ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1259 สลับบทบาท

บทที่ 1259 สลับบทบาท

เมื่อไม่เห็นแม่ เด็กน้อยก็เตรียมอ้าปากร้องไห้อีก ฉินสือโอวเลี้ยงเด็กไม่เป็น ปกติเสี่ยวเถียนกวาเชื่อฟังว่าง่ายมาก ตั้งแต่ที่คลานเป็นก็เล่นกับหู่เป้าฉงหลัว ไม่ต้องให้เขามาคอยโอ๋

ผู้ช่วยสาวเข้ามาหวังจะช่วยปลอบ แต่เสี่ยวเถียนกวาไม่สนใจ เดิมทีแค่อยากจะแกล้งทำเป็นร้องไห้ พอมาโดนคนแปลกหน้าหยิกแก้มก็ร้องออกมาทันที

เสี่ยวเถียนกวาร้องไห้อีกสักพัก ที่บันไดก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นดัง ‘กึกๆ’ อย่างร้อนใจ ฉินสือโอวยังไม่ทันรู้ตัว เด็กน้อยก็รีบปิดปากแล้วยื่นมือชี้ไปที่บันไดแล้วตะโกนอู้อี้ “มาม๊า มาม๊า…”

วินนี่รีบเดินเข้ามารับลูกสาวไป ปลอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพักหนึ่งก็ถามฉินสือโอวว่า “พวกคุณมาได้ยังไงเนี่ย?”

ฉินสือโอวเกาจมูกแล้วตอบว่า “เอ่อ มาทำงานล่วงเวลาเป็นเพื่อนไง”

วินนี่มองเขาอย่างจนใจแล้วพูดว่า “อะไรกัน หาเรื่องยุ่งให้ฉันล่ะไม่ว่า? ฉันเพิ่งประชุมเสร็จ ออกมาก็ได้ยินเสียงลูกร้องเลยรีบลงมา”

ฉินสือโอวยิ้มแฝงขอโทษ เขาเป็นพ่อที่ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร แม้แต่ลูกก็ปลอบไม่ได้

ที่โถงมีคนอื่นที่กำลังทำงานอยู่ วินนี่บอกให้เขาขึ้นไปข้างบน นายกเทศมนตรีมีห้องทำงานเป็นของตัวเอง พอเข้าไปเธอก็วางเสี่ยวเถียนกวาไว้บนเก้าอี้ทำงาน เด็กน้อยหยิบเอกสารขึ้นมาเตรียมจะยัดเข้าปาก

วินนี่รีบแย่งมาแล้วพูดว่า “อันนี้กินไม่ได้นะคะ นี่เป็นเอกสารของแม่ ลูกนั่งเล่นดีๆ อยู่ตรงนี้นะ”

เธอเอาลูกโลกจำลองกับที่ใส่ปากกาใส่ในอกของเสี่ยวเถียนกวา และอย่างที่คิด เด็กน้อยสนใจแล้วนั่งเล่น

“ลูกพ่อน่ารักจริงๆ” ฉินสือโอวอดชมไม่ได้ น่าเสียดายที่พี่น้องเฟอเรทไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นต้องฉี่ใส่ตัวเขาแน่ๆ ยังมีเรื่องไร้สาระกว่านี้อีกไหม?

วินนี่จัดเอกสารที่กระจัดกระจาย ฉินสือโอวเข้าไปช่วย เขากล่าว “เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ทำไมถึงทำงานล่วงเวลามาจนถึงตอนนี้?”

วินนี่อธิบาย “วันนี้ยุ่ง คุณไม่ได้ดูข่าวหรือไง? วันนี้ที่เซนต์จอห์นมีการประท้วงสองยก เมืองเล็กมากมายก็เข้าร่วมด้วย ตอนบ่ายเราได้รับคำสั่งจากทางการปกครองส่วนท้องถิ่น ก่อนอื่นก็ต้องจัดเอกสารเมืองเล็กก่อน จากนั้นก็ต้องเก็บสถิติเอกสารของชาวเมือง ก็เลยยุ่งจนถึงตอนนี้น่ะค่ะ”

ฉินสือโอวออกทะเลตั้งแต่เช้า มือถือไม่มีสัญญาณในทะเล เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น

วินนี่มีเอกสาร ยื่นให้เขาดูก็พอ

ที่จริงแล้วสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่นที่แฮมเล็ตดูแล เขาแค่โดนหางเลขไปด้วย

เรื่องแรกนั้นมีกระแสมาตั้งนานแล้ว รัฐออนแทรีโอสหภาพครูโรงเรียนประถมศึกษาร้องขอให้มีการขึ้นเงินเดือนครูเมื่อประมาณต้นปี แต่ปีนี้เศรษฐกิจรัฐออนแทรีโอไม่ค่อยดี สมัชชาจังหวัดกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงไม่ได้อนุมัติร่างคำขอขึ้นเงินเดือนของพวกเขา

ทั้งสองฝ่ายโต้กันมาครึ่งปีสุดท้ายก็มีฝ่ายหนึ่งที่ทนไม่ไหว ครูในรัฐออนแทรีโอรวมตัวกันหักดิบหยุดการเรียนการสอน ในขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ครูประถมทั้งประเทศให้หยุดงานสอนนอกหลักสูตรและงานแนะแนว

ปีนี้เศรษฐกิจแคนาดาดิ่งลงเหวในทุกด้าน รายได้ของพวกครูก็ไม่มั่นคง พอสหภาพครูรัฐออนแทริโอแผลงฤทธิ์ ครูในโรงเรียนประถมต่างๆ ก็ยินดีร่วมมือหยุดการเรียนการสอน

แฮมเล็ตหงุดหงิดหัวเสียมาก งบการศึกษาของทางเซนต์จอห์นไม่ได้โดนตัด พวกครูจะโวยวายกันทำไม? ในช่วงบ่ายเขาพบกับผู้สื่อข่าวและแกนนำสมาพันธ์ครูท้องถิ่นที่อาคารสำนักงานการปกครองส่วนท้องถิ่น เขาใช้ไม้แข็ง บอกคนในสมาพันธ์ว่าให้รีบกลับมาสอนเหมือนเดิม ถ้ากระแสหยุดสอนยังดำเนินต่อไป ทางรัฐก็จะลงโทษและตัดเงินเดือนครูที่หยุดสอน

จากนั้นการปกครองส่วนท้องถิ่นเซนต์จอห์นมีการประกาศให้แต่ละเมืองในพื้นที่ดูแล ขอให้นายกเทศมนตรีและฝ่ายการศึกษาติดตามสถานการณ์การสอนของโรงเรียนประถมศึกษาในประเทศ และคิดหาวิธีแก้ไขการระงับชั้นเรียนกันเอง

วินนี่เดิมทีกำลังยุ่งกับการจัดการเรื่องนี้ เมืองแฟร์เวลยังพอว่า มีแค่โรงเรียนประถมแกรนท์ ครูส่วนมากก็เป็นคนท้องที่ ร้องขอไปทีเดียวก็จัดการปัญหาได้ แล้วการประท้วงอีกอันก็ปะทุอีก

พูดมาถึงตรงนี้วินนี่ก็ถอนใจ ฉินสือโอวทุบโต๊ะทีหนึ่งอย่างไม่พอใจ สีหน้าไม่สบอารมณ์

วินนี่นึกว่าเขารำคาญใจแทนเธอจึงกุมมือเขาแล้วยิ้มบาง “ไม่มีอะไรหรอก นี่มันเรื่องเล็ก ฉันจัดการได้”

ฉินสือโอวพูด “ไม่สิ นี่ยังเรื่องเล็กเหรอ? พวกครูโรงเรียนประถมแกรนท์ไม่เห็นผมอยู่ในสายตาเลยหรือไง? อย่างไรผมก็เป็นครูพละที่ทุ่มเท ทำแบบนี้กันทำไมไม่มีใครแจ้งผมเลย?”

วินนี่ “…”

เธอจ้องฉินสือโอวอย่างโกรธเคือง วินนี่เล่าเรื่องกิจกรรมประท้วงครั้งที่สองให้ฉินสือโอวฟังอีก ครั้งนี้เกี่ยวกับเกาะแฟร์เวล แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ยังคงไม่เกี่ยวข้องกับการปกครองส่วนท้องถิ่น และเทศบาลท้องถิ่นที่แฮมเล็ตกับวินนี่ดูแล

กิจกรรมประท้วงครั้งที่สองก็เป็นเรื่องที่ลามไปทั้งแคนาดา ต้นตอของเรื่องนี้เกิดขึ้นไวกว่า ตั้งแต่เมื่อปีก่อน สมัยที่พรรคอนุรักษนิยมกุมอำนาจ ตอนนั้นพวกเขาเปิดตลาดธุรกิจอินเทอร์เน็ตในประเทศให้บริษัทเล็กๆ เข้าตลาดได้เยอะขึ้นเพื่อลดค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต

ตามที่พรรคอนุรักษนิยมกล่าว ธุรกิจอินเทอร์เน็ตแห่งชาติกล่าวว่า บริษัทโทรคมนาคมเป็นอุตสาหกรรมหน้าเลือด การเพิ่มการแข่งขันจะช่วยลดพวกค่ามือถือและค่าอินเทอร์เน็ต ข้อนี้ได้รับการยอมรับจากประชาชนแคนาดา

ทว่าผ่านไปหนึ่งปี คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงและโทรคมนาคมของแคนาดาก็เผยตัวเลขออกมา บอกว่าใน 12 เดือนที่ผ่านมาครอบครัวแคนาดามีค่าใช้จ่ายในโทรคมนาคมเฉลี่ยสูงถึง 203 ดอลลาร์ต่อเดือน ค่าบริการรายเดือน 12 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 62% ในจำนวนนั้นค่าใช้จ่ายมือถือและอินเทอร์เน็ตรายเดือนเพิ่มขึ้นอย่างมาก โทรศัพท์ 14% ส่วนอินเทอร์เน็ต 10%

พอประชาชนเห็นตัวเลขนี้ก็ต้องอึ้ง แผน ‘การเพิ่มการแข่งขัน’ ไม่ใช่แค่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้มากมาย แต่กลับเพิ่มค่าใช้จ่ายให้มากขึ้นอีก ค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตยังคงเพิ่มไม่หยุด เพิ่มเร็วยิ่งกว่าอัตราเงินเฟ้อ จะทำอย่างไรล่ะทีนี้?

การประท้วงครั้งนี้ก็เกี่ยวกับเศรษฐกิจแคนาดาที่แย่ลงโดยรวม ประชาชนหาเงินไม่ค่อยได้ แถมคนมากมายก็ตกงาน ปรากฏว่าค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตยังเพิ่มอีก แบบนี้ไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เหรอ?

อย่างไรสภาพเศรษฐกิจก็ไม่ดี ทุกคนไม่มีงาน หรือไม่ก็งานไม่ยุ่ง ในเมื่อแบบนี้ก็ไม่ต้องพูดเยอะแล้ว รวมตัวกันประท้วงเลยดีกว่า

ดังนั้นจึงเริ่มที่โทรอนโต การประท้วงกระจายไปในพื้นที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว เซนต์จอห์นก็ไม่เว้น เกาะแฟร์เวลก็มีชาวเมืองมากมายที่ร่วมการประท้วง

อ่านมาถึงตรงนี่ ฉินสือโอวก็อดถอนใจไม่ได้ “ทำไมคนแคนาดาถึงชอบประท้วงนักนะ? ผมเพิ่งมาอยู่แค่กี่ปีเอง? แค่ร่วมกิจกรรมประท้วงก็หลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรคุยกันไม่ได้บ้างจริงไหม?”

วินนี่ยิ้มบางแล้วพูดขึ้น “คุณร่วมกิจกรรมประท้วงจนเริ่มรำคาญแล้วสิ?”

ฉินสือโอวตอบ “รำคาญอยู่แล้วสิ เกี่ยวอะไรกับผมด้วยเล่า”

วินนี้หน้าชื่นตาบาน “ก็ดี งั้นครั้งนี้จะให้คุณเปลี่ยนบทบาทดูบ้าง คุณจะไม่เป็นฝ่ายประท้วงแล้ว แต่จะเป็นฝ่ายควบคุมการประท้วง ช่วยฉันคิดหาวิธีทำให้ชาวเมืองสงบ?”

ฉินสือโอว “…”

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท