ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1255 เพาะเลี้ยงตัวอ่อน

บทที่ 1255 เพาะเลี้ยงตัวอ่อน

ฉินสือโอวหวังมากๆ ว่าเบิร์ดจะนั่งบอลลูนมารับเขากลับเกาะแฟร์เวล เสียเงินซื้อของพวกนี้ไม่ใช่เพื่อเอาไว้ใช้หรอกเหรอ?

เบิร์ดเหงื่อออกเต็มหัว ถ้าขับบอลลูนมารับคนจริงๆ คงได้ยุ่งโน่นนี่ทั้งวัน บอสช่างเข้าใจล้อเล่นจริงๆ

กลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็เตรียมบริเวณเพาะเลี้ยงลูกปลา จากนั้นก็ขายให้กับหุ้นส่วนที่รู้จักกันในงานประมูล

งานประมูลในครั้งนี้เขาก็ได้มาไม่น้อย เขาเอาสัตว์น้ำไปทั้งหมดสิบสองชนิดซึ่งโดนแย่งหมดไม่เหลือ ครั้งนี้เงินที่เข้าบัญชีเขามีมากกว่าสี่ล้าน พวกฟาร์มปลาขนาดกลางทำงานทั้งปีก็ได้เงินเท่านี้

ตอนเช้าพอเตรียมของเสร็จฉินสือโอวถามว่าจะเริ่มทำงานแล้วหรือเปล่า ชาร์คถามว่าเขาจะไปด้วยเหรอ ถ้าเขาไปด้วยก็ต้องเปลี่ยนเป็นชุดดำน้ำ งานต้อนลูกปลามาเพาะเลี้ยงไม่ใช่งานสบาย

นอกจากฟาร์มปลาที่เพาะเลี้ยงลูกปลาโดยเฉพาะ โดยปกติเหล่าเจ้าของฟาร์มปลาจะไม่อยากทำงานนี้ เพราะเปลืองแรงมาก ต้องเลือกชนิดปลาเฉพาะจากฝูงปลามากมายในฟาร์มปลา เหมือนอย่างที่ชาร์คบอก งานนี้ไม่ง่าย

นอกจากจะเปลืองแรงแล้ว งานนี้ยังต้องใช้แรงงานคนและทรัพยากรเยอะ เรือประมงที่ออกยิ่งเยอะยิ่งดี เรือแค่ลำสองลำนั้นยังไม่พอ

ดีที่ฟาร์มปลาต้าฉินมีเรือให้ใช้มากพอ เรือกำปั่นทะเลสี่ลำเป็นเรือเร็ว แต่เปลี่ยนสักหน่อยก็เป็นเรือประมงได้ รวมถึงเรือฮาวิซท เรือประมงสองลำที่ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ยืมมาจากในเมือง ยังมีเรือนกนางนวลอีก เรือทั้งแปดลำออกทะเลอย่างยิ่งใหญ่

ฉินสือโอวยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือนกนางนวลเพื่อรับลมทะเล อีวิลสันผู้มีหุ่นอ้วนท้วนกำยำยืนอยู่ข้างเขาราวกับเป็นเทพทวารบาล สองมือเขาประสานอยู่ข้างหลังด้วยความรู้สึกดีกับตัวเอง “ฉันเป็นราชาโจรสลัด! ราชาแห่งท้องทะเล! ราชาของราชานับร้อย!”

บูลกับนีลเซ็นที่กำลังยุ่งถกเถียงกันเสียงเบา “บอสกำลังพูดอะไร?” “ไม่รู้สิ เขาเคยเจอเรื่องสะเทือนใจที่ท่าเรือบาสก์ คงจะกำลังระบายมั้ง?”

“ไปทำงานให้ข้าให้หมด!” ฉินสือโอวหันมาตะโกนอย่างน่าเกรงขาม สีหน้าเคืองๆ เขาโกรธอีวิลสันก็โกรธ ยกกำปั้นที่เหมือนไหแล้วตะโกน “ไปๆๆ!”

พออีวิลสันโกรธ บูลก็สะดุ้งโหยง เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “กัปตันมีอะไรก็พูดดีๆ สิ พูดเองนะว่าจะไม่ใช้อีวิลสันก่อน เอะอะก็เอาเขาออกมา แบบนี้จะล้อเล่นกันหรือไง?”

อีวิลสันเห็นว่าเขายังคงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ แต่ไม่ว่าเขาพูดว่าอะไร ขาราวขาช้างก็ขยับแล้ววิ่งมา ‘ตึกๆ’ ก่อนจะตะโกน “ไม่ฟังคำสั่งฉิน ฉันจะอัดแกให้เละ!”

“อ๊าก กัปตันช่วยด้วย!”

ขั้นตอนแรกของการเพาะเลี้ยงลูกปลาก็คือรวบรวมลูกปลา วิธีก็คล้ายกับการลากอวนจับปลา เพียงแต่ครั้งนี้อวนจะปิดปาก เรือประมงจะลากอวนอันใหญ่แล่นช้าๆ ไปในทะเล

คนบนเรือต้องหว่านอาหารที่ดึงดูดปลาไปที่อวน ปลาต่างชนิดกันชอบอาหารปลาแตกต่างกัน นี่เป็นการให้โอกาสได้เลือก

ตาของอวนมีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือ มีเพียงลูกปลาที่มุดเข้าไปได้ ปลาตัวใหญ่เข้าไม่ได้ พอผ่านไปช่วงหนึ่งในอวนก็จะมีลูกปลา และถูกลากกลับเข้าชายฝั่งพร้อมอวน ลูกปลาก็ถึงมือแล้ว

แน่นอนว่านี่เป็นแค่ขั้นตอนคร่าวๆ ตอนทำจริงนั้นยุ่งยากกว่านี้มาก ชาร์คให้ฉินสือโอวใส่ชุดดำน้ำ เพราะตอนที่ทำงานต้องคอยลงน้ำไปเติมอาหารปลาในอวนเรื่อยๆ

นอกจากนี้ อวนจะล่อปลาได้ไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้น ยังต้องมีไฟด้วย

ก่อนจะโยนอวนลงทะเล ฉินสือโอวกับบูลก็เอาไฟล่อปลาที่เตรียมไว้ใส่ลงไป

เขาซื้อไฟล่อปลามาด้วยราคาสูง ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงฟาร์มปลา ตอนนั้นสาหร่ายและพืชน้ำในฟาร์มปลายังมีพลังโพไซดอนไม่มาก ความล่อตาล่อใจต่อลูกปลาจึงไม่มากพอ ฉินสือโอวกลัวว่าลูกปลาลงทะเลแล้วจะหนีไป จึงซื้อไฟล่อปลามาดึงดูดให้พวกมันอยู่โดยเฉพาะ

ในอวนหนึ่งใส่ไฟล่อปลาไว้สองพรวน แสงไฟสลัวแต่ส่องสว่างเป็นวงกว้าง อวนปลาใหญ่โตกลายเป็นลูกบอลไฟใต้ทะเล ปลาค็อดชอบแสงจึงถูกล่อเข้ามา

นี่เป็นงานที่ใช้ความอดทน ใจร้อนไม่ได้ ฉินสือโอวนั่งอยู่บนดาดฟ้ากับเบียร์สองกระป๋อง เรือนกนางนวลเดิมเป็นเรือยอชต์สุดหรู แค่มีคุณสมบัติลากอวนได้ ฉะนั้นเลยเหมาะกับการพักผ่อนแบบนี้มาก

นีลเซ็นเข้ามาแบ่งไปหนึ่งกระป๋องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฉินสือโอวถาม “ไง เพื่อน นายกับแพรีสไปถึงไหนกันแล้ว? ออกทะเลคราวที่แล้วจีบสาวคนนี้ติดแล้วเหรอ?”

ได้ยินแบบนี้ นีลเซ็นก็แสดงท่าทีจริงจังออกมาแล้วพูดว่า “บอส อะไรคือ ‘จีบติด’?”

บูลเดินเข้ามาพูดเสริม “นั่นสิ บอส ไม่รู้สึกว่าถามแบบนี้จะดูเล่นๆ ไปหน่อยเหรอ? ดูผมนี่ เพื่อน ครั้งที่แล้วที่ออกทะเลแกจัดการสาวน้อยคนนั้นไปแล้วหรือยัง? กี่รอบแล้วล่ะ? ยอมยัง?”

พูดไปบูลก็หัวเราะร่าออกมา ฉินสือโอวมองดูนีลเซ็นที่มีสีหน้าเหมือนท้องผูกก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน

นีลเซ็นชูนิ้วกลางให้ทั้งสองคน ด่าว่า ‘งี่เง่า’ แบบโกรธๆ แต่ก็ตอบคำถามแบบจริงจัง “แน่นอนว่าเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ปรากฏตัวออกมา แพรีสก็กลัวมาก พวกเราเลยมีอะไรกัน”

ฉินสือโอวถาม “พวกแกได้ป้องกันหรือเปล่า? ถ้าไม่ละก็งั้นฉันก็เป็นตัวอย่างของแก”

นีลเซ็นพูดแบบไม่ใส่ใจ “ผมกับแพรีสรักกันจริงๆ ไม่ต้องป้องกัน พวกเราเตรียมงานแต่งกันแล้ว บางทีหลังบอสแต่งงานไม่นาน ผมก็จะจัดงานเหมือนกัน”

ฉินสือโอวชะงักไป นีลเซ็นเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ติดตามเขา ขยันขันแข็งมาตลอด เป็นลูกน้องคู่ใจตามแบบมาตรฐาน ถ้าเขาแต่งงาน ในฐานะเจ้านายก็ต้องสนับสนุนหน่อย

เขาเลยถามว่า “แกเตรียมแหวนแต่งงานไว้พร้อมหรือยัง?”

นีลเซ็นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ยังเลยครับ ผมกะว่าพอได้โบนัสปลายปีนี้จะใช้เส้นสายซื้อเพชรที่เม็ดใหญ่หน่อย ผมมีเพื่อนร่วมรบที่เป็นยามให้เจ้าของเหมืองที่แอฟริกาใต้ พวกเขามีของดีในมือ บอสจะเอาด้วยไหมครับ?”

ฉินสือโอวตอบ “ฉันไม่ต้องแล้ว แหวนแต่งงานฉันเตรียมแล้ว เพียงแต่ นายก็ไม่ต้องดิ้นรนขนาดนั้น ฉันยังมีหินปะการังก้อนใหญ่อยู่ที่ทิฟฟานี่ นายเอาแบบขนาดนิ้วไปทำคู่หนึ่งก็ได้แล้ว”

พอได้ยินแบบนั้น นีลเซ็นก็ดีใจทันที แต่จากนั้นก็เกาจมูกอย่างเกรงใจแล้วพูดว่า “ไม่ดีกว่า แบบนี้คงไม่ดี ของนั้นแพงเกินไป”

แหวนหมั้นที่ฉินสือโอวให้วินนี่มีมูลค่าเป็นล้าน แม้ว่าราคาต่อหน่วยของปะการังทะเลน้ำลึกไม่แพงมาก แต่เพื่อจะทำแหวนคู่นี้ ก่อนหน้านี้ทางทิฟฟานี่ทำแหวนพังไปสี่คู่จนสุดท้ายถึงได้คู่นี้มา

“ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นของขวัญแต่งงานจากบอสอย่างฉัน” ฉินสือโอวกล่าว “บูลแต่งงานอีกครั้งฉันก็จะให้วิลล่าหนึ่งหลังกับบูลไม่ใช่เหรอ? มูลค่าขอทั้งสองอย่างนี้ก็พอๆ กัน”

บูลเลียปากแล้วพูดขึ้น “บอส ช่วงนี้ผมกับแอนนาก็ระหองระแหงกัน อาจจะหย่าอีก”

ฉินสือโอวรู้ความหมายของเขาจึงพูดอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “ไม่เป็นไร หย่าสิ อย่ากังวลไป ฉันจะแนะนำคนรวยๆ ให้แอนนารู้จัก ต่อไปเธอกับลูกต้องอยู่อย่างสุขสบายแน่”

บูล “…”

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท