ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1254 ถึงบ้านแล้ว

บทที่ 1254 ถึงบ้านแล้ว

รถไฟออกตัวอีกครั้ง เท่ากับว่าได้เวลาอาหารค่ำแล้ว

ผู้โดยสารระดับพรีเมียมมีสองตัวเลือก คือพวกเขาสามารถไปทานอาหารที่รถอาหารหรือสั่งอาหารกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟ ฉินสือโอวอยากไปที่รถอาหาร นีลเซ็นหยุดเขาไว้ แล้วพูดว่า “บอส จ่ายเงินตั้งมากมายก็ต้องได้รับการบริการคุณภาพสูงสิครับ คุณอยากทานอะไรครับ? พวกเราสั่งอาหาร แล้วให้พวกเขามาส่งกัน”

ออสเปรพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมต้องให้พวกเขามาส่งด้วย? พวกเราไปที่รถอาหารแทนไม่ดีกว่าเหรอ?”

ถ้าหากอยากให้พนักงานมาบริการ งั้นพวกเขาก็ต้องจ่ายทิปด้วย ออสเปรเป็นผู้ชายที่ใช้ชีวิตเป็นคนหนึ่ง

นีลเซ็นพาดหัวไปบนไหล่แล้วแนบไปที่หูเขา “เจ้าโง่ ถ้าเกิดเจอเข้ากับพวกคนโง่อีกจะทำอย่างไร? หากว่าได้รับการกระตุ้นถึงสองครั้งภายในวันเดียว ฉันว่าบอสน่าจะระเบิดได้นะ”

ออสเปรพยักหน้าทันที แล้วพูดพร้อมเหตุผลว่า “ก็คือ บอสครับ รถไฟที่พวกเรานั่งอยู่นั้น เสียเงินไปเกือบสี่พันเหรียญ…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาเบะปาก รู้สึกปวดใจขึ้นมานิดๆ ไอ้สารเลวนีลเซ็นต้องไม่คืนเงินเขาแน่นอน และเขาก็ไม่กล้าไปขอเงินจากศาสตราจารย์แซนเดอร์สด้วย เมื่อเป็นแบบนี้เขาคงต้องคนจ่ายแล้วล่ะ

“ดังนั้น พวกเราจึงต้องใช้บริการของพวกเขาให้เต็มที่สิครับ” ออสเปรดีดนิ้วเรียกพนักงานมาหา แล้วถามว่า “เมนูหลักของอาหารค่ำมื้อนี้มีอะไรบ้างครับ?”

พนักงานที่สวยและอ่อนโยนยิ้มแล้วพูดว่า “มีทั้งหมดสี่ตัวเลือกค่ะ อาหารของพวกเราพยายามรวบรวมอาหารขึ้นชื่อของเมืองที่รถไฟผ่านให้ได้มากที่สุด คืนนี้ได้ผ่านเมืองคอเนอร์บลังก้า ดังนั้นอาหารทั้งสี่อย่างคือเมนูกุ้งฝอยและหอยเชลล์ ซอสเปรี้ยวหวานซาซคาทูน ปลาเทราต์แม่น้ำจิ้มวาซาบิ และขนมปังจิ้มซอสเปรี้ยวหวาน”

“สี่ชุด ราคาเท่าไรครับ?” ออสเปรยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน พนักงานของรถไฟระดับพรีเมียมของแคนาดามีคุณภาพสูงมาก ไม่ต่างจากแอร์โฮสเตสของเครื่องบินนานาชาติระดับเฟิร์สคลาสเลย

พนักงานคนสวยกล่าว “แต่ละชุดราคาหนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญค่ะ หากว่าคุณสั่งสี่ชุด ก็เป็นสี่ร้อยแปดสิบเหรียญค่ะ”

น้ำผลไม้ในปากของฉินสือโอวแทบพุ่งไปโดนหน้าของศาสตราจารย์ที่อยู่ตรงหน้า นี่มันปล้นกันชัดๆ คอเนอร์บลังก้าเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้ขึ้นชื่อเลย ค่าครองชีพต่ำมาก พวกเขาทั้งสี่คนไปกินเที่ยวกันในโรงแรมที่ดีที่สุดในท้องถิ่นก็น่าจะราคานี้แหละ แต่ที่นี่กลับได้แค่อาหารสี่อย่างเท่านั้นเหรอ?

ออสเปรไม่สนใจ เขาเตะนีลเซ็นทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ตานายแล้ว เร็ว จ่ายเงิน”

นีลเซ็นพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ฉันไม่หิวสักหน่อย นายสั่งแค่สามชุดก็พอแล้ว นายจ่ายเอง”

พนักงานสาวใช้ตาใสดวงโตนั้นจ้องไปที่ออสเปร ออสเปรหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “เพื่อนของผมล้อเล่นน่ะครับ ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนขี้เหนียวหรอก ผมถามนิดหนึ่งครับ คุณคนสวย ไม่ทราบว่าคุณมีแฟนหรือยังครับ?”

เมื่อออสเปรพูดแบบนี้ นีลเซ็นจึงไม่กล้าเล่นต่ออีก เขาหยิบเงินจากกระเป๋าเงินออกมาห้าร้อยเหรียญ ค่าทิปยี่สิบเหรียญค่าข้าวอีกสี่ร้อยแปดสิบเหรียญ ห้าร้อยเหรียญพอดี

พนักงานเก็บเงินไปทันที จากนั้นยิ้มแล้วก็พูดว่า “ใช่ค่ะคุณผู้ชาย ดิฉันมีแฟนแล้วค่ะ”

ออสเปรเห็นเธอเดินจากไปแล้ว ก็รีบยิ้มหน้าทะเล้นดึงเธอไว้แล้วพูดว่า “แล้วคุณคิดอยากจะเปลี่ยนแฟนไหมครับ? อ่าๆ อย่าเพิ่งรีบไปครับ ไม่อยากเปลี่ยนแฟน แล้วคุณอยากมีแฟนเพิ่มมาอีกคนไหมครับ?”

สุดท้ายนีลเซ็นที่ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว เลยดึงออสเปรไว้กับที่นั่งแล้วบอกว่าอย่าขายหน้าไปมากกว่านี้เลย รอกับข้าวมาถึงอย่างเงียบๆ ก็พอ

ตอนฉินสือโอวกินข้าวแล้วเพิ่งจะรู้ว่า ท้ายรถไฟมีโบกี้ชื่อว่า Park-Car ที่นั่นเป็นโบกี้สำหรับพักผ่อน ที่มีทั้งบาร์เครื่องดื่ม หน้าต่างและหลังคาชมวิว ด้านหลังของโบกี้นั้นยังมีห้องพักผ่อนสำหรับดูดีวีดี และยังสามารถร้องคาราโอเกะได้อีกด้วย

เมื่อรู้เรื่องอย่างนี้แล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา ไม่แปลกที่รถไฟของแคนาดาจึงเรียกว่ามีไว้สำหรับคนชนชั้นกลาง เจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่เครื่องมือการคมนาคม แต่เป็นที่สำหรับสังสรรค์มากกว่า

รถไฟระดับพรีเมียมก็เหมือนกับโรงแรมขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มีเก้าอี้ที่เก็บที่พนักแขนได้ เพื่อใช้ในการเพิ่มเนื้อที่ให้กับเตียงในตอนกลางคืนได้ บนหัวเตียงยังมีตู้เสื้อผ้า บนนั้นมีเต้าเสียบอยู่ ในโบกี้มีเครื่องกระจายสัญญาณ WIFI สามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้ตลอดการเดินทาง

มองออกได้เลยว่าแคนาดามีพื้นที่กว้างใหญ่มาก หลังตื่นนอนแล้วรถไฟยังคงวิ่งอยู่บนผืนหญ้าอยู่เลย

ฉินสือโอวมองออกไปนอกหน้าต่าง ยังคงไม่มีแสงอาทิตย์ ดูท่าว่าวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ครึ้มฝน

ในแต่ละช่วงบนผืนหญ้านั้นจะมีโรงเก็บข้าวเปลือกอยู่ ส่วนข้างๆ โรงเก็บข้าวเปลือกนั้นก็จะมีลิฟต์กระเช้าอยู่ บางครั้งยังสามารถเห็นเจดีย์คอนกรีตอีกด้วย

แซนเดอร์สอธิบายให้ฉินสือโอวฟังว่าที่นี่เคยเป็นฟาร์มเกษตรที่อุดมสมบูรณ์มาก แต่ว่าพวกเจ้าของฟาร์มเกษตรโลภมาก จนทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง ตอนนี้จึงจำเป็นต้องปลูกหญ้าเพื่อเพิ่มสารอาหารให้กับดิน

เมื่อคิดถึงการทรุดโทรมของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์แล้ว ฉินสือโอวรู้สึกว่าแคนาดาก็ไม่ได้สูงส่งอย่างที่เลื่องลือเลย ดูท่าว่าความละโมบจะเป็นสันดานของมนุษย์ ดินที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ยังถูกใช้เสียจนต้องพึ่งการปลูกหญ้าในการเพิ่มสารอาหาร เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าของฟาร์มเกษตรลงแรงในการทำร้ายดินพวกนี้แค่ไหน

ผ่านผืนหญ้าไป รถไฟได้เข้าไปสู่ทางภูเขาที่ขรุขระ เริ่มจากการเห็นโรงงานสกัดน้ำมันขนาดเล็กหลายที่ก่อน ที่นี่คือที่ที่มีนาน้ำมันบนดินที่มีอยู่น้อยนิดในนิวฟันด์แลนด์ ต่อมาก็เป็นกลุ่มโขดหิน ผืนต้นสนหนามจีนและต้นสน จากนั้นก็เข้าไปในเขตภูเขาอีกรอบ

เขตภูเขามีหุบผาชันแห่งหนึ่ง ทางรถไฟทะลุผ่านไปทางนี้ หุบผานี้แคบมาก แต่ละฝั่งสามารถรองรับรางรถไฟได้เพียงเส้นเดียวเท่านั้น การที่รถไฟเคลื่อนผ่านในที่แบบนี้ ก็เหมือนกับการอยู่แนบกับผนังหุบเขาอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก

รถไฟเคลื่อนที่ค่อนข้างช้า อย่างไรเสียเป้าหมายของมันก็ไม่ใช่เพื่อการคมนาคมขนส่งผู้โดยสารเท่านั้น ยังต้องให้ผู้โดยสารสัมผัสกับประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ โดยการชมวิวระหว่างทางอีกด้วย

ท่าเรือบาสก์ถึงเซนต์จอห์น รถไฟเคลื่อนที่ช้าๆและใช้เวลาไปสองวันสองคืน หากว่าอยู่บนรถไฟขบวนปกติ เวลาเท่านี้แม้ว่าจะนอนอยู่ตลอดเวลา ฉินสือโอวก็ยังคงเบื่ออยู่ แต่พออยู่บนรถไฟขบวนนี้แล้ว เขาพักผ่อนได้สบายมาก สุดท้ายตอนลงรถไฟแล้ว เขาจึงรู้สึกสบายไปหมดทั้งกายและใจ แถมร่างกายกระปรี้กระเปร่าด้วย

ก่อนลงรถฉินสือโอวถ่ายเซลฟี่กับโบกี้ก่อน ออสเปรถามอย่างมีความสุขว่า “บอสครับ เป็นอย่างไรบ้าง ความรู้สึกในการนั่งรถไฟไม่เลวเลยใช่มั้ยครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว”

ออสเปรพูดว่า “ความจริงรถไฟระดับนี้ยังไม่สูงพอนะครับ ต่อไปถ้ามีโอกาส คุณลองนั่งรถไฟนานาชาติดูนะครับ ที่นั่นมีชั้นเฟิร์สคลาส หนึ่งโบกี้มีแค่สองห้อง แต่ละห้องทั้งล้วนเป็นห้องสวีทระดับประธานาธิบดีทั้งนั้นเลยครับ!”

ฉินสือโอวพูดอย่างใจจดใจจ่อว่า “งั้นก็ดีสิ ถ้ามีโอกาสต้องลองสักครั้ง ถึงตอนนั้นนายยังจะจ่ายให้อีกใช่ไหม?”

ออสเปร “ฮ่าๆๆ บอสเข้าใจพูดเล่นนะครับ คือผมไม่ค่อยสบายท้องไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ ไม่คุยแล้ว”

ก่อนรถไฟใกล้ถึงเซนต์จอห์นฉินสือโอวได้โทรศัพท์ไปก่อน มีคนขับเรือลาดตระเวนมารับพวกเขา พอฉินสือโอวขึ้นเรือแล้วก็พบว่า คนที่ขับเรือมาก็คือเบิร์ดนี่เอง

ก่อนหน้านี้เบิร์ดถูกเขาส่งไปบริษัทแองเจิ้ลเพื่อสอบใบขับบอลลูน จากนั้นบีบีซวงก็ถูกส่งไปด้วยอีกคน ดังนั้นการไปท่าเรือบาสก์ครั้งนี้จึงให้ออสเปรเป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์ แต่ว่าเขาโชคไม่ดี ขับครั้งแรกก็เกิดปัญหาเลย

เมื่อได้เห็นเบิร์ด ฉินสือโอวดีใจอย่างมาก ถามเขาไม่หยุดว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เบิร์ดหยิบบัตรสีเงินออกมาใบหนึ่ง นี่ก็คือใบอนุญาตในการขับบอลลูนนี่เอง มีเจ้าสิ่งนี้แล้ว จากนี้ฉินสือโอวก็สามารถบินขึ้นฟ้าได้แล้ว

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท