ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1225 อุทธรณ์

บทที่ 1225 อุทธรณ์

บัตเลอร์โชคดีได้กินปลากระทะฝีมือของฉินสือโอว ชายเคราหนาเป็นคนรู้งาน เมื่อกินเข้าไปก็เอ่ยชมออกมาต่างๆ นานา ชาวผิวสีเป็นผู้ทำการแสดงเก่ง ท่าทางการแสดงที่เปลี่ยนไปอย่างมากของชายคนนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกประหลาดใจ

“พวกนายก็แค่กินปลาเอง พวกเราไม่ได้กินเนื้อมังกรกันเสียหน่อย ไม่ใช่เหรอ?” ท่านชายฉินบ่นอยู่เงียบๆ ในใจ หลังจากนั้นก็หันไปชมการแสดงของชายหนวดเฟิ้มต่อ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกประสบความสำเร็จ

พ่อของฉินสือโอวก็พูดชมเช่นกัน เขากินปลาไหลอเมริกาไปหนึ่งตัว จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “เสี่ยวโอวทำอาหารอร่อยจริงๆ สตูปลาก็เคี่ยวกำลังดี เนื้อปลานุ่มลื่นมาก กลิ่นก็หอมมาก อาหารจากนี้ลูกทำได้อร่อยกว่าพ่อกับแม่เยอะเลย”

ฉินสือโอวมีความสุขอย่างหยุดไม่อยู่ วินนี่ยิ้มออกมา พลางถามพ่อของฉินสือโอวว่า “คุณพ่อคะ ปลาที่คุณพ่อทานคือปลาไหลอเมริกา เป็นปลาที่เนื้อนุ่มและอร่อยที่สุดชนิดหนึ่งในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ถ้าหากว่าคุณพ่อเป็นคนทำอาหาร รสชาติจะต้องดีกว่านี้แน่นอนค่ะ”

พ่อของฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ แล้วพูดว่า “วินนี่นี่ช่างพูดจาเอาใจเสียจริง ได้ อาหารเย็นพ่อจะแสดงฝีมือเอง”

เออร์บักมองมาด้วยความใสซื่อ และถามออกมาว่า “ตอนเย็นยังจะกินปลากระทะกันอีกเหรอ?”

เหมือนกับคนผิวขาวส่วนใหญ่ เออร์บักไม่สามารถทานปลาที่มีก้างเยอะได้มากนัก แม้ว่าเขาจะสามารถใช้ตะเกียบได้ แต่ก้างปลาของลูกปลาค่อนข้างเล็ก เขาทานปลาชนิดนี้แล้วรู้สึกเปลืองแรงเหลือเกิน

เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จ บัตเลอร์ก็บินกลับนิวยอร์กทันที นอกจากนี้ยังใช้เครื่องบินขนส่งอาหารทะเลที่คุณภาพดีที่สุดไปเพื่อขายในราคาสูงอีกด้วย ส่วนที่เหลือนั้นก็ใช้เรือขนส่งแบบเร็วส่งกลับไป อันที่จริงแล้วนิวยอร์กไม่ได้อยู่ไกลกับนครเซนต์จอห์นมากนัก

สิ้นเดือนมิถุนายน ฉินสือโอวได้รับหมายศาลจากศาลฎีกาแห่งนิวฟันด์แลนด์ว่าเขาจะต้องปรากฏตัวในศาลอีกครั้งในฐานะพยาน คดีใช้ระเบิดในการตกปลาของลินตันและวัยรุ่นทั้งสี่ที่ในที่สุดศาลอุทธรณ์ก็รับฟ้อง ตอนนี้มาถึงการตัดสินขั้นสุดท้ายแล้ว

ระบบการเมืองและกฎหมายของแคนาดาค่อนข้างยุ่งเหยิง เพราะมีรากฐานมาจากทั้งกฎหมายของอังกฤษ ฝรั่งเศสและอเมริกา สามประเภทนี้รวมเข้าด้วยกัน เพราะว่าพวกเขาเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ และผู้อพยพที่ควิเบกส่วนใหญ่ก็เป็นชาวฝรั่งเศสและเพื่อนบ้านอย่างอเมริกาก็กลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่สุดในปัจจุบัน

ระบบของศาลในแต่ละรัฐไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นที่นิวฟันแลนด์จะมีศาลอยู่สองระดับ ศาลชั้นต้นคือศาลรัฐ หน้าที่ของพวกเขาคือการจัดการคดีแพ่งและคดีอาญาเป็นส่วนใหญ่ และคดีใช้ระเบิดเพื่อการตกปลาในครั้งนี้ถือว่าเป็นคดีอาญา

ศาลชั้นต่อว่าคือศาลฎีการัฐ ในความหมายหนึ่งคือ หน้าที่ส่วนใหญ่ของพวกเขาคือการดูแลคดีแพ่งและคดีอาญาที่ร้ายแรง

นอกจากศาลฎีการัฐแล้วยังมีศาลที่อยู่เหนือกว่าขึ้นไปคือศาลอุทธรณ์ รับผิดชอบในการรับฟังคำอุทธรณ์จากศาลฎีการัฐ ตามธรรมเนียมของคนท้องถิ่นแล้ว พวกเขาชอบเรียกศาลอุทธรณ์ว่าศาลฎีกาแห่งรัฐ

ศาลอุทธรณ์ของนิวฟันแลนด์ยังคงอยู่ที่นครเซนต์จอห์น ในกรณีที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ นครเซนต์จอห์นถือเป็นรัฐใหญ่เพียงรัฐเดียวของที่นี่ แทบจะทุกอย่างที่เกี่ยวกับเมืองนี้จะอยู่ที่นครเซนต์จอห์นเกือบหมด แต่แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ นครเซนต์จอห์นก็ไม่ใช่เมืองใหญ่

ฉินสือโอวและพวกชาวประมงเข้าไปเป็นพยานในศาล พวกชาวประมงต่างพากันแต่งตัวอย่างดี พวกเขาทุกคนสวมชุดสูท เบิร์ดพูดกลั้วหัวเราะว่า “พวกนายดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาเลย ฉันอยากจะถ่ายรูปพวกนายไว้สักสองสามรูปจริงๆ”

บลูลูบเคราสั้นๆ ที่เหมือนกับลวดเหล็กของตัวเองแล้วยิ้มออกมา “อย่ามาไร้สาระ บิ๊กเบิร์ด ตอนนี้พวกเราเป็นชนชั้นสูง จำเป็นต้องถ่ายรูปเสียหน่อย ฉันจะอัปขึ้นทวิตเตอร์ จะต้องเท่มากแน่ๆ”

“คนเขาจะคิดว่านายเป็นผู้ก่อการร้ายแล้วจะจับนายดำเนินคดีและสั่งจำคุกมากกว่า” แลนซ์หัวเราะออกมาเสียงดัง

คนอื่นๆ ก็พากันหัวเราะออกมาเช่นกัน บลูพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “ฉันออกจะดูเหมือนผู้ดี พวกนายนี่พูดจาไร้สาระจริงๆ!”

ซีมอนสเตอร์กำลังทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ชาร์คถามเขาว่าคิดอะไรอยู่ เขาเลยตอบออกมาว่า “อันที่จริง ตอนนี้พวกเราก็เป็นชนชั้นสูงจริงๆ นะ พวกนายไม่ได้คำนวณรายได้ต่อปีของตัวเองใช่ไหม? หากมองตั้งแต่รายได้ ผู้ผดุงความยุติธรรมที่มาถึงเมื่อกี้ไม่ได้มีรายได้สูงกว่าฉันใช่ไหม?”

เงินเดือนของเจ้าหน้าที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้สูง พวกเขาได้รับการแต่งตั้งมาจากรัฐบาลกลาง ศาลอุทธรณ์ไม่ได้เป็นศาลที่มีอำนาจสูงสุด และผู้พิพากษาก็ไม่ได้มีอำนาจมากที่สุด รายได้ของพวกเขาขึ้นอยู่กับระบบศาลกลาง

ในแคนาดา ผู้พิพากษาและทนายความอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีรายได้สูง ปกติแล้วชาวประมงธรรมดาจะได้เงินเพียงเศษเสี้ยวของพวกเขา แต่ชาร์ค ซีมอนสเตอร์พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงชาวประมงธรรมดา การได้อยู่มากับฉินสือโอวนับว่าเป็นความโชคดีของพวกเขา เงินปันผลจากหนึ่งไตรมาส ก็เท่ากับชาวประมงธรรมดาที่ทำงานมาทั้งปีแล้ว

ดังนั้น คนของฟาร์มปลาไม่ว่าจะเป็นทหารหรือว่าชาวประมง ต่างก็พากันปกป้องผลประโยชน์ของฟาร์มปลาเป็นพิเศษ

พวกเขารู้ว่ารายได้ของตัวนั้นไม่สามารถเทียบกับของฉินสือโอวได้ และไม่สามารถเทียบได้กับรายรับของฟาร์มปลา แต่นอกจากฉินสือโอว นอกจากฟาร์มปลาต้าฉินแล้ว พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาได้รับเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง

ดังนั้น เรื่องของฟาร์มปลาทุกเรื่อง พวกเขาก็คิดว่าเป็นเรื่องของตัวเอง ในใจของพวกเขาต้องการให้ฟาร์มปลายังคงดำเนินกิจการไปได้ด้วยดีต่อไป

ชาร์คมองหน้าซีมอนสเตอร์อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วถามว่าปีที่แล้วเขาได้รับเงินเท่าไหร่ ซีมอนสเตอร์ถลึงตาใส่เขาแล้วบอกให้เขาพูดก่อน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มทะเลาะกัน…

ไม่นานผู้พิพากษาก็มาถึง คนทุกคนพากันยืนขึ้น และการพิพากษาก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

เหมือนกันกับครั้งที่แล้ว ฉินสือโอยืนยันว่าเยาวชนอย่างลินตันไม่เพียงแต่จะยิงวาฬในฟาร์มปลาของเขาเท่านั้น และยังคิดจะจับเต่ามะเฟืองอีกด้วย

การกระทำของฉินสือโอวคือการทำลายชื่อเสียงของพวกเขา การทำแบบนี้ค่อนข้างโหดร้าย แต่จะให้ทำอย่างไร การกระทำของเด็กวัยรุ่นพวกนี้ที่ฆ่าวาฬไม่โหดร้ายเหรอ? อีกอย่าง ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะฉินสือโอวไปห้ามไว้ แล้วปล่อยให้พวกเขาเจอเข้ากับเต่ามะเฟือง แบบนั้นพวกเขาจะปล่อยเต่ามะเฟืองผ่านไปโดยไม่ทำอะไรอย่างนั้นเหรอ?

ทนายความที่พ่อของลินตันจ้างมาเก่งกาจมาก ไม่เสียแรงที่เป็นหนึ่งในเสาหลักของสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ฉินสือโอวที่กล่าวข้อหาเรื่องเกี่ยวกับการล่าเต่ามะเฟืองแล้ว ยังถูกเขาหักล้างได้ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถล้างข้อกล่าวหาเรื่องการใช้วัตถุระเบิดประเภทธนูที่ผิดกฎหมายได้

สุดท้ายศาลอุทธรณ์ก็ยึดคำพิพากษาเดิม ชายหนุ่มทั้งสี่ที่เป็นผู้ต้องหาร้องไห้ออกมาที่ชั้นศาล อารมณ์ของแต่ละคนหดหู่ไปตามๆ กัน

ตอนแรกพวกเขายังไม่เคยได้ลิ้มรสรสชาติของการติดคุก ดังนั้นเมื่อขึ้นศาลครั้งแรกเลยมีความหยิ่งผยอง ทุกวันนี้พวกเขาถูกกักตัวอยู่ที่ศูนย์กักกัน พวกเขาได้สัมผัสกับความเจ็บปวดในการสูญเสียอิสรภาพ อีกทั้งวัยรุ่นทั้งสี่คนยังเป็นคนหน้าตาดี ดอกเบญจมาศงามมีแนวโน้มว่าจะยังผลิบาน พวกเขาคงไม่สามารถทำตัวหยิ่งผยองได้อีก

การขึ้นศาลในครั้งนี้ พ่อแม่ของวัยรุ่นทั้งสี่คนต่างก็มากันหมด เมื่อผู้พิพากษาประกาศคำตัดสินครั้งสุดท้าย ชายวัยกลางคนผู้มีท่าทีสง่างามก็ยืนขึ้นมาด้วยความโกรธและตะโกนออกมาว่า “ไม่! พวกเราไม่ยอมรับคำตัดสินนี้! ผมจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป!”

ใช่แล้ว พวกเขาสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อได้ ต่อไปยังมีศาลฎีกาของแคนาดาอยู่ ศาลนี้จะรับคำอุทธรณ์หลังจากที่ผ่านคำตัดสินของศาลอุทธรณ์แล้ว แต่การพิจารณาคดีจะถือเป็นที่สิ้นสุดทันที หากคำตัดสินยังเป็นแบบเดิม วัยรุ่นทั้งสี่คนจะไม่สามารถหนีจากการเข้าคุกได้

อีกอย่างรัฐบาลประจำรัฐและรัฐบาลกลางยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษและศาลพิเศษขึ้นมาด้วยจำนวนหนึ่ง พวกเขาสามารถรับเรื่องอุทธรณ์ครั้งที่สองได้จำนวนหนึ่ง

เพียงแค่คดีสามารถพลิกกลับคำพิพากษาได้ เนื่องจากกระทำที่เลวร้ายเกินไป

หลังจากที่เลิกศาล ฉินสือโอวกับพวกชาวประมงที่เดินออกมาพลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้น ถูกคนคนหนึ่งหยุดพวกเขาไว้ คนคนนั้นคือพ่อของลินตัน ชไนเดอร์ วอเทอเรนซ์

เจ้าของโรงงานเหล็กคนนี้ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนก่อนหน้านี้ เขาใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยมองมายังฉินสือโอว แล้วพูดขึ้นว่า “คุณฉิน จะไม่มีที่ว่างสำหรับการประนีประนอมหน่อยเหรอ? คุณก็รู้ ถ้าหากพวกเราไม่ทำอะไรเลย เด็กที่น่าสงสารพวกนี้ก็จะติดคุกนะ!”

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท