตานองหน้าพลางตะโกนออกมาว่า “กัปตัน มันไม่ใช่งู! มันคือคราเคนปีศาจจากทะเลทางเหนือ!”

ฉินสือโอวเล่นสนุกอยู่ที่ใต้ทะเล เขาวนไปมาอยู่รอบๆ เรือ หนวดยาวของคราเคนเคลื่อนไหวไปรอบๆ อันที่จริงเขาควบคุมมันอย่างหนัก หนวดเหล่านั้นพาดเข้าไปที่ดาดฟ้าเรือ ที่นั่นคงจะไม่มีคนอยู่ เขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะทำร้ายคน

แม้ว่าคนที่มาขโมยปลาจะน่ารังเกียจ แต่ว่าพวกเขาก็ไม่สมควรตาย

เมื่อหันกลับมา คนในเรือบนนั้นก็กำลังกุลีกุจอ หมุนหัวเรือลำนั้นมุ่งหน้าหนีไปยังเมืองเซนต์จอห์น!

……………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท