ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1229 วิวเมือง

บทที่ 1229 วิวเมือง

การใช้งานอุปกรณ์การบิน นอกจากเครื่องบินกระดาษแล้ว อย่างอื่นต้องอาศัยการทำงานอย่างขยันขันแข็งของคนหลายคนร่วมกัน เช่นเครื่องบินพาณิชย์ เฮลิคอปเตอร์ หรือการปล่อยบอลลูน

หลังจากที่อุปกรณ์ของบอลลูนพร้อมแล้ว คนหนึ่งกลุ่มสี่คน อีกกลุ่มหกคนก็เริ่มประกอบส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว

อย่างแรกคือการกระจายบอลลูนทั่วทั้งผืน ขั้นตอนนี้พวกเขาทำงานกันรวดเร็วมาก คนทั้งสี่คนใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็ทำงานนี้จนเสร็จ

ส่วนกลุ่มหกคนนั้นประกอบตะกร้าแขวน ขั้นตอนนี้ค่อนข้างวุ่นวาย เพราะว่าจำเป็นจะต้องติดตั้งตะกร้าแขวน ห้องนิรภัย เตาและเครื่องเป่าลมและอื่นๆ เข้าด้วยกัน

พวกเขาเป็นทหารผ่านศึกที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทั้งหมดเกือบจะเสร็จในเวลาเท่ากัน หลังจากนั้นพวกเขาก็ร่วมมือกันต่อตะกร้าเข้ากับถุงลมนิรภัยที่แขวนอยู่ด้านข้าง

ตอนนี้เองรถก่อสร้างคันเล็กที่ตามรถบรรทุกมาก็เริ่มทำงาน มันฉีดฮีเลียมเข้าไปยังถุงลมนิรภัย ขั้นตอนนี้เป็นไปอย่างช้าๆ ถุงลมนิรภัยเริ่มพองขึ้นอย่างช้าๆ และเริ่มลอยขึ้นเรื่อยๆ จนมันลอยสูงไปประมาณห้าถึงหกเมตร เครื่องเป่าลมที่อยู่ในตะกร้าเริ่มทำงาน ที่หัวเตาเผาก็เริ่มทำการพ่นไฟออกมาช้าๆ

ก๊าซเริ่มทำงานร่วมกับอากาศ บอลลูนลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อถุงลมนิรภัยลอยอยู่ในอากาศถึงจุดสูงสุด การเตรียมการก็ดำเนินการมาใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว

ฉินสือโอวมองไปยังตะกร้าที่แกว่งไปมาที่กำลังลอยขึ้นช้าๆ ในใจเขาก็ตื่นเต้นขึ้นมา เขาพูดว่า “ตอนนี้ผมสามารถขึ้นไปได้แล้วใช่ไหม?”

เขามองดูเวลา อันที่จริงก็ไม่ได้ใช้เวลามากเท่าไหร่ ไม่ถึงชั่วโมงครึ่งด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากนี่เป็นการปล่อยครั้งแรก หลังจากที่ประกอบตะกร้าเสร็จแล้ว จึงต้องตรวจสอบว่าไม่มีปัญหาอะไรก่อนแล้วค่อยเติมลมเข้าไปในถุงลมนิรภัย ภายในหนึ่งชั่วโมงก็สามารถลอยขึ้นฟ้าได้แล้ว

จอห์นสันส่ายหัวพลางพูดว่า “ไม่ได้ครับ คุณฉิน พวกเรายังจำเป็นต้องจะปรับอุปกรณ์เช่น จีพีเอสนำทาง โทรศัพท์ดาวเทียม สถานีวิทยุ ทั้งหมดตั้งค่อยๆ ปรับครับ หลังจากที่ไม่มีปัญหาแล้วพวกเราจะติดต่อไปยังพนักงานภาคพื้นดิน เมื่อเรียบร้อยหมดแล้วถึงจะขึ้นบินได้ครับ”

ฉินสือโอวพูดออกมาอย่างตกตะลึงว่า “ทำไมยุ่งยากขนาดนี้? ตอนที่ผมเห็นคำแนะนำ มันบอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าคนสองคนก็สามารถทำให้บอลลูนลอยขึ้นได้น่ะ?”

สองคนที่เขาบอกคือนักบินและนักบินผู้ช่วย สำหรับควบคุมบอลลูน

จอห์นสันส่ายหัว เขาพูดแนะนำว่า “สามารถปล่อยได้กับลอยได้เป็นสองเรื่องที่เป็นเรื่องดี! ในสายตามืออาชีพอย่างพวกเรา ต้องมีอย่างน้อยห้าคนถึงจะทำให้บอลลูนนั้นลอยขึ้นได้อย่างสมบูรณ์!”

“ทำไมเรื่องเยอะจัง?” ท่านชายฉินสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ตัวเองจะบังคับบอลลูนนี้

จอห์นสันยังคงพูดต่อไปว่า “ใช่แล้วครับ ค่อนข้างเยอะเลยครับ อย่างแรกคุณต้องมีนักบินและผู้ช่วยนักบิน อย่างที่สองคุณต้องมีเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินสองคน และต้องมีนักสุขอนามัยอีกหนึ่งคน ถ้าหากว่าเป็นบอลลูนทรงพิเศษ แบบนั้นก็ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินต้องมีถึงเก้าคนด้วยกัน!”

“ทำไมต้องมีนักสุขอนามัยด้วย?” ท่านชายฉินถามขึ้นมาอย่างทำอะไรไม่ถูก ตอนที่เขาหาข้อมูลในตอนแรกไม่เห็นมีแนะนำเรื่องนี้เลย

จอห์นสันหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “การเปลี่ยนแปลงระดับความสูงของการบินอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของความดัน อุณหภูมิ และความหนาแน่นของอากาศ สิ่งพวกนี้จะทำให้รู้สึกไม่สบาย ดังนั้นควรมีนักสุขอนามัยอยู่ด้วย เพื่อข้อมูลทางสรีรวิทยา เช่นติดตามความดันเลือด น้ำตาลในเลือด และไขมันในเส้นเลือด”

หลังจากการทดสอบผ่าน วิศวกรที่มาพร้อมกับจอห์นสันก็ยกนิ้วโป้งให้กับเขา ความหมายของเขาคือบอลลูนไม่มีปัญหา สามารถลอยขึ้นได้แล้ว

ฉินสือโอวถามออกมาว่า “ได้แล้วเหรอ?”

จอห์นสันยิ้มออกมา “ใช่ครับ เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดไม่มีปัญหา”

ฉินสือโอวพยักหน้าและเป็นคนนำขึ้นไปบนบอลลูนก่อน ข้างในมีชายวัยกลางคนสองคนรออยู่แล้ว พวกเขาคือนักบินและผู้ช่วยนักบิน

เมื่อเห็นฉินสือโอวเดินมายังบอลลูนอย่างเปิดเผย จอห์นสันก็พูดขึ้นว่า “คุณฉินช่างกล้าหาญเสียจริง ในคนที่ผมรู้จัก มีคนจำนวนน้อยที่กล้าขึ้นบอลลูนทันทีที่เห็นครั้งแรกทั้งที่ยังไม่ได้ทำการทดสอบการบินแบบคุณน้อยมาก”

เดิมที เวลาที่ฉินสือโอวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ นักบินของเขาก็จะวนเฮลิคอปเตอร์วนไปมาอยู่หลายครั้ง เพื่อเป็นการพิสูจน์แล้วว่าไม่มีปัญหาจากนั้นฉินสือโอวจึงจะถูกดึงขึ้นไป

แต่บอลลูนไม่เหมือนกับเฮลิคอปเตอร์ ตราบเท่าที่คุณทำตามกฎการทำงานของบอลลูนอย่างเคร่งครัด บอลลูนนี้ก็จะไม่เกิดปัญหาขึ้นแน่นอน เพราะว่าการที่บอลลูนลอยขึ้นได้นั้นเกิดจากก๊าซที่ถูกเผาไหม้จากระบบการเผาไหม้ ถ้าหากระบบการเผาไหม้ไม่สามารถผลิตความร้อนได้อีก บอลลูนก็จะกลายเป็นร่มชูชีพ จากนั้นก็จะร่อนลงมาช้าๆ ตามธรรมชาติ

แม้ว่าถังนิรภัยจะแตก แต่เนื่องด้วยวัสดุของมัน ตราบใดที่ถุงลมนิรภัยไม่ได้โดนขีปนาวุธ หรือฉีกขาดจากพายุทอร์นาโด แบบนั้นอย่างไรก็ไม่มีทางที่มันจะเกิดรูขนาดใหญ่ได้ การเป็นแบบนี้หัวเตาก็ยังคงจะผลิตความร้อนออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเติมเต็มก๊าซที่รั่วไหลออกไป และยังคงรับประกันได้ว่าบอลลูนจะลงจอดตามปกติ

แน่นอนว่า ถ้าหากไม่มีภัยธรรมชาติหรือภัยที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ถุงนิรภัยกลับแตกออกและในขณะเดียวกันเตาก็ไม่สามารถใช้งานได้ แบบนั้นคนที่อยู่ด้านบนจะเป็นอันตราย แต่ความน่าจะเป็นที่จะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการซื้อหวยแล้วถูกรางวัลเป็นพันล้านสักเท่าไหร่

ตอนนี้บอลลูนได้รับการรับรองว่าเป็นเครื่องบินที่ปลอดภัยที่สุดจากสหพันธ์การขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ฉินสือโอวรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกใช่ไหม?

อีกอย่าง ฉินสือโอวที่อยากขึ้นบอลลูนไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เป็นเพราะเขานำบางสิ่งบางอย่างมา…นั่นก็คือแบนเนอร์ขนาดยาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาที่จำเป็นจะต้องนำมาด้วย แบนเนอร์อันนี้จะต้องแขวนไว้ที่บอลลูน

เมื่อขึ้นบอลลูนมา นักบินทั้งสองคนก็เริ่มยุ่งขึ้นมาทันที คนหนึ่งสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินผ่านทางวิทยุสื่อสาร ส่วนอีกคนก็ตรวจสอบเครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็วในการลอยตัว เครื่องวัดอุณหภูมิ ระดับความดัน เครื่องวัดความเร็วลมอื่นๆ

เตาเริ่มทำการจุดไฟออกมา เปลวไฟขนาดใหญ่ยาวสองสามเมตรกำลังลุกไหม้เป็นเส้นตรง อากาศร้อนอันทรงพลังค่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นบอลลูนก็ค่อยๆ ลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว

จอห์นสันอธิบายให้ฉินสือโอวฟังว่า “พวกเรามีฮีเลียมไม่เพียงพอ เพราะว่านี่เป็นการปล่อยบอลลูนลูกนี้ครั้งแรก ต้องให้เวลามันปรับตัวเข้ากับความตึงเครียดก่อน ดังนั้นการบินครั้งนี้จึงต้องพึ่งเตาไฟ”

เชื้อเพลิงที่ใช้กับบอลลูนเอเอ็มรุ่นอาร์เกนเจอร์เอฟทูคือโพนเพนและก๊าซเหลว หัวเตาเป็นเตาแก๊สอัดพลังงานสูงที่มีความร้อนมากกว่าเตาแก๊สที่ใช้ในบ้านทั่วไปถึงห้าร้อยเท่า มันสามารถจุดไฟได้ตลอดเวลา และยังต้านทานพายุระดับแปดได้

ถ้าหากเกิดการหยุดทำการของเตาไฟก็ไม่ต้องกลัว บนบอลลูนยังมีระบบเผาไหม้สองระบบที่อยู่ในสถานะเตรียมพร้อมอยู่เสมอ สามารถเปิดใช้ได้ตลอดเวลา

อันที่จริงตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะปล่อยบอลลูน การบินเจ้าสิ่งนี้ควรทำตอนกลางวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือหนึ่งถึงสองชั่วโมงก่อนดวงอาทิตย์ตก โดยปกติแล้วจะต้องเป็นช่วงที่สงบที่สุดของวัน และเป็นช่วงที่กระแสลมเสถียรที่สุด

บอลลูนไม่ได้ถูกบังคับจริงๆ มันลอยไปตามแรงลม แต่ว่าเนื่องจากลมมีทิศทางและความเร็วต่างกันในแต่ละระดับความสูง นักบินสามารถเลือกระดับความสูงได้ตามความเหมาะสมตามทิศทางที่ต้องการสำหรับเที่ยวบินของตัวเอง

ตอนนี้ลมจากทางทิศเหนือกำลังดี เกาะแฟร์เวลตั้งอยู่ทางทิศใต้ของนครเซนต์จอห์น ทำให้สามารถบินได้อย่างสบายใจ นี่คือเหตุผลที่นักบินเลือกที่ปล่อยบอลลูนในช่วงเวลานี้ ไม่อย่างนั้นอาจจะขอความช่วยเหลือเพิ่มหากต้องการที่จะไปยังเกาะแฟร์เวล

ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยกลัวความสูง แต่เขานั่งเฮลิคอปเตอร์และใช้รถแทรกเตอร์ทางอากาศที่ฟาร์มปลาทุกวัน อาการกลัวความสูงของเขาจึงดีขึ้นมาก การลอยตัวของบอลลูนไม่ได้ถือว่าสูงมาก ในระดับนี้เขาสามารถรับมันได้

ในขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็ก้มลงมองด้านล่าง เขาเห็นนครเซนต์จอห์นค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ ใต้เท้าของเขา

นครเซนต์จอห์นเป็นเมืองท่า ถูกสร้างขึ้นริมทะเล ทำให้พื้นที่ภูมิประเทศไม่ราบเรียบ ในเมืองมีภูเขาน้อยใหญ่มากมาย บ้านบางหลังมีการสร้างที่เอียงเล็กน้อย เมื่อมองจากมุมสูง สิ่งนี้จะเห็นชัดขึ้นเป็นพิเศษ

………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท