ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1241 ปีศาจน้ำที่เดือดดาล

บทที่ 1241 ปีศาจน้ำที่เดือดดาล

บนรถโรงเรียน ฉินสือโอวบอกกลยุทธ์การแข่งขันให้กับพวกเด็กๆ “คู่แข่งของพวกเรานั้นแข็งแรงกว่า มีวินัยมากกว่า พวกเขาก็เหมือนกับอเล็กซานเดอร์มหาราชที่จัดระเบียบกองทหารใหม่ ไม่สามารถเอาชนะได้…”

“แต่ว่ากองทหารที่จัดระเบียบใหม่นั้นมีจุดด้อยอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือขาดการเคลื่อนไหวเฉียบพลัน! อย่าได้หลงไปอยู่ในแผนการรบเด็ดขาดนะ เพื่อนตัวเล็กทั้งหลาย อีกเดี๋ยวต้องวิ่งสุดแรงเกิดนะ! ให้ช้างที่เงอะงะพวกนี้ได้ลิ้มรสถึงวิธีการออกล่าของเสือในป่าว่าเป็นอย่างไร วิ่ง ส่งบอล หามิเชล ส่งน็อกเอาท์ให้พวกเขาไปเลย!”

ฉินสือโอวนำแผนกลยุทธ์ที่คิดไว้กับกัวซงบอกกับพวกเด็กๆ แต่จะใช้ได้ไหมนั้นคงพูดยาก อย่างไรเสียก็ยังเป็นแค่เด็กเท่านั้น พวกเขาไม่มีทางเข้าใจกลยุทธ์ที่ยากเกินไป แต่กลยุทธ์ที่ง่ายเกินไปก็ไม่เพียงพอแน่หากอยู่ต่อหน้าคู่แข่งที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ

หนึ่งพละกำลังสยบสิบงาน นักกีฬาของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อก็มีข้อได้เปรียบเรื่องพละกำลังนี่แหละ

ฉินสือโอวรู้ว่าพวกเด็กๆ กลัวอะไร ดังนั้น หลังจากนั้นเขาจึงพูดประโยคให้กำลังใจอีกสักพัก กัวซงรอจนเขาพูดจบแล้วก็เดินมาข้างตัวเขาแล้วพูดเสียงเบาว่า “กำลังใจนั้นไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ให้พวกเด็กๆ พักผ่อนสักพักเพื่อรักษาสมาธิไว้ดีกว่า”

ท่านชายฉินเงียบไม่พูดอะไร เขาพยายามสุดกำลังแล้ว การพาทีมสภาพนี้มาไกลถึงรอบชิงชนะเลิศได้นั้นจะต้องขอบคุณความแข็งแกร่งของกอร์ดอนและมิเชล

นอกจากสองคนนี้ จากสภาพโดยรวมของทีมแล้ว ความสามารถของพวกเขาถือว่าแย่มาก หากใช้คำที่กำลังฮิตในอินเทอร์เน็ตมาพูดก็คือ “ฉันไม่ได้หมายถึงใครเป็นพิเศษนะ ฉันแค่บอกว่าทุกคนที่นั่งอยู่นั้น ล้วนเป็นขยะทั้งนั้น!”

การแข่งขันเริ่มจากให้ที่สามกับที่สี่มาแข่งกันก่อน หลังจากพวกเขามาถึงการแข่งขันก็เริ่มไปได้สักพักแล้ว มีคนมาพาพวกเขาเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็พักอีกสักครู่ ฉินสือโอวพยายามให้กำลังใจอีกรอบเป็นครั้งสุดท้าย การแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว เหล่านักกีฬาเริ่มต่อแถวเดินเข้าสนาม

โรงยิมนี้ไม่เหมือนกับสถานที่ก่อนๆ ที่พวกเขาไปแข่งมาเลย มีจอฉายภาพขนาดใหญ่แขวนอยู่กลางอากาศ พื้นสนามใหม่เอี่ยมเงาวับ หลังกอร์ดอนเข้าสนามแล้วก้มลงมองดู จากนั้นก็พูดกับฉินสือโอวด้วยสีหน้าดีใจว่า “ฉิน เหมือนกับกระจกเลยครับ”

พอดีกับที่มีเด็กร่างกายกำยำหลายคนเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นการกระทำของกอร์ดอนแล้ว คนที่สูงหนึ่งเมตรแปดในนั้นคนหนึ่งก็พูดล้อเลียนขึ้นมาว่า “ไม่เคยเห็นสนามบาสเกตบอลที่ได้มาตรฐานเหรอไง? ไม่น่าล่ะทุกคนถึงบอกว่าพวกนายเป็นพวกชาวประมงบ้านนอก รีบไสหัวกลับไปที่เรือของพวกนายซะ บาสเกตบอลไม่ใช่กีฬาที่พวกนายจะเอื้อมแตะได้หรอกนะ”

เด็กพวกนี้ใส่เสื้อกีฬาสีแดงอมส้ม เห็นได้ชัดว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อที่เข้าสนามมาก่อน

เมื่อได้ยินคำนี้ สีหน้าของกอร์ดอนก็เปลี่ยนไปทันที ปั้นหน้าถมึงทึงรีบเข้าไปตะโกนว่า “ไอ้โง่ แกไม่อยากมีฟันแล้วใช่ไหม?”

มิเชลที่กำลังอบอุ่นร่างกายอยู่นั้นรีบเข้าไปแยกกอร์ดอนกับเด็กกลุ่มนั้น แต่สุดท้ายกลับมีคนมาผลักเขาไปทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างโหดร้ายว่า “ไอ้หนู อย่ามาใกล้ฉันมาก ฉันทนไม่ได้กับกลิ่นคาวปลาเน่าๆ!”

มิเชลโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาจ้องตาเขม็งไปที่เด็กกลุ่มนั้น ไม่พูดอะไร แค่ดึงกอร์ดอนเดินกลับไป

ฉินสือโอวมองดูเงียบๆ อยู่ข้างๆ เขาเดาว่าเด็กพวกนี้น่าจะจงใจอยากมาหาเรื่อง เขาเคยดูเอกสารนักกีฬาของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อแล้ว เด็กสามคนนี้ล้วนไม่ใช่ตัวเต็ง

เห็นได้ชัดว่า พวกเขารู้ถึงความเก่งกาจของกอร์ดอนกับมิเชลจึงจงใจมาหาเรื่องให้พวกเขามีเรื่องชกต่อย จากนั้นกอร์ดอนกับมิเชลก็จะถูกไล่ออกจากสนาม แค่นี้โรงเรียนประถมแกรนท์ก็แพ้อย่างแน่นอนแล้ว

กรรมการสังเกตเห็นท่าทีดุเดือดของทั้งสองฝ่ายจึงเดินเข้ามา นักเรียนโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ เพื่อนร่วมทีม แล้วมองหน้าหาเรื่องฝั่งโรงเรียนประถมแกรนท์

ฉินสือโอวไม่ออกตัวใดๆ เขายืนมองลูกทีมของตัวเอง พวกแซม วอล์กเกอร์ เกรย์ที่ยืนประจันหน้ากับคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง แม้ว่าจะมีกลัวบ้างเล็กน้อย แต่ยังคงลุกขึ้นยืนเพื่อปกป้องกอร์ดอนกับมิเชลไว้

แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ท่านชายฉินพยักหน้าในใจ เจ้าพวกเด็กกลุ่มนี้ไม่เลว

การแข่งขันยังไม่ทันเริ่มแต่นักกีฬาทั้งสองทีมกลับจะตีกันขึ้นมา เมื่อเห็นแบบนี้ทำเอาผู้เข้าชมที่นั่งอยู่พากันเดือดขึ้นมา เด็กๆ ทั้งหลายพากันโห่ร้องออกมาอย่างดุดัน “จัดการเจ้าพวกบ้านนอกสารเลวนี่ไปเลย!” “สั่งสอนบทเรียนให้พวกมันเลยสิกอร์ดอน!” “คุณพ่อปล่อยมือ ผมจะลงไปสั่งสอนเจ้าพวกเลวนี่!”

เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะตีกันขึ้นมา กรรมการรีบเข้ามาใกล้ เตือนให้ทั้งสองฝ่ายแยกกัน สุดท้ายนักเรียนจากโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อจึงเดินกลับไปยังจุดอบอุ่นร่างกายของตัวเองอย่างได้ใจ ราวกับทหารที่ได้รับชัยชนะตั้งแต่ยังไม่เข้าใกล้อย่างไรอย่างนั้น

ในการปะทะกันครั้งนี้ ถือว่าทีมของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อชนะแล้ว เพราะว่าพวกเขามาหาเรื่องถึงฝั่งโรงเรียนประถมแกรนท์ แต่ยังสามารถกลับไปอย่างสง่างามได้อีก แค่นี้ก็ถือว่าชนะแล้ว

เรื่องนี้ทำให้ความฮึกเหิมพุ่งขึ้นมาทันที กองเชียร์ที่นั่งอยู่ฝั่งนักเรียนของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อก็โห่ร้องอย่างเหิมเกริมด้วย

กลับตรงกันข้าม ความฮึกเหิมของทางฝั่งโรงเรียนประถมแกรนท์กลับมีเพียงน้อยนิด ฉินสือโอวมองเห็นจุดนี้ จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “พวกเธอเห็นแล้วนะ พวกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูถูกพวกเธอ เพื่อนๆ ของพวกเขาก็ดูถูกพวกเธอ ผู้ปกครองของพวกเขาเองก็ดูถูกพวกเธอ!”

กอร์ดอนพูดอย่างหัวเสียว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ฉิน พวกเรารู้เรื่องต่ำช้าพวกนี้ดี!”

ฉินสือโอวมองดูพวกเด็กๆ ที่กำลังเศร้าอย่างจริงจัง แล้วตะเบ็งเสียงออกมาทันทีว่า “ทำไมจะพูดไม่ได้? ฟังให้ดีนะ คนแพ้ไม่มีสิทธิ์ให้คนมานับถือหรอก! ถ้าหากพวกนายไม่ชนะ ถ้าหากพวกนายกลัว งั้นก็ไม่มีใครมานับถือพวกนาย! ไม่มีใครจะมาเคารพพวกนาย!”

“นายนึกว่ามีแค่คู่แข่งที่ดูถูกพวกนายงั้นเหรอ? ไม่!” ฉินชี้ไปที่กัวซงที่กำลังคุยอยู่กับกรรมการว่า “แม้แต่คนคนนั้นก็ดูถูกพวกนาย! รู้ไหมว่าตอนอยู่บนรถช่วงท้ายเขาพูดกับฉันว่าอะไร? เขาบอกว่าพวกนายเป็นแค่กลุ่มมือใหม่สมัครเล่น บอกว่าแค่พวกนายได้รางวัลถ้วยเงินก็ถือว่าพระเจ้าคุ้มครองแล้ว!”

พวกเด็กๆ โกรธกันสุดขีดแล้ว พากันใช้สายตาอาฆาตจ้องไปที่กัวซง พวกเขาอาจจะมีฝีมือไม่เท่าคนอื่น แต่คนที่อ่อนไหวง่ายอย่างพวกเขาไม่ยอมให้มีคนมาดูถูกผลงานที่พวกเขาได้มาอย่างยากลำบาก

ฉินสือโอวพูดด้วยเสียงจริงจังว่า “พวกนายอยากชกเขาไหม? ชกให้เหมือนกับที่อยากชกเจ้าพวกที่อยู่ตรงข้ามเมื่อกี้เหรอ? ไม่ เรื่องบนสนามบาสเกตบอลก็ต้องแก้ปัญหาบนสนามบาสเกตบอล! ไปอบอุ่นร่างกาย! ไปเตรียมลงแข่ง! ไปสู้ ไม่ตายก็ไม่ยอมถอยให้กับคู่แข่ง!”

“บอกกับทุกคน พวกเราคือที่หนึ่ง! พวกเราคือราชาแห่งนิวฟันด์แลนด์! ศักด์ศรีของราชาจะไม่ยอมให้ใครมาย่ำยี! ใครกล้าเหยียดหยามเรา ก็ต้องให้พวกเขาเสียใจ! ไป! พวกเราคือราชา จะต้องชนะได้แน่!”

“พวกเราคือราชา! จะต้องชนะได้แน่!”

เด็กทั้งกลุ่มพากันตะโกนออกมา สุดท้ายฉินสือโอวดึงตัวมิเชลไว้ แล้วพูดด้วยสีหน้านิ่งว่า “นายเป็นฝ่ายป้องกัน ฝ่ายป้องกันของเพื่อนร่วมรบของนายล้วนเป็นชาวประมง แต่บนตัวพวกเขาไม่ได้มีเพียงกลิ่นคาวปลาเท่านั้น ยังมีกลิ่นคาวเลือดของฉลามด้วย!”

มิเชลพยักหน้าหนักแน่น ยังคงไม่พูดอะไร แต่สายตาแน่วแน่

อบอุ่นร่างกาย ร้องเพลงชาติแคนาดา จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มตั้งเกมกันบนสนามแข่งเพื่อเตรียมเริ่มการแข่งขัน

ดูจากขนาดร่างกายแล้ว นักกีฬาจากโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อดูแข็งแรงกว่าพวกมิเชลเท่าหนึ่ง แต่ว่าตอนโยนบอลขึ้นไปนั้นแซมไม้ไผ่ยังคงออกตัวได้อย่างสวยงาม เขาตบบอลที่กรรมการโยนขึ้นไปลงมาได้ในทีเดียว

มิเชลได้รับบอลแล้วก็รีบเร่งฝีเท้าออกวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ราวกับพายุหมุนพัดผ่าน คนของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อรีบกลับไปทำการป้องกัน แต่พอเข้าไปถึงเขตเส้นสามคะแนนแล้ว มิเชลก็เปลี่ยนทิศทางถอยหลังกลับ เขากระโดดเพียงทีเดียวเท่านั้นสามแต้มก็ถึงมือแล้ว!

“สวบ!” เสียงดังฟังชัด ลูกบาสผ่านเข้าไปในห่วง

3-0 มิเชลไม่มองกระดานคะแนน เขามองคู่แข่งด้วยท่าทางสุขุม ราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรเลยอย่างนั้น

โรงเรียนประถมแกรนท์เริ่มแผนการรุกอย่างหนักหน่วง ทางฝั่งหงเฉิงจื่อจ่ายบอลออกไป กองหลังของพวกเขาที่ถือบอลอยู่ก็เริ่มลดแรงโน้มถ่วงของร่างกายลงเลี้ยงบอลแล้ววิ่งไปข้างหน้า

ตอนนี้กอร์ดอนทิ้งตำแหน่งป้องกันของเขาลง ราวกับจิ้งจอกภูเขาเขาวิ่งฝ่าเข้าไปในกองหลังที่ถือบอลอยู่ของฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ยื่นมือออกไปเพื่อจะแย่งบอล

เด็กคนนั้นไหวตัวทันรีบพลิกตัวปกป้องบอลไว้ แต่ตอนนี้มิเชลที่จ้องเขาอยู่ตลอดได้ออกตัวแล้ว แขนที่ยาวเหยียดนั้นสะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว ทีเดียวก็แย่งบอลมาได้แล้ว

หลังจากแย่งบอลมาได้แล้ว พอดีกับที่มิเชลหันหน้าเข้าหาห่วงของพวกเขาอยู่แล้ว เขาเลี้ยงลูกวิ่งไปข้างหน้าสองก้าวแล้วก็หยุดลง ขาทั้งสองข้างก้าวไปอย่างรวดเร็ว ก้าวสามก้าวใหญ่ๆ พุ่งเข้าไปในพื้นที่เขตกำหนด

จากนั้น สองเท้ากระโดดกระแทกไปบนสนามอย่างแรงทีหนึ่ง ราวกับนกอินทรีที่สยายปีกบินไปบนฟ้าไกล ยกแขนขึ้นสูงทั้งสองข้าง จับบอลไว้เหวี่ยงออกมาจากหลังหัว เหวี่ยงแขนแล้วกดบอลกระแทกลงไปในห่วง!

“สุบ!” เสียงหยุดลง ตามด้วยเสียงร้องของนักเรียนกับผู้ปกครองที่มาดู พวกเขาพูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาว่า “โอ้ แสลมดังก์!”

แม้ว่าแป้นบาสที่ใช้ในการแข่งขันของนักเรียนประถมจะเตี้ยกว่ามาตรฐานไปหน่อย แต่ว่าในการแข่งขันของนักเรียนประถมนั้นกลับไม่มีคนสามารถทำท่าแสลมดังก์ได้เลย โดยเฉพาะกับเมืองเล็กๆ ที่การกีฬาไม่พัฒนาอย่างเซนต์จอห์นแห่งนี้

แต่แสลมดังก์ของมิเชลเมื่อครู่นี้นั้นเป็นของแท้แน่นอน จอแสดงภาพที่แขวนอยู่กลางอากาศของสนามได้เริ่มฉายภาพซ้ำเมื่อกี้ออกมา เป็นภาพช้าที่แสดงให้เห็นถึงท่าแสลมดังก์ที่สวยงามไร้ที่ติของมิเชล

แสลมดังก์เสร็จลงถึงพื้น มิเชลยังคงไม่ดูการเปลี่ยนแปลงของกระดานคะแนน เขาวิ่งผ่านคู่แข่งที่กำลังตาค้างอยู่ แล้วพูดเสียงเบาว่า “จำวันนี้ไว้นะ ฉันมาสอนแทนพ่อแม่และครูของพวกนาย ว่าการเคารพคนอื่นต้องทำอย่างไร!”

กอร์ดอนเข้าไปผลักมิเชลทีหนึ่งอย่างดีใจ แล้วตะโกนว่า “เพื่อน นายถึงขั้นแสลมดังก์ได้เลยเหรอเนี่ย!”

เมื่อเห็นพี่น้องตัวเองแล้ว มิเชลก็ยิ้มออกมา แล้วก็กลับไปทำหน้าสุขุมเหมือนเดิมแล้วพูดว่า “แสลมดังก์ได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฉันจะทำลายเจ้าพวกสารเลวพวกนั้นซะ!”

แม้ว่าสีหน้าส่วนใหญ่ของมิเชลมักแน่นิ่งเหมือนน้ำในบ่ออยู่แล้ว แต่คนที่สนิทกับเขาต้องรู้สึกได้แน่นอน เขาเดือดขึ้นมาแล้ว!

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท