ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1249 ผู้กำกับเลี้ยงอาหาร

บทที่ 1249 ผู้กำกับเลี้ยงอาหาร

เมื่อได้ตกลงปากเปล่ากับนิโค ตู้แล้ว ฉินสือโอวก็จับมือกับเขา บอกว่าเขากลับไปแล้วจะรีบเตรียมลูกปลาค็อดให้ หลังเตรียมเสร็จแล้วจะส่งให้เขาทางเรือ

นิโค ตู้ดีใจมาก บอกว่ากลับไปจะรีบเตรียมลูกกุ้งให้ด้วยเหมือนกัน และจะเตรียมและส่งให้เขาให้เร็วที่สุดด้วย

ทางฝั่งคาร์เตอร์โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาดึงนิโค ตู้ไปหาแมทธิว จิน บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ให้ฟังรอบหนึ่ง แล้วโวยวายออกมาว่า “นี่มันกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว! ท่านประธาน พวกเขากำลังกลั่นแกล้งผม! ผมจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน! ไม่ยอมแน่นอน!”

หลังแมทธิว จินฟังอย่างละเอียดแล้ว บอกให้เขาหุบปากแล้วก็ถามความเป็นมาของเรื่องจากนิโค ตู้ หลังจากเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “เรื่องนี้เป็นปัญหาอย่างไร? ผมพูดไม่ชัดเจนเหรอครับ? การประมูลครั้งนี้ก็คืองานนำเสนอสินค้า ทุกคนสามารถทำการแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระหลังจบงาน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ทรัพยากรมีการหมุนเวียนนะครับ”

คาร์เตอร์พูดอย่างหัวเสียว่า “แต่ว่าทำไมราคาลูกกุ้งที่ขายให้ผมถึงแพงขนาดนี้ แต่เจ้าหมอนี่กลับขายให้คนจีนคนนั้นในราคาที่ต่ำขนาดนั้นล่ะ? ถ้าหากว่าไม่มีความยุติธรรม งั้นงานประมูลจะมีประโยชน์อะไรครับ?”

แมทธิว จินอธิบายให้เขาฟังอย่างใจเย็นว่า “ผมบอกไปแล้ว จุดประสงค์ของงานประมูลคือการเพิ่มการหมุนเวียนของทรัพยากรทางทะเล ส่วนเรื่องยุติธรรมหรือไม่นั้น ผมเป็นคนจัดงานประมูลครั้งนี้ขึ้นมา ผมไม่คิดว่าจะมีใครบังคับให้ใครเคาะราคาซื้อขายกันนะครับ”

คาร์เตอร์จ้องมองแมทธิว จินด้วยความอึ้ง เขารู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ชอบมาพากล แต่ว่าหาทางตอบกลับไปไม่เจอ จึงทำได้แต่พูดว่า ‘ไม่ยุติธรรม’

แมทธิว จินยักไหล่อย่างเลือกไม่ได้ เขาถามนิโค ตู้ว่า “คุณตู้ คุณคิดว่างานประมูลครั้งนี้เป็นอย่างไรครับ?”

นิโค ตู้พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “สุดยอดที่สุดครับ ผมไม่ใช่คนที่ชอบพูดคำพูดสวยหรู แต่ตอนนี้ผมจำเป็นต้องพูดครับ คุณประธาน พวกคุณได้ทำเรื่องดีเรื่องหนึ่งให้กับประชาชนแล้วครับ พวกเราควรจะทำแบบนี้กันตั้งนานแล้ว ให้ทรัพยากรหมุนเวียน ให้ทุกคนสามารถได้ใช้เงินที่น้อยกว่าซื้อทรัพยากรที่ดีกว่า!”

คำพูดของเขาครั้งนี้เป็นคำที่มาจากใจจริงทั้งนั้น งานประมูลในครั้งนี้ นิโค ตู้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ไม่เพียงแต่เจอเจ้างั่งที่ให้ราคาลูกกุ้งที่สูงจนไม่คาดคิดเท่านั้น ยังสามารถได้ลูกปลาค็อดที่ขึ้นชื่อของฟาร์มปลาต้าฉินในราคาถูกอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดมาก่อนทั้งนั้น!

เมื่อได้ยินคำพูดของนิโค ตู้แล้ว คาร์เตอร์ก็ลมจุกอกจนแทบจุกตายทันที สุดท้ายเมื่อเขาเห็นแมทธิว จินไม่สนใจตัวเอง จึงพูดออกมาอย่างขี้โกงว่า “ถ้าหากไม่สามารถหาความยุติธรรมให้ผมได้ งั้นคุณประธานครับ ผมขอปฏิเสธรายการซื้อของผมเมื่อกี้ครับ”

แมทธิว จินขยับแว่นไปมา แล้วพูดว่า “ตามกฎหมายแล้ว เรื่องนี้สามารถทำได้ แต่ว่าตามกฎของงานประมูลของพวกเราสภาประมูลแล้ว ต่อไปคุณจะเสียสิทธิ์การเข้าร่วมงานประมูลที่จัดขึ้นโดยกรมประมงนะครับ”

พูดจบ เขาส่งสายตาเป็นนัยว่าให้ไปคิดเอาเองให้กับคาร์เตอร์แล้วก็จากไป จากนั้นไม่นานก็มีการแถลงข่าววิเคราะห์งานประมูลครั้งนี้ออกมา เขาที่เป็นเจ้าของฟาร์มปลาก็ต้องเข้าร่วมด้วยเหมือนกัน

คาร์เตอร์ยืนอยู่ที่นั่นอย่างโดดเดี่ยว รู้สึกว่าทั้งโลกเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ใจจริงแล้วเขาเองก็ไม่อยากจ่ายเงินซื้อกุ้งขาวที่ไม่มีประโยชน์พวกนั้นเลย หากว่าเป็นเมนล็อบสเตอร์ก็ว่าไปอย่าง อย่างน้อยราคาของเมนล็อบสเตอร์ในตอนนี้ก็สูงมาก แต่กับกุ้งขาวนั้นจะทำประโยชน์ให้เขาอย่างไร?

แต่ความคิดที่จะไม่จ่ายเงินก็แค่คิดเท่านั้น งานประมูลของกรมประมงในครั้งนี้เป็นกิจกรรมสำคัญที่กรมประมงจัดขึ้นในปีนี้ ในงานประมูลไม่มีผลิตภัณฑ์ทางทะเลชิ้นไหนเลยที่ไม่มีคนประมูล หลังจบงานก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ผิดคำพูด หากว่าเขากลายเป็นจุดดำในนั้นแล้ว นั่นก็คือการหาเรื่องกับกรมประมงอย่างรุนแรง

เขาสามารถไม่เข้าร่วมงานประมูลของกรมประมงครั้งต่อไปได้ เขายังสามารถหาเรื่องกับแมทธิว จินได้ด้วย แต่เขาไม่สามารถทำผิดกับกรมประมงได้ ไม่อย่างนั้นต่อไปงานต่างๆ ในฟาร์มปลาของเขาจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เลย

เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับฉินสือโอว เขาเข้าร่วมงานประมูลแล้วก็เตรียมจะกลับฟาร์มปลา ก่อนจะกลับไปเขาได้ไปบอกลากับคาเมรอนก่อน คาเมรอนกำลังสั่งการให้ตากล้องทำการเก็บภาพท่าเรือบาสก์ไปวิเคราะห์อยู่ เมื่อเห็นฉินสือโอวมาแล้วก็ให้เขารอสักพัก

คาเมรอนยุ่งกับงานต่ออีกหนึ่งชั่วโมงกว่า จึงจะมาหาฉินสือโอวพร้อมกับความรู้สึกเสียใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อกี้เป็นการเก็บภาพที่ค่อนข้างสำคัญ ผมไม่สามารถปลีกตัวมาได้ มีเรื่องอะไรหรือครับ?”

ฉินสือโอวเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว จึงพูดเข้าประเด็นทันที บอกไปว่าเขาเตรียมจะกลับฟาร์มปลาแล้ว

คาเมรอนบอกว่าจะไปกับเขาด้วย “ทานมื้อกลางวันกันก่อนค่อยไปแล้วกันนะครับ? ผมรู้มาว่าที่นี่มีชาวฝรั่งเศสมาเปิดร้านอาหารที่ดีมากเลย ชิ้นปลาค็อดผัดขิงกรอบกับผัดผักสไตล์บาสก์ของพวกเขานั้นอร่อยมากเลย นอกจากนั้น ถ้าคุณชอบกินตับห่านแล้วล่ะก็ ต้องมาลองสลัดตับห่านเสิร์ฟพร้อมผลไม้ของร้านนี้นะครับ”

ผู้กำกับใหญ่เชิญทั้งที ฉินสือโอวจึงต้องให้เกียรติ

ร้านอาหารมีชื่อว่าร้านอาหารแซงปิแยร์ ชื่อดังมากในย่านนี้ เป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสไตล์ของฝรั่งเศสในศตวรรษที่สิบแปด ตกแต่งร้านแบบเก่าแก่แต่อบอุ่น

ทั้งร้านมีโต๊ะอยู่แค่แปดตัวกับห้องพิเศษหนึ่งห้อง เมื่อเถ้าแก่เห็นคาเมรอนเดินเข้ามาแล้ว ก็รีบพาพวกเขาไปยังห้องพิเศษทันที พร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ผมได้เตรียมห้องนี้ไว้ให้คุณมาตลอดเลยครับ คุณคาเมรอน เป็นเกียรติมากที่ได้ต้อนรับคุณอีกครั้ง”

คนดังก็ดีแบบนี้ล่ะ ฉินสือโอวเดินเข้าไปในห้องพิเศษมองดูทีหนึ่ง ผนังรอบด้านล้วนเป็นกรอบรูปสภาพใหม่ มีทั้งรูปของคาเมรอน ภาพโปสเตอร์ของภาพยนตร์ที่เขาเป็นคนผู้กำกับ เป็นรูปที่ใหญ่ที่สุดเป็นรูปหมู่ของเขากับร้านอาหารนี้

คาเมรอนเริ่มจากสั่งกาแฟสองแก้วกับขนมหวานจำนวนหนึ่งก่อน เถ้าแก่ถามฉินสือโอวว่าต้องการสั่งอะไร พร้อมกับให้คำแนะนำว่า “หากว่าคุณมาครั้งแรก แนะนำให้คุณลองขนมม้วนนมกับขนมปังฝรั่งเศสของเรานะครับ เป็นขนมหวานขึ้นชื่อของร้านเราครับ”

ฉินสือโอวพยักหน้าตกลง เขาไม่เลือกกิน ขอแค่รสชาติอย่าแปลกมากเหมือนกิวิอักที่เป็นสูตรลึกลับของชาวเอสกิโม เขาก็กินได้หมด

ระหว่างดื่มกาแฟ คาเมรอนพูดออกมาด้วยเสียงทอดถอนใจประโยคหนึ่งว่า “นึกไม่ถึงว่ามื้อแรกที่ผมเลี้ยงอาหารคุณ จะเป็นที่นี่นะครับ”

ฉินสือโอวก็พูดด้วยเสียงทอดถอนใจยิ่งกว่า เขาพูดว่า “ไม่คิดว่าผมจะได้มาทานข้าวแบบใกล้ชิดขนาดนี้กับไอดอลนะครับ” ระหว่างพูดเขาก็หยิบมือถือออกมาแล้วเปิดกล้อง “มาครับ ผู้กำกับ ยิ้มทีหนึ่ง พวกเรามาถ่ายรูปคู่กันอีกสักรูป…”

คาเมรอน “…”

ระหว่างทานอาหารกัน คาเมรอนถามเขาเกี่ยวกับฟาร์มปลาและมหาสมุทร ฉินสือโอวพบว่าเขาถามได้มืออาชีพมาก จึงพูดออกไปด้วยความแปลกใจว่า “พูดจริงนะครับ คุณคาเมรอน การศึกษาด้านมหาสมุทรของคุณนั้นทำให้ผมทึ่งจริงๆ นะครับ คำถามที่คุณถามมาแต่ละอย่างมีความเป็นมืออาชีพสูงมากเลย”

คาเมรอนหัวเราะแล้วพูดว่า “แน่นอนครับ ความรู้เกี่ยวกับมหาสมุทรของผมต้องมากกว่าความรู้เกี่ยวกับภาพยนตร์ของคุณแน่นอน ไม่ใช่เหรอครับ?”

จุดนี้ฉินสือโอวจำเป็นต้องยอมรับ เขามีความรู้เรื่องภาพยนตร์อะไรบ้าง? แต่ทว่าเขาสงสัยมากว่าทำไมคาเมรอนถึงคิดอยากจะมาทำภาพยนตร์เกี่ยวกับภัยในมหาสมุทร ผลงานก่อนหน้าอย่างไททานิก ก็ถือว่าเป็นที่สุดของภาพยนตร์แนวนี้แล้ว คาเมรอนไม่น่ามีความจำเป็นที่จะมาถ่ายแนวนี้อีกนี่นา?

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถือว่าค่อนข้างใกล้ชิดกันแล้ว คำถามแบบนี้เขาสามารถถามได้ ดังนั้น ฉินสือโอวจึงยกคำถามนี้ขึ้นมา

เมื่อได้ยินคำถามของเขา คาเมรอนนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บางทีคุณอาจจะไม่เชื่อนะครับ ฉิน ภาพยนตร์เกี่ยวกับมหาสมุทรนั้น เป็นแนวที่ผมอยากถ่ายทำมาตลอดเลย”

…………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท