ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1232 แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าสุดยอด

บทที่ 1232 แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าสุดยอด

ชาร์คพูดถูก ฉินสือโอวไม่ได้มีหน้าที่ดูแลการหาเสียง แต่เป็นเออร์บักต่างหาก

พอตกเย็นเออร์บักก็กลับมายังฟาร์มปลา เขาไม่ได้กลับมาคนเดียว แต่เขายังพาหญิงชราคนหนึ่งกับสุนัขพันธุ์สก็อตติช คอลลี่อีกหนึ่งตัวมาด้วย

ครั้งนี้หู่จือและเป้าจือไม่ได้เห่าออกมา พวกมันพากันจ้องมองไปยังสุนัขพันธุ์สก็อตติช คอลลี่ตัวนั้น มันอ้าปากลิ้นห้อยมองตาแป๋ว ท่านชายฉินรู้สึกว่าเจ้าสองตัวนี้เกิดอาการโลภขึ้นมา

ฉินสือโอวดึงแขนวินนี่ออกมา แล้วพูดเสียงเบาว่า “หู่จือกับเป้าจือโตแล้วล่ะ”

วินนี่ยิ้มพลางโบกมือไปทางเออร์บักเพื่อทักทายพวกเขาทั้งสองคน พลางพูดขึ้นเร็วๆ ว่า “ที่รักคะ คุณหญิงแมคคาลลียนมาด้วยค่ะ คุณอย่าพึ่งไปสนใจเด็กพวกนั้นเลย ไปทักทายคุณหญิงก่อนดีกว่าค่ะ”

ใช่แล้ว เธอเดินมากับเออร์บัก เธอเป็นสาวแกร่งทางการเมืองของแคนาดาที่เมื่อปีที่แล้วเคยมาที่ฟาร์มปลา เฮเซล แมคคาลลียน!

เมื่อเทียบกับเออร์บัก การกระทำทุกอย่างของฉินสือโอวดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ดูสิว่าพวกเขาทำอะไรกัน การจ่ายเงินไม่ใช่ความสามารถ การเชิญแมคคาลลียนมาต่างหากที่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มีคนแบบนี้มาช่วยหาเสียง แบบนี้ก็เหมือนการจับผู้สมัครเลือกตั้งคนอื่นมาแขวนคอเพื่อให้พวกเขาทำการยอมแพ้ชัดๆ

แม้ว่าชื่อเสียงของแมคคาลลียนที่สะสมมานานสามสิบหกปีจะอยู่ในฐานะของนายกเทศมนตรี แต่เธอไม่เพียงแต่จะเคยเป็นนายกเทศมนตรี แต่ยังเคยเป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วย ปัจจุบันมิซซิซเซาเกาเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับที่หกของแคนาดา แต่ว่าสี่สิบปีก่อนหน้านี้เมืองมิซซิซเซาเกาเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เท่านั้น หรือพูดได้ว่าเธอมีประสบการณ์ในการจัดการเมืองเล็กๆ มาก่อน

ฉินสือโอวพาวินนี่เข้าไปทักทายเธอ วินนี่เข้าไปสวมกอดแมคคาลลียนพลางพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “ยินดีต้อนรับค่ะ คุณหญิงแมคคาลลียน ดีใจจริงๆ ที่พวกเราได้เจอกันอีกครั้ง”

เมื่อคนเราแก่ลง การเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวสังเกตเห็นเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว อารมณ์และท่าทางของแมคคาลลียนนั้นต่างจากปีที่แล้วอยู่นิดหน่อย ยิ่งอายุมากก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น ตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะเห็นเธอผู้เป็นนายกเทศมนตรีของรัฐออนแทรีโอและเป็นสภาเมืองผู้ต่อสู้อย่างกล้าหาญเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน

ดูเหมือนว่าในขณะที่กำลังสังเกตความต่างที่เปลี่ยนไปนั้น ต้าป๋ายก็เดินสะบัดขนออกมาจากบ้าน มันมองไปยังสุนัขสก๊อตติซ คอลลี่อย่างแปลกใจ หลังจากนั้นมันก็กระโดดขึ้นหลังฉงต้าไปอย่างมีความสุข พร้อมที่จะไปเล่นกับหู่จือและเป้าจือ

ฉงต้าและต้าป๋ายกำลังเดินชมพระอาทิตย์ตกดินอยู่ เงาของพวกมันทั้งสองตัวทอดยาวไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเงาของทั้งสองตัวก็มาบรรจบกัน

แมคคาลลียนและฉินสือโอวจับมือกัน แมคคาลลียนหันไปมองบอลลูนขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือเมือง แล้วพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “เออร์บักบอกว่า นี่เป็นเรื่องที่คุณทำ ใช่ไหม? อ้อ พระเจ้า ฮ่าๆ ฉันคิดว่าฉันอยู่ในดิกซ์วิลล์ นอทซ์เสียอีก บรรยากาศการหาเสียงแบบนี้ช่างสุดยอดไปเลย”

เมืองดิกซ์วิลล์ นอทซ์เป็นเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของรัฐนิวแฮมป์เชียร์ที่อยู่ใกล้กับชายแดนสหรัฐและแคนาดา ที่นั่นล้อมรอบไปด้วยภูเขา วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่มีผู้อยู่อาศัยในเมืองจำนวนไม่มาก มีประชากรทั้งหมดเพียงเจ็ดสิบกว่าคนเท่านั้น และประชาชนที่ลงทะเบียนแล้วมีเพียงยี่สิบเอ็ดคนเท่านั้น

แต่ถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาที่ห่างไกล แต่จำนวนผู้เลือกตั้งก็สามารถส่งผลใหญ่ได้ หลังจากปี 1960 เป็นต้นมา ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งที่ผ่านมา เมืองเล็กๆ แห่งนี้กลับมีชื่อเสียงเป็น ‘อันดับหนึ่งของประเทศ’ นั่นก็เพราะว่าการเลือกตั้งจัดขึ้นที่นี่เป็นที่แรก และผลการเลือกตั้งก็ออกมาเร็วที่สุดด้วย ดังนั้นก่อนที่ชาวอเมริกันภูมิภาคอื่นจะทำการลงคะแนนเสียง พวกเขาต่างก็ให้ความสนใจต่อเมืองนี้เป็นอย่างมาก

เพราะเหตุนี้ นี่คือพื้นที่ในการโฆษณาที่ดีที่สุด ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี บรรยากาศการหาเสียงที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้จะครึกครื้นเป็นพิเศษ ทั้งสองฝ่ายต่างมองว่าเมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นสมรภูมิในการใช้ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ การต่อสู้ที่ดุเดือดมักจะเริ่มขึ้นที่นี่

วินนี่ยังคงอิงแอบอยู่ข้างฉินสือโอวยิ้มหวานออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “นี่เป็นสิ่งที่คู่หมั้นของฉันทำเพื่อฉันค่ะ เขาหวังว่าจะสามารถเติมเต็มความต้องการในการเป็นนายกรัฐมนตรีของฉันได้ ทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยฉันค่ะ”

ท่านชายฉินรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อันที่จริงแล้ววินนี่นั้นคอยช่วยเขามาตลอดต่างหาก

แมคคาลลียนมองไปยังฉินสือโอวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม พลางพูดขึ้นว่า “นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะ สี่สิบปีก่อน สามีของฉันก็ช่วยฉันแบบนี้เหมือนกัน”

ในขณะที่พูด อารมณ์ของเธอก็ดูนิ่งสงบลงเล็กน้อย เธอหันกลับไปมองบอลลูนอีกครั้ง แล้วพูดออกมาอย่างอาวรณ์ว่า “เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ สี่สิบปีแล้ว ไม่นานก็ผ่านมาขนาดนี้แล้ว”

เห็นได้ชัดว่า แมคคาลียนกำลังคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา การพูดขึ้นมาแบบนี้ค่อนข้างเห็นได้อย่างชัดเจน ฉินสือโอวรีบเชิญเธอเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว เชอร์ลี่ย์และพาวลิสที่กลับมาจากโรงเรียนกำลังดื่มน้ำผลไม้อยู่ด้วยท่าทีเรียบร้อย ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการหั่นผลไม้ ส่วนแมคคาลลียนก็เดินไปรอบๆ ทั่วทั้งบริเวณบ้าน

หู่จือกับเป้าจือก็กำลังเดินรอบบ้านอยู่เช่นกัน แน่นอนว่าสายตาของพวกมันไม่ได้จับจ้องไปที่แมคคาลลียน แต่เป็นสุนัขพันธุ์สก็อตติชที่อยู่ข้างๆ แมคคาลลียนต่างหาก

วินนี่สังเกตเห็นความผิดปกติของเจ้าแลบราดอร์สองตัว เธอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ฉินสือโอวจะถามอะไรตัวเองสักอย่าง จึงได้พูดขึ้นว่า “ที่รักคะ เมื่อกี้คุณถามอะไรฉันนะคะ? เกี่ยวกับหู่จือเป้าจือนะคะ”

ท่านชายฉินกลอกตาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วตอบกลับว่า “ผมบอกกับคุณว่า ดูเหมือนว่าหู่จือกับเป้าจือจะโตเต็มวัยแล้ว”

“โตแล้วก็ดีสิคะ พวกเด็กๆ ก็โตขึ้นตลอดอยู่แล้ว” วินนี่มองเขาด้วยสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่ามีอะไรให้น่ารู้สึกดีขนาดนั้นกันแน่ “คุณจะบอกว่าเวลาผ่านไปไวอย่างนั้นเหรอคะ?”

ฉินสือโอวพูดออกมาว่า “ไม่ใช่ ความหมายของผมคือ พวกมันสองตัวถึงช่วงผสมพันธุ์แล้ว! พวกเราไม่สามารถหยุดธรรมชาติของพวกมันได้ คุณดูสิตอนนี้พวกมันมีปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึก เจ้าสก็อตติชตัวนี้เป็นหมาแก่นะ!”

วินนี่เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เธอมองไปยังสุนัขพันธุ์สก็อตติชที่นอนขี้เกียจอยู่ข้างๆ แมคคาลลียน เธอรู้สึกว่าสุนัขเพศเมียตัวนี้มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูด จึงพูดออกมาอย่างคาดเดาว่า “ไม่แน่ว่า พวกมันอาจจะชอบสาวแก่ก็เป็นได้นะคะ?”

ฉินสือโอวมองไปยังวินนี่ด้วยสีหน้าตกใจ แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่หรอกมั้ง? หู่จือกับเป้าจือไม่ได้ขาดความรักจากพ่อแม่ ทำไมพวกมันต้องมีใจให้กับอะไรแบบนี้ด้วยล่ะ?”

แมคคาลลียนเห็นคนทั้งสองกำลังซุบซิบกันอยู่ เธอจึงยิ้มกว้างออกมาแล้วถามว่า “พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากใช่ไหม?”

ฉินสือโอวและวินนี่หันมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสพร้อมกัน “พวกเรากำลังปรึกษากันว่าเย็นนี้จะทานอะไรกันดีนะคะ”

หลังจากที่พูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันแล้ว ทั้งสองคนก็มองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็หัวเราะออกมา ช่างรู้ใจกันเสียจริง

หู่จือและเป้าจือเบ้ปากมองไปยังคนทั้งสอง แม่เอ๊ย นี่เป็นการทรมานสุนัขโสดชัดๆ!

อาหารเย็นก็ยังคงเน้นอาหารมังสวิรัติเป็นหลัก ที่ฟาร์มปลามีผักสด ช่วงฤดูหนาวฉินสือโอวปลูกถั่วลิสงและข้าวโพดไว้ในเรือนกระจก ด้วยการบำรุงจากพลังโพไซดอน พืชผลเหล่านี้จึงสามารถอยู่รอดได้จนถึงช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาล และพวกมันก็โตมาเป็นอย่างดี

ฉินสือโอวทำอาหารทะเลคั่วธัญพืช อันดับแรกหั่นปูและล็อบสเตอร์ที่นึ่งแล้วนำไปผัดรวมกัน หลังจากที่ใส่ลงไปในกระทะแล้ว เขาก็ใส่ถั่วลิสงและข้าวโพดที่ล้างสะอาดแล้วลงไปผัดด้วยกัน ด้วยวิธีนี้จะทำให้กลิ่นของอาหารทะเลและธัญพืชที่ออกมานั้นแตกต่างกัน ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นรสชาติใหม่ขึ้น

แมคคาลลียนและวินนี่กำลังพูดคุยกันอยู่ วินนี่ปรึกษาเธอเกี่ยวกับข้อควรระวังและเทคนิคในการจัดปราศรัยในช่วงระหว่างที่หาเสียง

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง แมคคาลลียนก็ตบมือของวินนี่เบาๆ แล้วพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มดีใจว่า “เด็กน้อย คุณมีแฟนที่ดีอยู่ด้วย ดูจากที่พวกเธออยู่ด้วยกันแล้ว ฉันรับรู้ได้ถึงความสุขจริงๆ จากที่ฉันได้มองดูพวกคุณ ฉันได้เห็นถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เสียไปในอดีตมากมาย”

วินนี่พูดขอบคุณพลางยิ้มออกมา เมื่อเธอหันไปมอง เธอก็เห็นฉินสือโอวกำลังวุ่นวายอยู่ในห้องครัว โดยที่มีเสี่ยวเถียนกวากำลังปีนป่ายไปมาอยู่ข้างๆ เขาตั้งค่าเตาอยู่สักพักจากนั้นก็ก้มตัวลงไปเพื่อแกล้งลูกสาวตัวน้อย ท่าทางดูยุ่งวุ่นวายมาก

เมื่อเดินเข้ามาในห้องครัว วินนี่ก็เข้ามาสวมกอดฉินสือโอวและจูบเขาอย่างลึกซึ้ง ท่านชายฉินรู้สึกงุนงงขึ้นมา แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะถามหาเหตุผล แต่เป็นเวลาสนุกกับการแลกเปลี่ยนความรู้สึกระหว่างสามีภรรยามากกว่า

หู่จือและเป้าจือนอนมองพวกเขาทั้งสองคนที่หน้าประตูอย่างไม่พอใจ ทำร้ายสุนัขโสดอีกแล้ว!

……………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน