ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1250 ความฝันกับมหาสมุทร

บทที่ 1250 ความฝันกับมหาสมุทร

จากนั้นคาเมรอนได้พูดแนะนำเกี่ยวกับกฎเกณฑ์บางส่วนของการทำภาพยนตร์ ในด้านการเลือกหัวข้อในการทำภาพยนตร์ จุดสำคัญที่สุดคือต้องคำนึงถึงความต้องการของผู้จัดกับผู้กำกับ

สำหรับผู้กำกับทั่วไปแล้ว จะเริ่มจากการมีบทละครที่เหมาะสมก่อน หลังจากผู้จัดสนใจแล้ว จะทำการเลือกผู้กำกับมาทำการถ่ายทำ จากนั้นก็คือการเลือกผู้แสดงและสถานที่ถ่ายทำ

สำหรับผู้กำกับชื่อดังระดับคาเมรอนแล้ว จะไม่เหมือนกัน เขาจะทำบทละครออกมาก่อน ค่อยไปหาผู้จัดร่วมลงทุน หรือก็คือว่า ขอแค่เงินไม่ขัดสน คาเมรอนอยากถ่ายทำอะไรก็ทำได้ตามใจ

สำหรับวงการภาพยนตร์แล้ว คาเมรอนถือว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะ เขาไม่เคยเข้าเรียนสาขาการถ่ายทำภาพยนตร์มาก่อน ความสามารถในด้านการถ่ายภาพยนตร์ของเขานั้นเกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง หลังจากได้เข้าร่วมการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘แรมโบ้ นักรบเดนตาย 2’ แล้วตัวเขาก็ได้ทำภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเช่น ‘เอเลี่ยน’ ‘ฅนเหล็ก’ และ ‘ไททานิก’ ออกมา

ระหว่างที่ช้อนคนกาแฟอยู่ คาเมรอนยิ้มแล้วพูดว่า “ผมเคยเป็นคนที่ชื่นชอบในการเป็นวีรบุรุษมาก ดังนั้นผมจึงเข้าร่วมการเขียนบท ‘แรมโบ้ นักรบเดนตาย’ ด้วย” แต่หลังจากนั้นผมก็พบว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำ ผมควรจะทำอะไรที่ผมชอบ และมหาสมุทรก็คือสิ่งที่ผมชอบ”

ฉินสือโอวยักไหล่ พูดว่า “งั้นพวกเราก็มีความชอบเดียวกัน ผมก็ชอบมหาสมุทรเหมือนกัน”

คาเมรอนส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่เหมือนกันหรอก คุณชอบมหาสมุทรเพราะตัวตนที่แท้จริงของมัน ผมชอบมหาสมุทรเพราะชอบความน่าพิศวงของมัน ชอบสิ่งที่ยังไม่ถูกค้นพบของมัน นี่คือพลังชีวิตในการเขียนบทของผม”

เขาไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แต่เปลี่ยนเรื่องพูดแทน เขาถามว่า “ตอนเรียนมหาวิทยาลัยคุณชอบอ่านนิยายประเภทไหนที่สุดครับ?”

ฉินสือโอวคิดสักพัก พูดว่า “น่าจะเป็นแนวจอมเทพนะครับ? เป็นวรรณกรรมในอินเทอร์เน็ตของจีนประเภทหนึ่ง น่าสนใจมากครับ”

ระหว่างพูด ก็มีความคิดโผล่ขึ้นมาในใจ “เฮ้ เพื่อน พวกเรามาร่วมกันถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับจอมเทพกันดีไหมครับ? ประเทศของผมมีเนื้อหาที่เหมาะสมเยอะแยะเลย ผมสามารถช่วยเหลือคุณด้านหาข้อมูลได้นะ ว่าอย่างไรครับ?”

คาเมรอนหัวเราะออกมา แต่ไม่ได้พูดต่อคำพูดเขา เขายังคงพูดถึงหัวข้อของตัวเองต่อ “ตอนผมเรียนอยู่นั้นชอบอ่านนิยายไซไฟที่สุด ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่บนรถโรงเรียนหรือเวลาพักระหว่างคาบเรียน ขอแค่มีเวลาผมก็จะอ่านนิยายไซไฟ”

ฉินสือโอวพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจ คาเมรอนเป็นคนที่เกิดในศตวรรษที่แล้วในปี 50 ในช่วงปี 60 และปี 70 ที่เขาเข้าเรียนนั้น เพราะความทั่วถึงของโทรทัศน์รับสัญญาณดาวเทียม ทำให้แคนาดาเข้าสู่ช่วงการระเบิดของความรู้ครั้งใหญ่ เขาเคยได้ยินพ่อแม่ของวินนี่คุยกัน พวกเขาก็เหมือนกับคาเมรอน ในช่วงวัยรุ่นพวกเขาก็หลงใหลในนิยายไซไฟเหมือนกัน

“การสัมผัสกับนิยายไซไฟทำให้ผมคิดได้ว่า เอเลี่ยนไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่แต่นอกโลกเท่านั้น มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่บนโลกของเราด้วย ดังนั้นตอนอายุ 15 ปี ผมจึงตัดสินใจที่จะเป็นนักดำน้ำ คุณรู้ไหมว่าผมมีความคิดอย่างไร?” คาเมรอนถามพร้อมรอยยิ้ม

ฉินสือโอวตอบอย่างคาดเดาว่า “คุณคิดว่าเอเลี่ยนอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลลึก?”

คาเมรอนหัวเราะร่าพร้อมพยักหน้า ถามว่า “ผมในตอนนั้นโง่มากใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวบอกว่า “ไม่ครับ บางทีใต้ทะเลลึกอาจมีเอเลี่ยนอาศัยอยู่จริงๆ นะครับ แม้ว่าจะไม่มีเอเลี่ยน แต่ก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่มนุษย์ไม่เคยพบมาก่อน หากว่าพวกเราได้ทำความรู้จักใต้ทะเลอย่างถ่องแท้แล้ว จะต้องพบอะไรที่แปลกใจมากแน่”

มีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอยู่ ท้องทะเลก็คือสวนหลังบ้านของเขา ฉินสือโอวทำการวนเวียนอยู่แต่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือที่เป็นเพียงพื้นที่เล็กน้อยของมหาสมุทรทั้งหมดเท่านั้น การได้คุยกับคาเมรอนแบบนี้ การได้ฟังเขาเล่าถึงการคาดเดาเกี่ยวกับท้องทะเล ฉินสือโอวรู้สึกว่าบางทีตัวเองน่าจะออกไปน่านน้ำอื่นๆ ดูบ้าง

เถ้าแก่เริ่มเสิร์ฟอาหาร ระหว่างทานอาหาร คาเมรอนก็พูดเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กและวัยรุ่นของเขา

ฉินสือโอวรู้ว่าผู้กำกับใหญ่คนนี้คือคนแคนาดา แต่ไม่รู้ว่าเขาเกิดในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งในรัฐออนแทรีโอ ที่อยู่ห่างจากทะเลแถบนี้เพียง 6 ไมล์เท่านั้น

หลังได้รู้จักโลกนี้ผ่านทางโทรทัศน์และนิยายไซไฟแล้ว คาเมรอนก็ได้เกิดความคาดหวังกับมหาสมุทรขึ้นมา ตอนเด็กฉินสือโอวก็เต็มไปด้วยความคาดหวังกับมหาสมุทรเหมือนกัน แต่พ่อของเขาไม่ยอมให้เขาลงแม้กระทั่งแม่น้ำ ตอนสมัยประถมทุกครั้งที่เขาแอบไปจับปลาและอาบน้ำในแม่น้ำ ก็หนีไม่พ้นถูกลงโทษอย่างหนักทุกครั้ง

เทียบกันแล้ว คาเมรอนโชคดีกว่ามาก พ่อของเขาสนับสนุนความฝันที่จะสำรวจมหาสมุทรของเขา แถมยังหาโปรแกรมสอนดำน้ำในเมืองบัฟฟาโลที่อยู่ชายแดนทะเลฝั่งตรงข้ามของรัฐนิวยอร์กในอเมริกาให้เขาอีกด้วย หลังจากนั้นเขาก็ได้รับใบรับรองการดำน้ำจากสระว่ายน้ำใหญ่ในบัฟฟาโล

สมัยยังเด็ก เพราะความจำเป็นในงานของพ่อคาเมรอน พวกเขาจึงย้ายไปรัฐแคลิฟอร์เนียในอเมริกา แคลิฟอร์เนียมีแนวชายฝั่งทะเลที่ยาวมาก เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการดำน้ำในอเมริกา ที่นั่นคาเมรอนใช้ชีวิตวัยเด็กที่สุดวิเศษและได้กลายเป็นนักดำน้ำมืออาชีพที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง

หลังจากนั้นเขาก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เรียนจบและได้สัมผัสกับวงการภาพยนตร์ ภาพยนตร์ที่ทำให้คาเมรอนโด่งดังสุดขีดก็คือ ‘ไททานิก’ ภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้ผู้กำกับใหญ่ได้รางวัลออสการ์ในฐานะผู้กำกับยอดเยี่ยม และทำให้เขาได้รู้จักกับความพิศวงและความงดงามของมหาสมุทรอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้คาเมรอนรู้จักมหาสมุทรผ่านการดำน้ำ ทีวีและหนังสือ ตอนที่ถ่ายทำไททานิก ทีมงานเช่าเรือดำน้ำมาหนึ่งลำ คาเมรอนได้เข้าไปสู่พื้นที่ที่ไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อนผ่านเรือดำน้ำนั้น และได้สัมผัสกับสิ่งของมากมายในมหาสมุทร

และเพราะการค้นพบนี้ หลังจากถ่ายทำ ‘ไททานิก’ เสร็จแล้ว คาเมรอนก็หยุดอาชีพการถ่ายภาพยนตร์ของเขา แล้วไปร่วมกับกลุ่มสำรวจมหาสมุทรทันที จวบจนกระทั่งวันนี้ คาเมรอนก็ยังคงรู้สึกดีมากกับมหาสมุทร ภาพยนตร์ที่เขาถ่ายทำส่วนใหญ่จะเป็นแนวแฟนตาซี แล้วมหาสมุทรก็คือโลกแห่งแฟนตาซีที่สมบูรณ์แบบแห่งหนึ่ง

แม้การถ่ายภาพยนตร์ครั้งนี้จะเกี่ยวกับภัยพิบัติเหมือนกับ ‘ไททานิก’ แต่ว่าเป็นคนละแนวกัน ไททานิกเป็นภาพยนตร์แนวโศกนาฏกรรมความรัก แต่การถ่ายทำในครั้งนี้ เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับภัยพิบัติทะเลที่นำเสนอเรื่องการเป็นวีรบุรุษเป็นหลัก

ความคิดนี้ได้เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงของสองปีก่อน จากนั้นก็พอดีกับที่มีเหตุการณ์ช่วยเหลือเรือฮาวิซทในพายุ ตอนนั้นเรื่องนี้ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ใหญ่มาก คาเมรอนจึงเกิดไอเดียขึ้นมา ที่จะใช้ IP นี้มาทำภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

ดังนั้น จึงเกิดความคิดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง ‘วีรบุรุษในทะเลคลั่ง’ ขึ้นมา และเกิดการร่วมมือกันของคาเมรอนและฉินสือโอว ก่อนหน้านี้ที่เขาตอบรับการเชิญของเคอร์ไปร่วมรับประทานอาหารค่ำกับตระกูลสเตราส์ ก็เพื่ออยากจะทำความรู้จักกับฉินสือโอว เพื่อจะบรรลุการถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านตัวเขานั่นเอง

ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วขาดก็เพียงแต่ลมบูรพา ขอแค่นิมิตส์กลับไปร่วมทีม เขาก็สามารถถ่ายทำภาพยนตร์ได้แล้ว

ความจริงอาหารมื้อนี้ก็คือคาเมรอนต้องการเร่งฉินสือโอวนั่นแหละ เขาหวังว่านิมิตส์จะรีบเข้าร่วมทีมถ่ายทำให้เร็วที่สุด

กินอาหารของคนอื่นแล้วทำให้ใจอ่อน ตอนจากกันฉินสือโอวตบอกรับรองว่ากลับไปแล้วจะรีบหาทางส่งนิมิตส์ไปให้เขาที่ไมอามี

เมื่อได้คำรับรองจากเขาแล้ว คาเมรอนก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้ารู้ว่าข้าวมื้อเดียวก็จัดการปัญหานี้ได้ ทำไมผมถึงไม่เชิญคุณมาทานข้าวให้เร็วกว่านี้นะ?”

ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “ตอนนี้ก็ยังไม่สายครับ นิมิตส์เป็นนกที่ฉลาดมาก คุณเตรียมการให้พร้อมก็พอแล้วครับ การถ่ายทำที่เกี่ยวกับมันจะต้องเป็นได้อย่างราบรื่น ไม่มีการใช้เวลามากไปแน่นอนครับ”

…………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน