ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1258 ทำงานล่วงเวลาด้วยกัน

บทที่ 1258 ทำงานล่วงเวลาด้วยกัน

กินอิ่มก็พักกันอีกสักหน่อย ฉินสือโอวสั่งงานให้ทั้งสามคนเริ่มทำงานตอนบ่ายโมง

ภายในอวนมีลูกปลาค็อดต่างชนิดกันมารวมกันมากพอแล้ว มีปลาค็อดแอตแลนติก ปลาคาพีลิน ปลาแฮดดัค ปลาหิมะ ปลาค็อดกรีนแลนด์ เป็นต้น ลูกปลาอัดแน่นเต็มอวนยักษ์ใหญ่

ที่จริงแล้วก็เพราะเป็นลูกปลาถึงหลอกง่ายขนาดนี้ มีอาหารก็เข้าไปกิน

ปลาค็อดโตเต็มวัยในฟาร์มปลาใช้อาหารล่อไม่ได้ ลูกปลายังไม่ค่อยได้กินอาหารที่มีพลังโพไซดอนมากเท่าไร สำหรับพวกมันแล้ว การหาอาหารได้ง่ายก็คือวิธีที่ดีกว่า

ปลาค็อดโตเต็มวัยยอมลำบากไปไล่จับหมึกกระดอง ปลาหมึก ปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะกับปลาคาพีลิน แต่จะไม่เข้าไปกินอาหารพวกนั้นง่ายๆ

นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมปลาทะเลของฟาร์มปลาต้าฉินถึงเนื้อสัมผัสดี รสชาติยอดเยี่ยม ไม่ใช่แค่เพราะพลังโพไซดอนปรับเปลี่ยนเนื้อของมัน ยังเพราะปลาที่นี่ออกกำลังเยอะ ไม่เหมือนกับปลาค็อดฟาร์มอื่นที่แค่รอกินอาหารอย่างเดียว

ปลาของฟาร์มปลาต้าฉินเป็นปลาทะเลธรรมชาติขนานแท้ รสชาติจึงอร่อยกว่าเป็นธรรมดา

ฉินสือโอวรู้ดี ถ้าไม่มีอาหารที่มีพลังโพไซดอน หลังจากที่ลูกปลาค็อดที่เขาขายไปโตขึ้น คุณภาพจะเทียบกับฟาร์มเขาไม่ได้แน่นอน แต่เขาก็ไม่ได้ต้องรู้สึกผิด เพราะลูกปลาของเขากระปรี้กระเปร่ากว่า พวกมันไม่กินแต่อาหารอย่างเดียว แต่หาอาหารกินเองเป็นด้วย คุณภาพดีกว่าปลาค็อดที่เป็นลูกปลาธรรมดา

นอกจากนี้ พลังโพไซดอนก็ได้เปลี่ยนยีนของปลาค็อดไปในระดับหนึ่ง เนื้อสัมผัสของปลาจากฟาร์มปลาจะดีกว่าปลาข้างนอกตั้งแต่แรกเกิด

แน่นอนว่านี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ฉินสือโอวยินดีขายลูกปลา อย่างที่ว่าสอนศิษย์จนครูอับจน เขาไม่ได้โง่ขนาดขายลูกปลาแล้วต่อไปโตมาเป็นปลาที่เหมือนกับของเขา นี่ไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวหรือไง?

ค่อยๆ ลากอวนไป เรือนกนางนวลหันหัวเรือแล่นกลับ เวลาแบบนี้ความเร็วของเรือต้องช้าและสม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกปลายินยอมอยู่ในอวน เพราะตาอวนมีขนาดที่กว้างเกินไป ลูกปลาสามารถหนีออกไปได้

แต่ถ้าความเร็วของเรือช้าเกินไป งั้นลูกปลาก็จะหันไปสนใจอย่างอื่น แบบนี้ก็ไปจากอวนอยู่ดี และถ้าเกิดว่าความเร็วของเรือประมงเปลี่ยนก็ไม่ได้ ลูกปลาจะตกใจแล้วก็หนีไปอีก

ดังนั้นการลากอวนกลับเป็นการทดสอบทักษะของคนขับมากๆ ฉินสือโอวพาบูลมาก็เพื่อให้เขาทำงานนี้

บูลมีข้อเสียเยอะมาก อารมณ์ร้อน ชอบหาเรื่อง แต่ด้านการจับปลาเขาฝีมือดีจริง ขับเรือลากอวน ตกปลาจับปลา ล้วนแต่ชำนาญทั้งนั้น

บูลวิเคราะห์ความเร็วที่เหมาะกับลูกปลาจากหน้าจอเครื่องหาปลา จากนั้นก็ปรับความเร็วเรือแล้วขับออกไป

เครื่องหาปลาตอนนี้ล้ำสมัยมาก บนหน้าจอมีจุดสีเขียวอยู่เต็ม พวกนี้ก็คือลูกปลา สามารถตรวจดูคร่าวๆ ได้

ลูกปลาแม้จะกินอิ่มแล้ว แต่ในอวนก็มีไฟล่อปลา อาทิตย์ลับขอบฟ้า ใต้น้ำก็มืดหมดแล้ว ไฟล่อปลาน่าดึงดูดสำหรับลูกปลามากขึ้นเรื่อยๆ ดึงดูดให้พวกมันไปตามเรือประมง

ใช้เวลาไปสองชั่วโมงกว่า ฟ้ามืดแล้วเรือนกนางนวลถึงเทียบท่า ที่บริเวณรอบนอกท่าเรือได้ติดตั้งตาข่ายล้อมไว้หมดแล้ว ตาข่ายพวกนี้มีลูกตุ้มตะกั่วถ่วงลงไปถึงก้นทะเล ตาข่ายสองผืนเชื่อมกันเป็นเหมือนประตูสองบาน

พอเรือมาตาข่ายก็ถูกดึงออก เท่ากับเปิดประตูให้เรือแล่นเข้าไป รอจนเรือเข้ามาถึงค่อยปล่อยให้ตาข่ายปิดลงมา ก็เท่ากับเป็นการปิดประตู

ตาของตาข่ายเล็กมาก พอลูกปลาเข้ามาก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว คราวนี้ถึงจะถือว่าล้อมคอกลูกปลาสำเร็จ

ฉินสือโอวเดินลงจากเรือประมงพลางถอนใจแล้วพูดว่า “งานนี้ไม่ง่ายเลย”

ชาร์คที่กลับมาก่อนพูดยิ้มๆ “ไม่ บอส ที่จริงนี่เป็นงานในทะเลที่เบาที่สุดแล้ว เทียบกับการออกทะเลหาปลาที่ได้นอนแค่วันล่ะสองสามชั่วโมง ผมยอมออกไปหาลูกปลาทุกวันยังดีกว่า”

ฉินสือโอวและพวกชาวประมงพูดคุยกันจนถึงวิลล่าและเตรียมกินข้าว แต่วินนี่ยังไม่กลับมา

แม่ฉินกอดเสี่ยวเถียนกวาเล่นอยู่กับพวกพี่น้องเฟอเรท ทั้งสองตัวทำหน้าหมองหม่น เห็นได้ชัดว่าโดนเสี่ยวเถียนกวาฟัดมาอย่างหนัก

พอฉินสือโอวเข้าประตูไป เฟอเรทผู้พี่ก็รีบวิ่งมาหา ‘สวบ’ แวบไปอย่างรวดเร็วไปหาฉินสือโอว แล้วแสดงออกถึงความดีใจแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนเฟอเรทผูน้องที่อยากจะหนีแต่ก็หนีไม่ได้ เสี่ยวเถียนกวาจับมันไว้ในมือเหมือนกำลังกอดตุ๊กตา

ฉินสือโอวถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมวินนี่ยังไม่กลับมาอีกล่ะ?”

แม่ฉินพูด “เธอโทรมาบอกแล้วว่าวันนี้ยุ่งๆ เลยต้องทำงานล่วงเวลา รีบไปดูเธอหน่อยเถอะ อีกอย่าง กอดลูกสาวด้วย เฮ้อ เสี่ยวเวยวันนี้งอแงมากเลย”

ฉินสือโอวรับลูกสาวมาดู ตาของเด็กน้อยบวมอย่างกับลูกพีช ขนตาเปียกเป็นแพ บนใบหน้านุ่มนิ่มยังคงมีคราบน้ำตา ท่าทีน่าสงสาร

“เป็นอะไรไป?” ฉินสือโอวอุ้มลูกสาวขึ้นพาดไหล่แล้วหยอกเธอพลางถาม พอเด็กน้อยถูกกอดในออมอกก็โยนเฟอเรทผู้น้องทิ้งไป ยื่นมือมาคว้าคอเสื้อเขาไว้แน่นแล้วตะโกนสุดเสียง “ปะป๊าๆๆ…”

เฟอเรทผู้น้องนอนแผ่อยู่บนพรมเหมือนหนูตาย ท้องเล็กๆ นั้นขยับขึ้นลงรัวเร็ว ตาทั้งสองข้างจ้องเพดานราวกับเสียสติไปแล้ว

เฟอเรทผู้พี่รีบวิ่งเข้าไปแล้วยื่นอุ้งมือออกมาเกาบนตัวมันอย่างระมัดระวัง เห็นพี่ชายเข้ามา เฟอเรทผู้น้องก็ได้สติ มันรีบลุกขึ้นมาแล้วมองเสี่ยวเถียนกวาด้วยสายตาหวาดกลัว จากนั้นก็หนีไปอย่างรวดเร็ว

แม่ฉินอธิบายว่า “ลูกกับวินนี่ไม่กลับมาทั้งวัน เสี่ยวเวยคิดถึงพวกลูกมาก ร้องไห้ทั้งวันเลย ตอนหลังแม่เอาสัตว์เลี้ยงที่ลูกเลี้ยงไว้มาให้เล่น เธอถึงดีขึ้นหน่อย สงสารก็แต่หนูสองตัวนี้ โดนฟัดไม่เบาเลย”

ฉินสือโอวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “แม่ นั่นไม่ใช่หนู นั่นคือเฟอเรทแบลคฟุต!”

แม่ฉินเข้าใจในทันที “แม่ก็ว่า หนูตัวนี้หน้าตาแปลกจัง แต่กินจุมาก เมื่อกลางวันให้อาหารพวกมันไปไม่น้อย ดูเหมือนว่าพวกมันก็ยังไม่อิ่ม”

ฉินสือโอวรีบพูด “แม่ แม่ต้องดูพวกมันสองตัวดีๆ หน่อยนะ เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แพงมากเลยนะ ตังหนึ่งราคาเป็นล้าน!”

เขารู้ว่ามีแค่การพูดแบบนี้แม่ฉินกับพ่อฉินถึงจะเห็นความสำคัญของพี่น้องเฟอเรท ในสายตาของทั้งสองพวกมันก็เป็นแค่หนูคู่หนึ่ง ปกติยังไม่ให้เสี่ยวเถียนกวาแตะต้องเลย เพราะกลัวมันจะแพร่เชื้อพวกไวรัสแบคทีเรีย

ได้ยินเขาพูดแบบนั้น แม่ฉินก็ตะลึงไป “แม่เจ้า หนูนี่มีราคาขนาดนี้เลยเหรอ? ล้านหนึ่ง? แพงกว่าชีวิตคนอีก”

ฉินสือโอวไม่ได้พูดเกินจริง เฟอเรทแบลคฟุตเป็นหมีแพนด้าเวอร์ชันอเมริกา ขายราคาหนึ่งล้านในตลาดมืดก็ไม่เป็นปัญหา แล้วยังเป็นเงินดอลลาร์ด้วย! ไม่อย่างนั้น ตอนนั้นเรือนั่นคงไม่เสี่ยงขนาดนั้นแค่เพื่อแอบขนส่งพวกมันใต้ดิน

ฉินสือโอวพาลูกสาวขับรถไปยังเทศบาลท้องถิ่น ตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแต่ข้างในยังมีแสงไฟอยู่ ดูท่าคนที่ทำงานล่วงเวลาจะไม่ได้มีแค่วินนี่

พนักงานในเทศบาลท้องถิ่นต่างก็คุ้นเคยกับฉินสือโอว พอเห็นเขา ผู้ช่วยคนหนึ่งที่กำลังจัดเอกสารก็ยิ้มออกมาแล้วชี้ไปที่ชั้นบนพลางพูดว่า “นายกเทศมนตรีวินนี่กำลังประชุมอยู่ค่ะ คุณรอก่อนได้ไหมคะ?”

ฉินสือโอวบอกว่าไม่มีปัญหาแล้วก็กอดลูกสาวพลางนั่งลง ปรากฏว่าเสี่ยวเถียนกวาไม่ยอม ถึงเธอจะเด็ก แต่ก็พอมีความทรงจำพื้นฐานแล้ว เธอจำได้ว่าแม่อยู่ที่นี่ พอเข้าประตูมาไม่เห็นแม่ก็ร้องออกมาอย่างร้อนใจ “มาม๊า! มาม๊า! มาม๊า!”

………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท