ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1238 การกลับมาของหอยทาก

บทที่ 1238 การกลับมาของหอยทาก

สำหรับสัญญาพรีเซนเตอร์ของสัตว์นั้น จำนวนนี้ถือว่าดีมากแล้ว เพราะมีค่าเท่ากับรายรับสามสิบล้านที่จอร์แดนได้รับตอนจบการแข่งขันหนึ่งฤดูกาลใน NBA แล้ว จากจุดนี้ทำให้รู้ได้ว่าบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงแอนนาแมร์คิดว่าหู่จือกับเป้าจือสามารถทำเงินให้พวกเขาได้เท่าไรแล้ว

เอริก้านำสัญญามาด้วย ฉินสือโอวเรียกให้เออร์บักมาในทันทีเพื่อให้เขาช่วยตรวจดูให้ เมื่อไม่มีปัญหาก็สามารถเซ็นได้เลย

เออร์บักพูดเตือนเขาว่า “ฉิน ถ้านายอยากให้หู่จือกับเป้าจือเป็นพรีเซนเตอร์ นายสามารถเลือกดูก่อนก็ได้นะ ตอนนี้บริษัทที่สนใจในตัวพวกมันคงมีไม่น้อยเลย อีกอย่างนายลองคิดให้กว้างอีกนิด หู่จือกับเป้าจือไม่เพียงสามารถเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับอาหารสัตว์เท่านั้นนะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว คนทั้งสี่คนของบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงแอนนาแมร์ที่เพิ่งวางใจก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง พากันมองไปที่ฉินสือโอวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นพร้อมกัน

ท่านชายฉินปัดมือออก เขายิ้มแล้วพูดกับเอริก้าว่า “วางใจได้ครับ พวกเราชาวจีนทำธุรกิจจะถือเรื่องความซื่อสัตย์มาก ในเมื่อผมตกลงรับปากกับพวกคุณไปแล้ว ก็เท่ากับว่าสัญญาครั้งนี้ได้เซ็นไปเรียบร้อยแล้วครับ”

เอริก้ายิ้มออกมา แล้วพูดว่าแน่นอนว่าพวกเราเชื่อใจคุณ

ชื่อเสียงของบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงแอนนาแมร์ดีมาก การได้ร่วมงานกับบริษัทแบบนี้สามารถวางใจได้ อีกอย่างสัญญาที่เขากับเอริก้าทำร่วมกันคือให้หู่จือกับเป้าจือเป็นพรีเซนเตอร์ด้านอาหารสัตว์เท่านั้น ไม่ส่งผลต่อการเป็นพรีเซนเตอร์ด้านอื่นเลย

ทั้งสองฝ่ายเซ็นสัญญา 1+1 กัน ระยะสัญญาคือสองปี ปีแรกเป็นสัญญาปกติทั่วไป ส่วนปีที่สองทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงเต็มที่ หากว่าหู่จือกับเป้าจือไม่สามารถนำผลประโยชน์ที่เหมาะสมมาให้ได้ ทางบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงแอนนาแมร์สามารถบอกยกเลิกสัญญาก่อนหมดสัญญาได้

และหากว่าผลประโยชน์ที่หู่จือกับเป้าจือนำมาให้มีมากมายมหาศาล ทางด้านฉินสือโอวก็สามารถขอขึ้นราคาค่าตัวได้ หากว่าทางบริษัทไม่ยอมขึ้นค่าตัวให้ เขาก็สามารถบอกยกเลิกก่อนหมดสัญญาได้เหมือนกัน แต่หากว่าค่าตัวที่เขาแจ้งมา ทางบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงแอนนาแมร์สามารถให้ได้ ในราคาเท่ากันนี้ เขาจะไม่สามารถไปร่วมมือกับบริษัทอื่นได้

สัญญาที่ยุ่งยากพวกนี้ เออร์บักกลับบอกว่านี่ยังถือว่าเรียบง่ายนะ…

หลังเซ็นสัญญา ฉินสือโอวให้ทั้งสี่คนอยู่ต่อตรงใต้ร่มไม้ของฟาร์มปลาเพื่อทานอาหารกลางวันริมหาดกัน พร้อมกับถามว่า “พวกคุณเคยคิดจะผลิตอาหารสัตว์ของหมีสีน้ำตาล หมาป่า แมวป่าหรือกระรอกบ้างไหมครับ? ทางผมสามารถเป็นพรีเซนเตอร์ได้หมดนะครับ เต่าก็มี กวางอูฐก็มีเช่นกัน”

เอริก้าอึ้งถึงขั้นเหงื่อไหลออกมา เธอพูดออกมาอย่างตกใจว่า “พระเจ้า ที่นี่คือสวนสัตว์เหรอคะ? หรือว่าคุณคือดรูอิดคนในตำนานของเคลต์เหรอคะ?”

ทั้งสี่คนอาศัยอยู่ในเมืองกับฟาร์มปลาเป็นเวลาสองวัน การมาเจรจาธุรกิจใหญ่แบบนี้ทำให้พวกเขามีเวลาเหลือเฟือ เมื่อทุกอย่างราบรื่น ทำให้สามารถใช้เวลาที่เหลือไปกับการท่องเที่ยวได้

สิ่งที่พวกเราชอบที่สุดยังคงเป็นการตกปลาในฟาร์มปลา ตกปลาเสร็จแล้วก็มาทำอาหาร ลมทะเลพัดโชย แสงแดดสาดส่อง นั่งดื่มกินกันใต้ร่มไม้ใหญ่ ชีวิตแบบนี้แหละถึงจะเรียกได้ว่าดื่มด่ำเป็นที่สุด

ตอนจากกันเอริก้าพูดด้วยความรู้สึกเอ่อล้นว่า “คุณฉินคะ ฟาร์มปลาของคุณเปรียบดังสวรรค์บนดินจริงๆ ดิฉันเคยไปฮาวาย นิวซีแลนด์ ฟิจิ และเคยไปมัลดีฟส์มาแล้ว แต่ก็ยังสู้ฟาร์มปลาของคุณไม่ได้เลยค่ะ”

ผู้ช่วยของเธอคนหนึ่งก็พูดด้วยว่า “ดิฉันยังไม่เคยเห็นน้ำทะเลที่ใสขนาดนี้มาก่อนเลย ล่องเรืออยู่บนทะเล ก็สามารถเห็นถึงภาพสะท้อนวิญญาณตัวเองในทะเลได้เลยค่ะ!”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา ที่พวกเขาพูดมานั้นค่อนข้างเกินไปนิด แต่ฟาร์มปลาของเขาก็เป็นสถานที่ที่ดีมากในการมาพักผ่อนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ไม่อย่างนั้นแมคคาลลียนคงไม่มาที่นี่แล้วอยู่จนถึงแก่หรอก คุณผู้หญิงท่านนี้เป็นคนที่เห็นโลกกว้างมาก่อนด้วย

ช่วงพลบค่ำฉินสือโอวพาพี่น้องเฟอเรทไปออกกำลังกายที่ชายหาด เฟอเรทเป็นนักล่าที่มีฝีมือดีมาก พวกมันจำเป็นต้องได้รับการออกกำลังกายและการฝึกฝนอยากหนักหน่วง แน่นอนว่าสัตว์เลี้ยงเงอะงะในบ้านนั้นได้หลุดจากอันดับนั้นกันหมดแล้ว

ระหว่างที่เดินไปทั่วอยู่นั้น เขาก็ปล่อยพลังโพไซดอนลงไปในน้ำอย่างเคยชิน

แต่ว่าหลังพลังโพไซดอนเพิ่งเข้าไปในน้ำเท่านั้น เขาก็เจอเข้ากับปลาปักเป้าตัวอ้วนกลมฝูงหนึ่งกำลังอ้าปากหมับๆ อยู่ในน้ำ

ฉินสือโอวเข้าไปดูทีหนึ่ง ก็พบว่าพวกมันกำลังกินหอยทากกันอยู่ เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเขาก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เดือนกรกฎาคมปีที่แล้วฟาร์มปลาของเขาเคยได้รับความเสียหายจากหอยทาก แต่เพราะตอนนั้นถูกพบได้เร็วทำให้ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก หรือว่าหอยทากกลับมาอีกแล้ว?

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนถูกปล่อยออกไปทั้งสี่ทิศ วนอยู่รอบหนึ่งฉินสือโอวก็วางใจขึ้นมา เป็นจริงตามนั้นหอยทากกลับมาอีกแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ไม่ได้รวมกลุ่มกันสร้างความเสียหาย พวกมันมีจำนวนไม่มาก ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เดือนกรกฎาคมเป็นฤดูผสมพันธุ์ของหอยทาก พวกมันจะออกมาจากทะเลลึกเพื่อมาผสมพันธุ์ หอยทากในช่วงนี้ยังเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอีกด้วย อย่างเช่นพวกกุ้งมังกร ปูกับปลาวาฬ ล้วนกินพวกมันเป็นอาหารทั้งนั้น

ฉินสือโอวก็อยากจับมากินบ้าง เจ้าตัวน้อยพวกนี้สะอาดมาก พวกมันอาศัยอยู่ในทะเลลึก ทำให้ไม่ได้รับการปนเปื้อน แถมยังถ่ายเป็นเวลาอีกด้วย ทำให้อุดมไปด้วยโปรตีนและแคลเซียม เป็นอาหารที่ดีมากชนิดหนึ่ง

นกจมูกหลอดหางสั้นของฟาร์มปลาถึงกับรวมฝูงกันรออยู่บนผิวน้ำ พวกมันในตอนนี้กำลังจับหอยทากกินกันอยู่ แบบนี้จึงสามารถควบคุมจำนวนของหอยทากได้ สามารถพูดได้ว่าฟาร์มปลาจะรุ่งได้ ระบบนิเวศน์ต้องดีด้วย

ตอนกินอาหารค่ำ ฉินสือโอวบอกพวกชาร์คว่าเขาอยากจับหอยทากมากิน ถามพวกเขาว่ามีวิธีอะไรหรือเปล่า

คนแคนาดาไม่กินหอยทาก หรือไม่ก็กินกันน้อยมาก ที่ที่กินของพวกนี้ก็เพิ่งเริ่มมีเมื่อไม่กี่ปีมานี้เท่านั้น จะมีแค่ภัตตาคารระดับสูงเท่านั้นที่จะมี เพราะว่านอกจากเดือนกรกฎาคมแล้ว หอยทากจะอยู่แต่ในทะเลลึก จับได้ค่อนข้างยาก คนแคนาดาเองก็ไม่ได้รู้สึกสนใจพวกมันมากด้วย

แต่สำหรับชาวประมงแล้ว ทุกสิ่งในทะเลถือว่าเป็นของขวัญ สามารถกินได้หมด ก่อนจะมาที่ฟาร์มปลาพวกเขาต่างก็เคยกินหอยทากกันมาก่อน

ชาร์คพูดว่า “ไม่มีปัญหา เชื่อมือพวกผมเถอะครับบอส พรุ่งนี้เวลานี้คุณได้กินเจ้าสิ่งนี้แน่ครับ”

เช้าตรู่วันต่อมา ชาร์คพาบูลกับชาวประมงอีกหลายคนไปหาท่อนไม้ใหญ่มาจำนวนหนึ่ง ระหว่างท่อนไม้ผูกแหตกปลาไว้ บนแหตกปลาก็คลุมไปด้วยหญ้าทะเลกับสาหร่ายจำนวนมาก จากนั้นจึงนำไปผูกไว้ที่ท้ายเรือฮาวิซทแล้วขับออกไปอย่างช้าๆ

ฉินสือโอวออกทะเลตามไปด้วย เขาถามว่า “หอยทากจะมาดูดบนท่อนไม้เองเหรอ?”

ชาร์คยิ้มแล้วพูดว่า “หอยทากไม่มีกระเพาะ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกินและถ่ายตลอดเวลา พวกมันค่อนข้างยึดติดเรื่องอาหาร และคาดหวังที่จะสามารถกินอาหารได้โดยไม่ต้องขยับตัว ทำให้การใช้หญ้าทะเลกับสาหร่ายเป็นอาหาร ใช้ท่อนไม้ทำเป็นจุดพักเท้า จะทำให้พวกมันตามมาเอง”

และจริงตามนั้น ถึงตอนพลบค่ำที่เรือหาปลากลับถึงฝั่งแล้ว ตอนที่ลากท่อนไม้กลับมาดูนั้น ด้านบนเต็มไปด้วยหอยทากตัวใสจำนวนมากมาย และยังมีปลาปักเป้าที่ตัวพองอีกสองตัวติดมาด้วย

ปลาปักเป้าที่ติดมากับเรือหาปลานั้นเป็นปลาปักเป้ามีหนาม ผิวภายนอกมีจุดสีเทาขาว หลังดูดน้ำทะเลเข้าไปจนตัวพองแล้วจะมีลักษณะเหมือนกับเม่น แหจับปลาเป็นศัตรูของพวกมัน หลังจากถูกแหพันไว้แล้ว พวกมันจะคิดว่าถูกทำร้ายแล้วจึงพองตัวออกมา ทำให้ยิ่งหลุดออกจากแหไม่ได้เข้าไปอีก

ฉินสือโอวใช้มีดตัดแหส่วนนั้นออกแล้วปล่อยปลาปักเป้าน้อยลงไปในน้ำ พวกมันเบิกตาจ้องอยู่ในน้ำสักพัก เมื่อรู้สึกว่าไม่มีอันตรายแล้ว จึงพ่นน้ำทะเลออกมากลายเป็นปลาตัวแบนก่อนแล้วค่อยว่ายจากไป

พวกชาวประมงนำอ่างน้ำออกมา สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือหอยทากที่จับได้นั่นเอง หอยทากเนื้อนุ่ม ตัวอวบอ้วน นำไปผัดไฟแดงกับพริกและซีอิ๊วก็จะกลายเป็นอาหารแกล้มเหล้ารสเลิศได้เลย

พี่น้องเฟอเรทนั่งอยู่ข้างฉินสือโอวแล้วมองเจ้าพวกนี้อย่างสงสัย พวกมันใช้กรงเล็บข่วนไปเบาๆ เนื้อที่อวบอ้วนของหอยทากก็สะเทือนไปมา พวกมันรู้สึกว่าน่าสนุกจึงเล่นต่อไปอีก กรงเล็บขยับไปมาราวกับกำลังเตะบอลอย่างไรอย่างนั้น

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท