ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1243 ไม่เป็นดังคาด

บทที่ 1243 ไม่เป็นดังคาด

กรมประมงให้ความสำคัญต่องานประมูลอุตสาหกรรมการประมงในครั้งนี้มาก เพราะว่านี่ก็คือการทดลองอย่างหนึ่ง หากว่าประสบความสำเร็จแล้วสามารถนำไปโปรโมต จะทำให้เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาสามารถทำกำไรได้มากมาย เมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้มีคนที่ทำธุรกิจเพาะเลี้ยงปลามาร่วมงานกันค่อนข้างเยอะ

และเพราะอย่างนี้ พิธีกรเปิดงานประมูลในครั้งนี้จึงเป็นแมทธิว จิน ประธานกรมประมงของแคนาดามาออกโรงด้วยตัวเอง

บางครั้งฉินสือโอวก็รู้สึกว่าชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงของประเทศเหล่านี้ก็ไม่ได้ดีเท่าไรนัก อย่างคำที่ว่า ‘ชีวิตก็เหมือนคนดื่มน้ำ จะเย็นหรืออุ่นมีแค่คนดื่มเท่านั้นที่รู้ได้’ ในสายตาคนภายนอกเห็นแต่เพียงว่าแมทธิว จินดูแลฟาร์มปลาในแคนาดาทั้งหมด ออกคำสั่งคำเดียวก็สามารถทำให้ฟาร์มปลาดังกล่าวรุ่งโรจน์หรือปิดตัวลง ทำให้คนกว่าพันคนต้องตกงานหรือมีงานทำได้ แต่จะมีใครกันที่รับรู้ถึงแรงกดดันที่เขาแบกรับไว้ล่ะ?

การได้พบกับแมทธิว จินในครั้งนี้ เป็นการพบกันที่ผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งปี ฉินสือโอวรู้สึกว่าท่านประธานคนนี้แก่ตัวลงอย่างเห็นได้ชัด รอยตีนกาข้างดวงตาก็ชัดขึ้นมามาก

เทียบกันแล้วชีวิตของฉินสือโอวถือว่าดีกว่าเยอะ เขาอิสระราวกับก้อนเมฆและนกกระเรียนป่า ฟาร์มปลาเป็นดั่งอ่างเก็บสมบัติที่สามารถทำเงินให้เขาได้เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย

และถ้าเงินขาดมือจริงๆ เขาก็สามารถไปหาเรืออับปางใต้ทะเลมาลำหนึ่ง ตอนนี้ก็กำลังงมเรือบรรทุกทองคำอับปางลำหนึ่งด้วย หากว่าสามารถงมขึ้นมาได้แล้ว ทรัพย์สมบัติของเขาก็สามารถเพิ่มขึ้นอย่างถล่มทลายอีกแล้ว

ปกติแมทธิว จินต้องคอยคิดว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจการประมงอย่างไร ฉินสือโอวล่ะ? สิ่งที่เขาคิดก็คือคืนนี้กินอะไร พรุ่งนี้จะพาลูกสาวไปเที่ยวไหนดี…

หลังพบหน้ากันแล้วแมทธิว จินไม่ได้พูดอะไรกับเขามาก ทั้งสองเพียงจับมือก็จากกันแล้ว หลังจากนั้นฉินสือโอวก็โดนพวกโดนัลด์กับชาวประมงที่คุ้นเคยลากเข้าไปในกลุ่ม

คนที่มาร่วมงานประมูลในครั้งนี้มีจำนวนไม่น้อย คาดว่ามีถึงสองร้อยกว่าชีวิต ยืนเบียดกันเต็มงานไปหมด คนเหล่านี้สามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือพวกที่หากินกับอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์เป็นหลัก อีกกลุ่มคือหากินกับน่านน้ำรอบมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือเป็นหลัก

หลังจากฉินสือโอวมาถึงแล้ว โดนัลด์ก็ลากตัวเขาออกไป แต่ถูกขัดโดยเจ้าของฟาร์มปลากลุ่มอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ที่เข้ามาพูดคุยสร้างสัมพันธ์ด้วย หัวข้อสนทนาเริ่มจากผู้กำกับดังคาเมรอนจะมาถ่ายทำภาพยนตร์

ต้นแบบของพระเอกในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือท่านชายฉินคนนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขารู้สึกภาคภูมิใจมาก หากว่าเป็นสามปีก่อน เขาคงไม่กล้าคิดว่าจะมีวันที่ตัวเองจะเป็นต้นแบบการทำภาพยนตร์ของผู้กำกับจากฮอลลีวูดหรอก

แน่นอนว่าตอนนั้นเขาก็คงไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะได้รับการต้อนรับอย่างดีในประเทศต่างถิ่นด้วย ในงานประมูลแทบจะทุกคนที่อยากจะเป็นเพื่อนกับเขา การต้อนรับที่เขาได้รับนั้นแทบจะมากกว่าประธานอย่างแมทธิว จินด้วยซ้ำ

โดนัลด์พูดกับเขาอย่างไม่อิจฉาว่า “นายกลายเป็นคนที่น่าหลงใหลจากทุกคนแล้ว เพื่อน ดีนะที่พวกเราไม่ได้จัดงานปาร์ตี้ ไม่อย่างนั้นนายคงได้เป็นราชาประจำงานแน่”

ฉินสือโอวถามอย่างสบายอารมณ์ว่า “แล้วฉันทำให้นายหลงใหลได้หรือเปล่า?”

โดนัลด์หัวเราะเหอๆ แล้วพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ถ้าหากนายยอมขายพันธุ์ปลาของปลาค็อดมหาสมุทรแอตแลนติก ปลาอลาสก้าพอลล็อคกับปลาแฮดดัคแล้วล่ะก็ งั้นฉันต้องหลงใหลนายอย่างแน่นอน”

ด้วยจุดประสงค์เดียวกันนี้ คนอื่นๆ ที่มาสานสัมพันธ์กับเขา ก็เพราะอยากได้ลูกปลากุ้งปูของเขาเหมือนกัน

เริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว ธุรกิจผลิตภัณฑ์ทางทะเลระหว่างประเทศทำได้ยากขึ้น ธุรกิจการประมงของแคนาดาเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักของประเทศ เจ้าของฟาร์มปลาที่อยากทำเงินต้องพึ่งการส่งออก แทบจะทุกคนที่นี่ก็ล้วนทำธุรกิจส่งออกกันทั้งนั้น

แต่ว่า สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกไม่สู้ดีนัก ทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ทางทะเลของแคนาดาดิ่งลงเรื่อยๆ ทำให้เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาพากันหวั่นใจกันหมด

เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ตั้งของทางรัฐบาลแคนาดาด้วย เพราะว่าตั้งอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ ทำให้น้ำทะเลทั้งน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือหรือมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือได้รับมลภาวะค่อนข้างน้อย และพวกปลากุ้งปูในน่านน้ำเย็นนั้นเติบโตได้ช้า แต่อุดมไปด้วยสารอาหาร และรสชาติดี

ดังนั้นผลิตภัณฑ์ทางทะเลของแคนาดาล้วนถูกจัดให้เป็นสินค้าชั้นดีทั้งหมด และจากที่เศรษฐกิจของทุกประเทศพากันตกต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้กำลังในการซื้ออาหารทะเลชั้นดีถดถอยลงไปด้วย สุดท้ายคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือพวกเจ้าของฟาร์มปลาทั้งหลาย

ผลิตภัณฑ์ทางทะเลชั้นดีอย่างพวกหอยงวงช้าง ปูหิมะ ปูดันเจเนสส์ ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือ และปลิงขาว ในช่วงสิบปีแรกของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด จำนวนการส่งออกของแคนาดาล้วนนับเป็นหน่วยร้อยตันทั้งหมด แต่การส่งออกในปัจจุบัน แค่สามารถทำได้ปีละหลายร้อยตันก็ถือว่ายากมากแล้ว

ปีนี้จำนวนการส่งออกของเมนล็อบสเตอร์สูงขึ้นมาก แต่เพราะกุ้งมังกรแก๊ฟคี่ ทำให้ปริมาณการเก็บเกี่ยวของกุ้งมังกรในแคนาดาลดลงอย่างมาก แม้แต่ตลาดในประเทศก็ยังไม่สามารถจัดจำหน่ายได้ ใครจะเอาไปส่งออกอีก?

ที่ฉินสือโอวได้รับความสนใจขนาดนี้ ก็เพราะสถานการณ์ของเขาไม่เหมือนกัน ในตอนที่อาหารทะเลของทุกคนขายไม่ออกนั้น เขาได้สร้างแบรนด์อาหารทะเลต้าฉิน แถมยังเป็นแบรนด์ระดับพรีเมี่ยมด้วย ไม่ต้องกังวลเรื่องการขายเลยสักนิด จะไม่ทำให้คนอิจฉาชิงชังได้อย่างไร?

เจ้าของฟาร์มปลาที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนมีสมองทั้งนั้น พวกเขารู้ว่าอิจฉาชิงชังไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำทุกวิถีทางที่จะสานสัมพันธ์กับฉินสือโอว เพื่อหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากเขา ให้ผลิตภัณฑ์ตัวเองเข้าไปอยู่ในแบรนด์ต้าฉินด้วย

พวกเขาต่างก็คำนวณมาก่อนแล้ว แม้ว่าจะขายในราคาต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ของฟาร์มปลาต้าฉินครึ่งหนึ่ง ก็สามารถทำกำไรได้มหาศาล!

หลังจากคนมาร่วมงานได้พอสมควรแล้ว แมทธิว จินก็ประกาศเริ่มงาน ช่วงแรกเป็นการเปิดโอกาสให้ถามคำถาม เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาสามารถถามเกี่ยวกับนโยบายและสถานการณ์ปัจจุบันของการค้าผลิตภัณฑ์ทางทะเล หากมีคำแนะนำที่ดีก็สามารถบอกได้ ให้ทุกคนปรึกษาหารือร่วมกัน

โดนัลด์กระตือรือร้นมาก เขาเข้าไปยื้อแย่งจนได้โอกาสเป็นคนแรกที่ออกความเห็น เขาเริ่มยิงนัดแรกให้แมทธิว จินเลยทันที “ท่านประธาน พวกเราอยากทราบว่าใกล้จะถึงฤดูจับปลาค็อดกับปลาแฮร์ริ่งแล้ว ปริมาณที่ให้พวกเราจับได้นั้นสามารถเพิ่มขึ้นอีกนิดได้ไหมครับ?”

เพื่อเป็นการปกป้องให้ธุรกิจฟาร์มปลาเติบโตได้ต่อเนื่อง ทางแคนาดาจึงค่อนข้างระมัดระวังกับปริมาณการจับปลาในทะเล จะมีการอ้างอิงสถานการณ์การจับปลาและการจำหน่ายในช่วงห้าปีเพื่อคำนวณหาจำนวนที่เหมาะสม จากนั้นค่อยนำตัวเลขที่ได้มาทำการลดจำนวนลงอีกนิด สุดท้ายจึงจะได้เป็นตัวเลขที่ทุกคนต้องยึดตามในการจับปลา

ฟาร์มปลาจะดีกว่านิดหนึ่ง เรือหาปลาที่ออกไปจับปลาในทะเลจำเป็นต้องซื้อใบอนุญาตในการจับปลาทุกลำ และบนใบอนุญาตนี้จะมีปริมาณมาตรฐานในการจับปลาอยู่ ไม่สามารถจับเกินกว่านั้นได้ ดังนั้นเรือลำหนึ่งออกทะเลไปจะสามารถทำเงินได้เท่าไรนั้นแทบจะสามารถคำนวณออกมาล่วงหน้าได้เลย

แมทธิว จินเงียบไปสักครู่ แล้วพูดว่า “ถึงแม้จะเพิ่มปริมาณการจับได้แล้วอย่างไร? พวกคุณคิดว่าตลาดสามารถรองรับปลากุ้งปูจำนวนมากขนาดนั้นได้เหรอ? ถ้าหากรองรับไม่ไหว แล้วพวกคุณคิดว่าจะทำอย่างไร? ลดราคาขายเหรอ?”

“เรื่องนี้เป็นเรื่องระดับประเทศ พวกเราเป็นคนเลี้ยงปลา ไม่ได้ทำงานด้านการนำเข้าส่งออก” มีคนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง

เมื่อมีหนึ่งคนไม่พอใจ คนอื่นๆ ก็เริ่มคล้อยตามด้วย บรรยากาศในงานวุ่นวายขึ้นมาในทันที สองปีมานี้พวกเจ้าของฟาร์มปลาส่วนมากจะขาดทุนไม่ใช่ได้กำไร ทำให้เก็บกดกันมาก เมื่อมีโอกาสได้ระบายให้ประธานของกรมประมง จะมีใครไม่อยากระบายบ้าง?

ฉินสือโอวประสานมือทั้งสองข้างไว้ไม่ออกความเห็น สถานการณ์แบบนี้เขาไม่ร่วมด้วยจะดีกว่า

แต่ตอนนี้เขาที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกี่ยวข้องด้วย แมทธิว จินทำการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังตัวเขาทันที เขากล่าวว่า “ผมรู้ว่าเจ้าของฟาร์มปลาหลายคนที่นี่ต่างขาดทุนกัน แต่ทำไมเจ้าของฟาร์มปลาหนุ่มคนหนึ่งกลับทำกำไรได้ แล้วเจ้าของฟาร์มปลาเก่าแก่ที่มากด้วยประสบการณ์อย่างพวกคุณ กลับขาดทุน?”

สายตาคนนับร้อยจับจ้องไปที่ฉินสือโอว ท่านชายฉินยิ้มและพยักหน้าให้กับคนรอบข้าง แต่ในใจกลับด่าตาแก่แมทธิว จินว่าไม่มีคุณธรรมเสียจริง นี่มันเป็นการเอาเขาไปแขวนไว้บนเตาย่างนี่นา

ดีที่ว่าเขาได้เตรียมเตาย่างไว้ก่อนแล้ว จึงสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ “ผมต้องขอบคุณคนคนหนึ่ง…”

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท