ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1236 หู่เป้าตัวดูดเงิน

บทที่ 1236 หู่เป้าตัวดูดเงิน

วินนี่ได้รับเลือกให้เป็นนายกเทศมนตรีของเกาะแฟร์เวล ในที่สุดความฝันของฉินสือโอวก็กลายเป็นจริงแล้ว

พ่อและแม่ของฉินสือโอวยิ้มจนหุบปากไม่ลง แถมยังโทรศัพท์ไปหามิแรนดากับมาริโอ้เพื่อแจ้งข่าวนี้อีกด้วย จากนั้นพวกเขาก็ติดต่อมาหาฉินสือโอว แล้วเริ่มพูดเรื่องงานแต่งขึ้นมา “เสี่ยวโอว ตอนนี้พวกลูกหมั้นกันแล้ว ลูกก็มีแล้ว ต้องรีบแต่งงานแล้วหรือเปล่า”

“ใช่ เสี่ยวโอว อีกหน่อยวินนี่ต้องไปทำงานกับรัฐบาลแล้ว จะต้องยุ่งมากอย่างแน่นอน ถือโอกาสตอนที่เธอยังไม่ได้ทำงาน รีบจัดงานแต่งเถอะ”

ฉินสือโอวอธิบายอย่างใจเย็นว่า “พวกเรากำหนดวันเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ต้องรอเดือนตุลาคมถึงจะแต่งได้ ไม่ต้องรีบหรอกครับ อีกไม่นานแล้ว อีกแค่ฤดูเดียวเท่านั้น”

พ่อของฉินสือโอวจ้องตาเขม็งแล้วพูดว่า “ก็แค่งานแต่งงานเอง ทำไมแกถึงยืดเยื้อแบบนี้ล่ะ?”

ฉินสือโอวยิ้มขืนๆ ดึงรายชื่อยาวเหยียดในโทรศัพท์ออกมาแล้วพูดว่า “คนนี้คือเจ้าชายเฮนรี เจ้าชายคนรองของราชวงศ์อังกฤษ คนนี้คือประธานสภาการประมงและมหาสมุทรของแคนาดาคนปัจจุบัน แมทธิว จิน ส่วนคนนี้น่ะ เป็นรัชทายาทของราชวงศ์ในตะวันออกกลาง ส่วนคนนี้คือเจ้าหญิง…พอแล้ว นี่น่ะคือคนที่จะมาร่วมงานแต่งงาน ถ้าหากว่าผมแก้วันกะทันหัน แล้วคนอื่นจะทำอย่างไร? เวลาของพวกเขานั้นมีค่ามากแค่ไหน พ่อกับแม่รู้หรือเปล่าครับ?”

พ่อของฉินสือโอวปัดมือไปมา หัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “ลูกโม้ต่อไปเถอะ ทำไมไม่บอกว่าลูกเชิญโอบามามาร่วมงานด้วยเลยล่ะ?”

ฉินสือโอวพูดออกไปอย่างเหนื่อยใจว่า “ถ้าพ่อไม่เชื่อผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ว่าถึงโอบามาจะไม่มา แต่บุชมาด้วยแน่นอน ใช่ไหมบุช?”

เขาหันหลังไปตะโกนทีหนึ่ง นกอินทรีหัวขาวที่กำลังเกาะอยู่บนไม้แขวนเสื้อเพื่อจัดขนตัวเองอยู่มองมาที่เขาทันที จากนั้นก็ขยับปีกไปมาส่งเสียงร้องกรู๊ๆ แล้วบินมาหา

ฉินสือโอวจึงวิ่งไปหยอกเล่นกับบุชแทน พ่อกับแม่ของฉินสือโอวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง จึงได้แต่หารือกันต่อว่า “คืนนี้ไปถามวินนี่ว่าอยากกินอะไร เราจะทำของที่เธอชอบให้เธอกิน สะใภ้ที่ดีขนาดนี้ ต้องดูแลดีๆ หน่อย”

วินนี่ในตอนนี้ได้กลายเป็นศรีภรรยาอันดับหนึ่งของเซนต์จอห์นไปแล้ว การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในครั้งนี้ เนื่องด้วยตำแหน่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาะแฟร์เวลบวกกับการเข้าร่วมของแฮมเล็ตและแมคคาลลียน ทำให้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในเซนต์จอห์น วินนี่กลายเป็นนายกเทศมนตรีหญิงคนแรกของประวัติศาสตร์และดังเพียงชั่วข้ามคืน

สิ่งที่ทำให้เธอมีชื่อนั้นนอกจากเรื่องที่เป็นนายกเทศมนตรีหญิงคนแรกของเกาะแฟร์เวลแล้ว ยังเป็นเพราะประวัติที่ไร้ที่ติของเธอด้วย เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยที่เป็นมหาลัยหนึ่งเดียวในแคนาดา มหาวิทยาลัยสตรีเบรชชา หลังเรียนจบก็เข้าทำงานที่สายการบินแล้วกลายเป็นหัวหน้าแอร์โฮสเตสในสายการบินระหว่างประเทศโดยใช้เวลาสั้นที่สุด เธอมีความรู้และมีความสามารถอย่างล้นหลาม

แน่นอนว่า สิ่งที่ทำให้เธอได้รับความสนใจอย่างล้นหลามนั้นยังเป็นเพราะเธอหน้าตาดีและมีบุคลิกที่อ่อนโยนและสง่างามด้วย อย่างตอนที่ ‘นิวฟันแลนด์ไทม์’ ทำข่าวเรื่องของเธอก็บอกว่าเธอเป็นนายกเทศมนตรีที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่วน ‘เซนต์จอห์นแมททีเรียล’ ก็บอกว่าแค่เธอคนเดียวก็สามารถยกระดับภาพลักษณ์ของเมืองทั้งเมืองได้เลย แถมยังแนะนำให้เลือกเธอเป็นนักการทูตทางด้านภาพลักษณ์ของเซนต์จอห์นอีกด้วย

อีกเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมายของฉินสือโอวก็คือ ในข่าวที่ออกมานั้นข่าวของหู่จือกับเป้าจือก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าของวินนี่เลย

หากบอกว่าวินนี่เป็นขวัญใจประชาชนเพราะภาพลักษณ์แล้ว ถ้าอย่างนั้นหู่จือกับเป้าจือก็เป็นขวัญใจคนทั่วหล้าเพราะความน่ารักของพวกมัน ข่าวสารในหนังสือพิมพ์ลงข่าวของหู่จือกับเป้าจือไม่มาก แต่ว่าในหลายๆ เว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต ข่าวของหู่จือกับเป้าจือได้กระจายไปทั่วโลกเลยทีเดียว

เรื่องเกี่ยวกับสุนัขแลบราดอร์ที่ปรากฏตัวในงานเลือกตั้งทำให้มีรูปมากมายถูกถ่ายแล้วอัปโหลดลงบนอินเทอร์เน็ต ไม่นานข่าวที่เกี่ยวกับพวกมันก็ถูกขุดคุ้ยออกมาด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่พวกมันเป็นสุนัขบำบัดในศาลยิ่งทำให้พวกมันได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

หนึ่งอาทิตย์หลังการเลือกตั้งสิ้นสุดลง จำนวนผู้ที่สนใจหู่จือกับเป้าจือทะลุไปถึงสิบห้าล้านคน ฉินสือโอวเห็นสำนักข่าวหลายแห่งในจีนต่างก็ลงข่าวแลบราดอร์สองตัวนี้ เรื่องนี้ทำให้เขาสงสัยเป็นอย่างมาก ปีนี้แค่ขายความน่ารักก็สามารถทำเงินได้ขนาดนี้เลยเหรอ?

ตอนกินมื้อค่ำเขาได้ลองทดสอบดู หลังจากแทะกระดูกได้ไม่กี่คำเขาก็วางตะเกียบลง พ่อของฉินสือโอวถามเขาว่าทำไมไม่กินต่อ เพราะไม่ถูกปากหรือเปล่า เขาปั้นหน้าแล้วพูดว่า “วันนี้ผมไม่ได้กินยา รู้สึกว่าตัวเองมึนนิดๆ…”

พ่อของฉินสือโอวตกใจยกใหญ่ รีบถามกลับไปว่า “แกเป็นอะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมต้องกินยาด้วยล่ะ? แกไม่สบายตรงไหน? มาให้พ่อดูสิ”

วินนี่ที่กำลังป้อนเนื้อปลาตุ๋นให้เสี่ยวเถียนกวาอยู่นั้นถึงกับหัวเราะจนหงายหลัง ไม่ทันระวังช้อนที่ถืออยู่ในมือจนทำให้เนื้อปลาตุ๋นหกเลอะไปบนคอเสื้อของเธอ

เสี่ยวเถียนกวาเบะปากน้อยๆ อย่างไม่พอใจ แค่ป้อนข้าวแค่นี้ ตั้งใจหน่อยได้หรือเปล่า? เจ้าตัวน้อยใช้มือเล็กๆ นั้นหยิบเนื้อปลาตุ๋นออกมาจากถ้วย ตอนที่วินนี่มองดูเจ้าตัวน้อยเพราะคิดว่าเธอคงจะกินเองได้นั้น แต่เด็กน้อยกลับป้ายมือไปบนเสื้อของเธอแทน…

คราวนี้ถึงตาฉินสือโอวหัวเราะจนหงายหลังบ้าง

วันต่อมาตอนที่ฉินสือโอวกำลังสำรวจดูเตาอบ DIY ของตัวเองอยู่นั้น ก็พลันได้ยินเสียงหู่จือกับเป้าจือดังมาจากข้างนอก

ฉินสือโอวเดินออกไปต้อนรับ เห็นคนสี่คนชายสองหญิงสองกำลังรออยู่นอกประตูฟาร์ม เขาไม่รู้จักคนพวกนี้ จึงเดินเข้าไปแล้วถามอย่างแปลกใจว่า “ไม่ทราบว่าพวกคุณคือ?”

หญิงวัยกลางคนที่ยืนนำหน้าส่งยิ้มพร้อมยื่นนามบัตรให้เขาใบหนึ่ง แล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ คุณฉินใช่ไหมคะ? เป็นเกียรติที่ได้พบคุณนะคะ ดิฉันชื่อเอริก้า มัวริส เป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทย่อยในแคนาดาของบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงแอนนาแมร์ค่ะ”

ฉินสือโอวจับมือกับเธอ บริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงแอนนาแมร์เป็นบริษัทผลิตอาหารสุนัขและแมวที่มีชื่อเสียงมากในอเมริกาเหนือ เขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าบริษัทตั้งอยู่ในอเมริกา เขาเคยซื้ออาหารจากบริษัทนี้ให้หู่จือกับเป้าจือกินมาก่อน แต่จากนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น ให้พวกมันกินตามอาหารคนกินก็ได้

เมื่อได้รู้ฐานะของคนกลุ่มนี้แล้ว ฉินสือโอวจึงเชิญพวกเธอเข้าไปดื่มกาแฟข้างใน เอริก้าเป็นผู้หญิงที่ชำนาญงานคนหนึ่ง ระหว่างทางเธอได้พูดถึงจุดประสงค์ของการมาเยือนว่าพวกเขาอยากเชิญให้หู่จือกับเป้าจือไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับบริษัท

ฉินสือโอวเกาหัว เขารู้สึกว่าเจ้าพวกที่ตัวเองเลี้ยงอยู่นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ นิมิตส์กำลังอาศัยบารมีของคาเมรอนไปเป็นดาราดังแล้ว แต่หู่จือกับเป้าจือ เจ้าสองตัวที่วันๆ เอาแต่ทะเลาะกันนั้นยิ่งแล้วใหญ่ พวกมันถึงขั้นหาเงินให้เขาได้ด้วย

เขาถามว่าหากจะให้หู่จือกับเป้าจือไปเป็นพรีเซนเตอร์จะต้องทำอย่างไรบ้าง จะต้องออกจากเกาะแฟร์เวลเพื่อไปถ่ายทำโฆษณาหรือเปล่า

เอริก้าบอกว่าไม่จำเป็น เพราะจุดสำคัญคือการนำไปใช้ในทางด้านลิขสิทธิ์เท่านั้น การเข้าร่วมถ่ายโฆษณาจึงน้อยมาก แต่ละปีต้องไปร่วมถ่ายโฆษณาแค่สองอัน คือโฆษณาของฤดูร้อนและฤดูหนาวเท่านั้น และเพราะว่าการถ่ายโฆษณาอาหารสุนัขค่อนข้างเรียบง่าย จึงสามารถเลือกเกาะแฟร์เวลเป็นสถานที่ถ่ายทำได้

เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉินสือโอวจึงพยักหน้าตอบรับไป เขาไม่สนใจจำนวนเงินที่ได้ว่าจะมากหรือน้อย เพราะว่าเขาไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แต่เพราะทั้งหู่จือกับเป้าจือเป็นเจ้าตัวแรดสองตัวต่างหาก พวกมันน่าจะชอบที่เห็นตัวเองปรากฏอยู่บนทีวีหรือภาพโปสเตอร์

เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวมีความสนใจ เอริก้าจึงถือโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อนรีบบอกค่าตัวออกมา “ค่าตัวของแลบราดอร์ทั้งสองตัวคือปีละห้าแสนเหรียญดอลลาร์แคนาดานะคะ”

ฉินสือโอวรู้สึกว่าราคานี้ค่อนข้างรับไม่ได้ เพราะแม้ว่าหู่จือกับเป้าจือจะไม่ใช่ดารา แต่ว่าตอนนี้พวกมันเป็นคนดังในอินเทอร์เน็ต ดูอย่างพวกแมวหน้าบึ้ง เจ้าอ้วนหงกับแมวแลบลิ้นสิ พวกมันไม่ได้ดังเท่าหู่จือกับเป้าจือเลย แต่ว่าเงินที่เจ้าของได้รับในแต่ละปีกลับได้ถึงหลักล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐเลย!

อีกอย่างก็ไม่สามารถพูดว่าหู่จือกับเป้าจือไม่ใช่ดารา เพราะถ้าหากว่าสัตว์เลี้ยงสามารถเป็นดาราได้แล้วล่ะก็ พวกมันก็ถือว่าเป็นระดับซูเปอร์สตาร์แล้ว

………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท