บนรถโรงเรียน ฉินสือโอวบอกกลยุทธ์การแข่งขันให้กับพวกเด็กๆ “คู่แข่งของพวกเรานั้นแข็งแรงกว่า มีวินัยมากกว่า พวกเขาก็เหมือนกับอเล็กซานเดอร์มหาราชที่จัดระเบียบกองทหารใหม่ ไม่สามารถเอาชนะได้…”
“แต่ว่ากองทหารที่จัดระเบียบใหม่นั้นมีจุดด้อยอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือขาดการเคลื่อนไหวเฉียบพลัน! อย่าได้หลงไปอยู่ในแผนการรบเด็ดขาดนะ เพื่อนตัวเล็กทั้งหลาย อีกเดี๋ยวต้องวิ่งสุดแรงเกิดนะ! ให้ช้างที่เงอะงะพวกนี้ได้ลิ้มรสถึงวิธีการออกล่าของเสือในป่าว่าเป็นอย่างไร วิ่ง ส่งบอล หามิเชล ส่งน็อกเอาท์ให้พวกเขาไปเลย!”
ฉินสือโอวนำแผนกลยุทธ์ที่คิดไว้กับกัวซงบอกกับพวกเด็กๆ แต่จะใช้ได้ไหมนั้นคงพูดยาก อย่างไรเสียก็ยังเป็นแค่เด็กเท่านั้น พวกเขาไม่มีทางเข้าใจกลยุทธ์ที่ยากเกินไป แต่กลยุทธ์ที่ง่ายเกินไปก็ไม่เพียงพอแน่หากอยู่ต่อหน้าคู่แข่งที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ
หนึ่งพละกำลังสยบสิบงาน นักกีฬาของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อก็มีข้อได้เปรียบเรื่องพละกำลังนี่แหละ
ฉินสือโอวรู้ว่าพวกเด็กๆ กลัวอะไร ดังนั้น หลังจากนั้นเขาจึงพูดประโยคให้กำลังใจอีกสักพัก กัวซงรอจนเขาพูดจบแล้วก็เดินมาข้างตัวเขาแล้วพูดเสียงเบาว่า “กำลังใจนั้นไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ให้พวกเด็กๆ พักผ่อนสักพักเพื่อรักษาสมาธิไว้ดีกว่า”
ท่านชายฉินเงียบไม่พูดอะไร เขาพยายามสุดกำลังแล้ว การพาทีมสภาพนี้มาไกลถึงรอบชิงชนะเลิศได้นั้นจะต้องขอบคุณความแข็งแกร่งของกอร์ดอนและมิเชล
นอกจากสองคนนี้ จากสภาพโดยรวมของทีมแล้ว ความสามารถของพวกเขาถือว่าแย่มาก หากใช้คำที่กำลังฮิตในอินเทอร์เน็ตมาพูดก็คือ “ฉันไม่ได้หมายถึงใครเป็นพิเศษนะ ฉันแค่บอกว่าทุกคนที่นั่งอยู่นั้น ล้วนเป็นขยะทั้งนั้น!”
การแข่งขันเริ่มจากให้ที่สามกับที่สี่มาแข่งกันก่อน หลังจากพวกเขามาถึงการแข่งขันก็เริ่มไปได้สักพักแล้ว มีคนมาพาพวกเขาเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็พักอีกสักครู่ ฉินสือโอวพยายามให้กำลังใจอีกรอบเป็นครั้งสุดท้าย การแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว เหล่านักกีฬาเริ่มต่อแถวเดินเข้าสนาม
โรงยิมนี้ไม่เหมือนกับสถานที่ก่อนๆ ที่พวกเขาไปแข่งมาเลย มีจอฉายภาพขนาดใหญ่แขวนอยู่กลางอากาศ พื้นสนามใหม่เอี่ยมเงาวับ หลังกอร์ดอนเข้าสนามแล้วก้มลงมองดู จากนั้นก็พูดกับฉินสือโอวด้วยสีหน้าดีใจว่า “ฉิน เหมือนกับกระจกเลยครับ”
พอดีกับที่มีเด็กร่างกายกำยำหลายคนเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นการกระทำของกอร์ดอนแล้ว คนที่สูงหนึ่งเมตรแปดในนั้นคนหนึ่งก็พูดล้อเลียนขึ้นมาว่า “ไม่เคยเห็นสนามบาสเกตบอลที่ได้มาตรฐานเหรอไง? ไม่น่าล่ะทุกคนถึงบอกว่าพวกนายเป็นพวกชาวประมงบ้านนอก รีบไสหัวกลับไปที่เรือของพวกนายซะ บาสเกตบอลไม่ใช่กีฬาที่พวกนายจะเอื้อมแตะได้หรอกนะ”
เด็กพวกนี้ใส่เสื้อกีฬาสีแดงอมส้ม เห็นได้ชัดว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อที่เข้าสนามมาก่อน
เมื่อได้ยินคำนี้ สีหน้าของกอร์ดอนก็เปลี่ยนไปทันที ปั้นหน้าถมึงทึงรีบเข้าไปตะโกนว่า “ไอ้โง่ แกไม่อยากมีฟันแล้วใช่ไหม?”
มิเชลที่กำลังอบอุ่นร่างกายอยู่นั้นรีบเข้าไปแยกกอร์ดอนกับเด็กกลุ่มนั้น แต่สุดท้ายกลับมีคนมาผลักเขาไปทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างโหดร้ายว่า “ไอ้หนู อย่ามาใกล้ฉันมาก ฉันทนไม่ได้กับกลิ่นคาวปลาเน่าๆ!”
มิเชลโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาจ้องตาเขม็งไปที่เด็กกลุ่มนั้น ไม่พูดอะไร แค่ดึงกอร์ดอนเดินกลับไป
ฉินสือโอวมองดูเงียบๆ อยู่ข้างๆ เขาเดาว่าเด็กพวกนี้น่าจะจงใจอยากมาหาเรื่อง เขาเคยดูเอกสารนักกีฬาของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อแล้ว เด็กสามคนนี้ล้วนไม่ใช่ตัวเต็ง
เห็นได้ชัดว่า พวกเขารู้ถึงความเก่งกาจของกอร์ดอนกับมิเชลจึงจงใจมาหาเรื่องให้พวกเขามีเรื่องชกต่อย จากนั้นกอร์ดอนกับมิเชลก็จะถูกไล่ออกจากสนาม แค่นี้โรงเรียนประถมแกรนท์ก็แพ้อย่างแน่นอนแล้ว
กรรมการสังเกตเห็นท่าทีดุเดือดของทั้งสองฝ่ายจึงเดินเข้ามา นักเรียนโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ เพื่อนร่วมทีม แล้วมองหน้าหาเรื่องฝั่งโรงเรียนประถมแกรนท์
ฉินสือโอวไม่ออกตัวใดๆ เขายืนมองลูกทีมของตัวเอง พวกแซม วอล์กเกอร์ เกรย์ที่ยืนประจันหน้ากับคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง แม้ว่าจะมีกลัวบ้างเล็กน้อย แต่ยังคงลุกขึ้นยืนเพื่อปกป้องกอร์ดอนกับมิเชลไว้
แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ท่านชายฉินพยักหน้าในใจ เจ้าพวกเด็กกลุ่มนี้ไม่เลว
การแข่งขันยังไม่ทันเริ่มแต่นักกีฬาทั้งสองทีมกลับจะตีกันขึ้นมา เมื่อเห็นแบบนี้ทำเอาผู้เข้าชมที่นั่งอยู่พากันเดือดขึ้นมา เด็กๆ ทั้งหลายพากันโห่ร้องออกมาอย่างดุดัน “จัดการเจ้าพวกบ้านนอกสารเลวนี่ไปเลย!” “สั่งสอนบทเรียนให้พวกมันเลยสิกอร์ดอน!” “คุณพ่อปล่อยมือ ผมจะลงไปสั่งสอนเจ้าพวกเลวนี่!”
เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะตีกันขึ้นมา กรรมการรีบเข้ามาใกล้ เตือนให้ทั้งสองฝ่ายแยกกัน สุดท้ายนักเรียนจากโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อจึงเดินกลับไปยังจุดอบอุ่นร่างกายของตัวเองอย่างได้ใจ ราวกับทหารที่ได้รับชัยชนะตั้งแต่ยังไม่เข้าใกล้อย่างไรอย่างนั้น
ในการปะทะกันครั้งนี้ ถือว่าทีมของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อชนะแล้ว เพราะว่าพวกเขามาหาเรื่องถึงฝั่งโรงเรียนประถมแกรนท์ แต่ยังสามารถกลับไปอย่างสง่างามได้อีก แค่นี้ก็ถือว่าชนะแล้ว
เรื่องนี้ทำให้ความฮึกเหิมพุ่งขึ้นมาทันที กองเชียร์ที่นั่งอยู่ฝั่งนักเรียนของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อก็โห่ร้องอย่างเหิมเกริมด้วย
กลับตรงกันข้าม ความฮึกเหิมของทางฝั่งโรงเรียนประถมแกรนท์กลับมีเพียงน้อยนิด ฉินสือโอวมองเห็นจุดนี้ จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “พวกเธอเห็นแล้วนะ พวกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูถูกพวกเธอ เพื่อนๆ ของพวกเขาก็ดูถูกพวกเธอ ผู้ปกครองของพวกเขาเองก็ดูถูกพวกเธอ!”
กอร์ดอนพูดอย่างหัวเสียว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ฉิน พวกเรารู้เรื่องต่ำช้าพวกนี้ดี!”
ฉินสือโอวมองดูพวกเด็กๆ ที่กำลังเศร้าอย่างจริงจัง แล้วตะเบ็งเสียงออกมาทันทีว่า “ทำไมจะพูดไม่ได้? ฟังให้ดีนะ คนแพ้ไม่มีสิทธิ์ให้คนมานับถือหรอก! ถ้าหากพวกนายไม่ชนะ ถ้าหากพวกนายกลัว งั้นก็ไม่มีใครมานับถือพวกนาย! ไม่มีใครจะมาเคารพพวกนาย!”
“นายนึกว่ามีแค่คู่แข่งที่ดูถูกพวกนายงั้นเหรอ? ไม่!” ฉินชี้ไปที่กัวซงที่กำลังคุยอยู่กับกรรมการว่า “แม้แต่คนคนนั้นก็ดูถูกพวกนาย! รู้ไหมว่าตอนอยู่บนรถช่วงท้ายเขาพูดกับฉันว่าอะไร? เขาบอกว่าพวกนายเป็นแค่กลุ่มมือใหม่สมัครเล่น บอกว่าแค่พวกนายได้รางวัลถ้วยเงินก็ถือว่าพระเจ้าคุ้มครองแล้ว!”
พวกเด็กๆ โกรธกันสุดขีดแล้ว พากันใช้สายตาอาฆาตจ้องไปที่กัวซง พวกเขาอาจจะมีฝีมือไม่เท่าคนอื่น แต่คนที่อ่อนไหวง่ายอย่างพวกเขาไม่ยอมให้มีคนมาดูถูกผลงานที่พวกเขาได้มาอย่างยากลำบาก
ฉินสือโอวพูดด้วยเสียงจริงจังว่า “พวกนายอยากชกเขาไหม? ชกให้เหมือนกับที่อยากชกเจ้าพวกที่อยู่ตรงข้ามเมื่อกี้เหรอ? ไม่ เรื่องบนสนามบาสเกตบอลก็ต้องแก้ปัญหาบนสนามบาสเกตบอล! ไปอบอุ่นร่างกาย! ไปเตรียมลงแข่ง! ไปสู้ ไม่ตายก็ไม่ยอมถอยให้กับคู่แข่ง!”
“บอกกับทุกคน พวกเราคือที่หนึ่ง! พวกเราคือราชาแห่งนิวฟันด์แลนด์! ศักด์ศรีของราชาจะไม่ยอมให้ใครมาย่ำยี! ใครกล้าเหยียดหยามเรา ก็ต้องให้พวกเขาเสียใจ! ไป! พวกเราคือราชา จะต้องชนะได้แน่!”
“พวกเราคือราชา! จะต้องชนะได้แน่!”
เด็กทั้งกลุ่มพากันตะโกนออกมา สุดท้ายฉินสือโอวดึงตัวมิเชลไว้ แล้วพูดด้วยสีหน้านิ่งว่า “นายเป็นฝ่ายป้องกัน ฝ่ายป้องกันของเพื่อนร่วมรบของนายล้วนเป็นชาวประมง แต่บนตัวพวกเขาไม่ได้มีเพียงกลิ่นคาวปลาเท่านั้น ยังมีกลิ่นคาวเลือดของฉลามด้วย!”
มิเชลพยักหน้าหนักแน่น ยังคงไม่พูดอะไร แต่สายตาแน่วแน่
อบอุ่นร่างกาย ร้องเพลงชาติแคนาดา จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มตั้งเกมกันบนสนามแข่งเพื่อเตรียมเริ่มการแข่งขัน
ดูจากขนาดร่างกายแล้ว นักกีฬาจากโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อดูแข็งแรงกว่าพวกมิเชลเท่าหนึ่ง แต่ว่าตอนโยนบอลขึ้นไปนั้นแซมไม้ไผ่ยังคงออกตัวได้อย่างสวยงาม เขาตบบอลที่กรรมการโยนขึ้นไปลงมาได้ในทีเดียว
มิเชลได้รับบอลแล้วก็รีบเร่งฝีเท้าออกวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ราวกับพายุหมุนพัดผ่าน คนของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อรีบกลับไปทำการป้องกัน แต่พอเข้าไปถึงเขตเส้นสามคะแนนแล้ว มิเชลก็เปลี่ยนทิศทางถอยหลังกลับ เขากระโดดเพียงทีเดียวเท่านั้นสามแต้มก็ถึงมือแล้ว!
“สวบ!” เสียงดังฟังชัด ลูกบาสผ่านเข้าไปในห่วง
3-0 มิเชลไม่มองกระดานคะแนน เขามองคู่แข่งด้วยท่าทางสุขุม ราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรเลยอย่างนั้น
โรงเรียนประถมแกรนท์เริ่มแผนการรุกอย่างหนักหน่วง ทางฝั่งหงเฉิงจื่อจ่ายบอลออกไป กองหลังของพวกเขาที่ถือบอลอยู่ก็เริ่มลดแรงโน้มถ่วงของร่างกายลงเลี้ยงบอลแล้ววิ่งไปข้างหน้า
ตอนนี้กอร์ดอนทิ้งตำแหน่งป้องกันของเขาลง ราวกับจิ้งจอกภูเขาเขาวิ่งฝ่าเข้าไปในกองหลังที่ถือบอลอยู่ของฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ยื่นมือออกไปเพื่อจะแย่งบอล
เด็กคนนั้นไหวตัวทันรีบพลิกตัวปกป้องบอลไว้ แต่ตอนนี้มิเชลที่จ้องเขาอยู่ตลอดได้ออกตัวแล้ว แขนที่ยาวเหยียดนั้นสะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว ทีเดียวก็แย่งบอลมาได้แล้ว
หลังจากแย่งบอลมาได้แล้ว พอดีกับที่มิเชลหันหน้าเข้าหาห่วงของพวกเขาอยู่แล้ว เขาเลี้ยงลูกวิ่งไปข้างหน้าสองก้าวแล้วก็หยุดลง ขาทั้งสองข้างก้าวไปอย่างรวดเร็ว ก้าวสามก้าวใหญ่ๆ พุ่งเข้าไปในพื้นที่เขตกำหนด
จากนั้น สองเท้ากระโดดกระแทกไปบนสนามอย่างแรงทีหนึ่ง ราวกับนกอินทรีที่สยายปีกบินไปบนฟ้าไกล ยกแขนขึ้นสูงทั้งสองข้าง จับบอลไว้เหวี่ยงออกมาจากหลังหัว เหวี่ยงแขนแล้วกดบอลกระแทกลงไปในห่วง!
“สุบ!” เสียงหยุดลง ตามด้วยเสียงร้องของนักเรียนกับผู้ปกครองที่มาดู พวกเขาพูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาว่า “โอ้ แสลมดังก์!”
แม้ว่าแป้นบาสที่ใช้ในการแข่งขันของนักเรียนประถมจะเตี้ยกว่ามาตรฐานไปหน่อย แต่ว่าในการแข่งขันของนักเรียนประถมนั้นกลับไม่มีคนสามารถทำท่าแสลมดังก์ได้เลย โดยเฉพาะกับเมืองเล็กๆ ที่การกีฬาไม่พัฒนาอย่างเซนต์จอห์นแห่งนี้
แต่แสลมดังก์ของมิเชลเมื่อครู่นี้นั้นเป็นของแท้แน่นอน จอแสดงภาพที่แขวนอยู่กลางอากาศของสนามได้เริ่มฉายภาพซ้ำเมื่อกี้ออกมา เป็นภาพช้าที่แสดงให้เห็นถึงท่าแสลมดังก์ที่สวยงามไร้ที่ติของมิเชล
แสลมดังก์เสร็จลงถึงพื้น มิเชลยังคงไม่ดูการเปลี่ยนแปลงของกระดานคะแนน เขาวิ่งผ่านคู่แข่งที่กำลังตาค้างอยู่ แล้วพูดเสียงเบาว่า “จำวันนี้ไว้นะ ฉันมาสอนแทนพ่อแม่และครูของพวกนาย ว่าการเคารพคนอื่นต้องทำอย่างไร!”
กอร์ดอนเข้าไปผลักมิเชลทีหนึ่งอย่างดีใจ แล้วตะโกนว่า “เพื่อน นายถึงขั้นแสลมดังก์ได้เลยเหรอเนี่ย!”
เมื่อเห็นพี่น้องตัวเองแล้ว มิเชลก็ยิ้มออกมา แล้วก็กลับไปทำหน้าสุขุมเหมือนเดิมแล้วพูดว่า “แสลมดังก์ได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฉันจะทำลายเจ้าพวกสารเลวพวกนั้นซะ!”
แม้ว่าสีหน้าส่วนใหญ่ของมิเชลมักแน่นิ่งเหมือนน้ำในบ่ออยู่แล้ว แต่คนที่สนิทกับเขาต้องรู้สึกได้แน่นอน เขาเดือดขึ้นมาแล้ว!
……………………………………………