ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1262 ท่านชายฉินทรยศ

บทที่ 1262 ท่านชายฉินทรยศ

ครูผู้ชายคนนั้นถูกเขายั่วโมโหจนเลือดขึ้นหน้า พอกำลังจะพูด ฉินสือโอวก็อุดปากเขาไว้ แล้วพูดกับครูใหญ่แกรนท์อย่างหัวเสีย “ครูใหญ่ครับ คุณต้องคืนความยุติธรรมให้ผมนะ! ผมเคยเสียเหงื่อเพื่อโรงเรียน! ผมเคยหลั่งเลือดเพื่อโรงเรียน! ผมทุ่มทุกอย่างให้โรงเรียน ใช่ไหม?”

มีครูที่ทนดูต่อไปไม่ได้อีกคนพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด “เฮ้ ฉิน คุณเคยเสียเหงื่อเพื่อโรงเรียนเราก็รู้ แต่คุณเคยหลั่งเลือดที่ไหน? อย่าทำเกินจริงไปหน่อยเลย เอาแค่พอดีก็พอ นี่มันสถานที่ที่เป็นทางการนะ!”

ฉินสือโอวหงุดหงิดยิ่งกว่า เขาพูดด้วยความเลือดร้อน “ต่อให้สถานที่ทางการก็ไม่สามารถปฏิเสธความสำเร็จด้านการศึกษาที่ผมทำให้กับโรงเรียนนี่! ทำไมผมจะไม่เคยหลั่งเลือด? ไปถามนักเรียนทีมบาสเกตบอลดูสิ มีการซ้อมครั้งหนึ่งผมโดนกอร์ดอนศอกเข้าที่ปาก นั่นมันก็คือการหลั่งเลือดไม่ใช่หรือไง?”

ศึกน้ำลายเริ่มขึ้นในทันใด เหล่าครูต่อกรกับศัตรูคนเดียวกัน ตัวแทนภาครัฐที่วินนี่พามาก็สวมบทผู้ชมรอดูเรื่องสนุกต่อไป

ฮานี่ย์ถามวินนี่ที่อยู่ข้างๆ “พวกเราต้องช่วยฉินหน่อยไหมครับ?”

วินนี่เข้าใจดีถึงความสามารถและนิสัยของคนของเธอ เธอส่ายหน้าตอบเสียงเบา “ไม่เป็นไร เขากำลังก่อกวนไร้เหตุผล ให้เขาเล่นไปก่อน”

ครูคนหนึ่งพยายามดึงฉินสือโอวให้เขานั่งลง แต่ท่านชายฉินไม่ยอม เขาพูดด้วยความเสียใจปนโกรธ “ครูใหญ่ รางวัลชนะเลิศระดับจังหวัดรายการเดียวในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนประถมแกรนท์ผมเป็นคนนำทีมชนะมา แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ครูชั่วคราว! พวกคุณพูดเรื่องความยุติธรรม แล้วความยุติธรรมของผมอยู่ที่ไหน?”

ครูใหญ่แกรนท์ยังคงสวมบทครูแสนดีต่อไปแล้วพูดยิ้มๆ “ฉิน เรื่องนี้จัดการไม่ยาก พรุ่งนี้ผมจะจัดการเรื่องสถานะครูให้ ทางโรงเรียนจะจ่ายค่าประกันสังคมให้คุณด้วย ดีไหม?”

ได้อะไรกัน ฉินสือโอวก็แค่พูดไปอย่างนั้น เขาไม่เสียดายตำแหน่งงานครูนี้หรอก เดิมทีที่มาเป็นโค้ชนำทีมก็เพราะอยากจะมาฝึกมิเชล แต่ที่วางกลยุทธ์ทีมจริงๆ คือกัวซง คนที่ทำความดีความชอบก็คือกัวซง

จุดประสงค์ของฉินสือโอวก็คือก่อกวน เขาไม่ได้อยากได้อะไรจริงๆ ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้จะเอาตำแหน่งงานครูไปทำไม? ที่เขาอยากทำก็คืองานชั่วคราว เพราะเขาต้องการอิสระ

ดังนั้นเขาเลยไม่ได้รับคำขอของครูใหญ่แกรนท์ แต่แสร้งทำท่าน่าสงสารต่อไป นั่งนับความดีความชอบที่เคยทำให้โรงเรียน แน่นอนว่านับไปนับมาก็มีแต่เรื่องที่เขานำทีมชนะรางวัลแชมป์บาสเกตบอลระหว่างโรงเรียน

พวกครูโดนเขาก่อกวนจนหมดพลังไปตามๆ กัน คราวนี้วินนี่ถึงกดฝ่ามือลงเป็นสัญญาณให้ทั้งสองฝ่ายใจเย็น แล้วเริ่มคุยเรื่องขึ้นเงินเดือนครูอย่างเป็นทางการ

พอเธอกดฝ่ามือฉินสือโอวก็นั่งลงอย่างว่าง่าย เขาเล่นเอาพวกครูสภาพแย่ไปหมด ตอนนี้พวกเขาเสียใจมากที่เชิญฉินสือโอวมาร่วมการประชุมเจรจา

วินนี่พูดว่า “สถานการณ์ของโรงเรียนเราต่างก็รู้ดี เมื่อสองปีที่ผ่านมาไม่มีการขึ้นเงินเดือนมาโดยตลอด เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้ ฉันคิดว่าการขึ้นเงินเดือนเป็นเรื่องจำเป็น”

พอได้ยินแบบนี้บรรดาครูก็หูตาแพรวพราวพากันยกยอวินนี่กันใหญ่

วินนี่ยิ้มรับแล้วพูดต่อ “แต่ว่ามาตรฐานการขึ้นเงินเดือน เราไม่สามารถทำตามสหภาพครูออนแทรีโอได้ แน่นอนว่ามาตรฐานฉันก็ไม่ได้ตั้งมั่วๆ มันก็ต้องมีหลักมีเกณฑ์”

“สองปีที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยการเติบโตเงินเดือนของอุตสาหกรรมการศึกษาคือ 45% ครูของโรงเรียนประถมรัฐเซนต์จอห์นได้ค่าแรงรายสัปดาห์เฉลี่ย 947.55 ดอลลาร์ โรงเรียนประถมแกรนท์เป็นโรงเรียนเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร ค่าแรงเฉลี่ยรายสัปดาห์จึงไม่ถึงเกณฑ์เฉลี่ย”

“ตอนนี้จากการอภิปรายการประชุมของเทศบาลท้องถิ่นและการยื่นขอกับการปกครองส่วนท้องถิ่น พวกเราตัดสินใจขึ้นค่าแรงรายสัปดาห์ของทุกคนให้ถึงเกณฑ์มาตรฐานของเซนต์จอห์น เงินค่าแรงจะขึ้นถึง 5-6.5% ทุกคนมีอะไรจะแย้งอีกไหมคะ?”

สหภาพครูออนแทรีโอขอให้ขึ้นค่าแรง 7.2% มาตรฐานนี้ก็มีคำอธิบาย แคนาดาคล้ายกับอเมริกา รัฐต่างๆ มีอำนาจในการปกครองตัวเองในระดับหนึ่ง แต่ว่าอัตราเงินเฟ้อต่างกัน

โดยภาพรวมแล้ว ปีที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อของแคนาดาควบคุมได้ค่อนข้างดี อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 1% มาโดยตลอด บางเดือนก็ลดลงจนถึง 0.8% แต่ว่าแต่ล่ะรัฐก็ต่างกัน รัฐออนแทรีโอเป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจ ไม่เคยต่ำกว่า 2% และค่าสูงสุดถึง 3.6%!

สหภาพครูออนแทรีโอเสนออัตราการขึ้นเงินเดือน 7.2% ก็คือสองเท่าของอัตราเงินเฟ้อสูงสุด ตัวเลขก็มาจากแบบนี้

อัตราเงินเฟ้อของนิวฟันด์แลนด์ไม่ได้สูงขนาดนั้น ราคาข้าวของแทบไม่เปลี่ยน วินนี่พูดว่าการที่มาตรฐานการขึ้นเงินเดือนของเกาะแฟร์เวลไม่เหมือนรัฐออนแทรีโอก็มีเหตุผล

อีกอย่างหากดูจากแบบนี้ อัตราเงินเฟ้อของนิวฟันด์แลนด์แทบไม่เปลี่ยนแปลง มาตรฐานการขึ้นเงินเดือนครูกลับใกล้เคียงมาตรฐานที่สหภาพครูออนแทรีโอตั้งไว้ เทศบาลท้องถิ่นก็ถือว่าใจดีมากแล้ว

ที่จริงไม่ใช่แบบนี้ เงินเดือนครูประถมเซนต์จอห์นต่ำกว่ารัฐออนแทรีโอ ค่าแรงรายสัปดาห์ 947 ถือว่าต่ำเกินไปหน่อยจริงๆ ไม่อย่างนั้นที่ครั้งนี้สหภาพครูออนแทรีโอบอกให้หยุดการสอน ทางเซนต์จอห์นก็คงไม่ตื่นตัวกันขนาดนี้

นอกจากนั้นความเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อของนิวฟันด์แลนด์ยังไม่มากนัก แต่ที่เมืองแฟร์เวลกลับเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะซีพีไอหรือดัชนีราคาผู้บริโภคที่ขึ้นสูงจนน่ากลัว เทียบกับสองปีก่อนก็เกิน 50% ไปแล้ว

หรือก็คือพิซซ่าที่เมื่อสองปีก่อนถาดละ 8 ดอลลาร์แคนาดา ตอนนี้ขายได้ถึง 12 ดอลลาร์ สองปีก่อนเวลากินข้าวจ่าย 50 ดอลลาร์ก็พอ ตอนนี้ต้องจ่าย 75 ดอลลาร์

สาเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ก็เพราะความรุ่งเรืองของการท่องเที่ยว พอนักท่องเที่ยวเยอะราคาของก็ขึ้นอย่างแน่นอน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของเกาะแฟร์เวลถือว่าเติบโตได้ต่ำมาก แต่แฮมเล็ตก็จัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เขาสามารถควบคุมได้ประสบความสำเร็จมาก

สำหรับชาวเมืองแล้วเรื่องนี้ส่งผลกระทบไม่มาก เพราะพวกเขาก็ทำธุรกิจกับนักท่องเที่ยว ได้เงินมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ของที่ร้านตัวเองขายแพงขึ้น งั้นบริโภคเยอะหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไร

แต่พวกครูแย่หน่อย รายได้ของพวกเขาเป็นเงินเดือนที่แน่นอน ราคาของขึ้นเงินเดือนไม่ขึ้น จะทนได้อย่างไร? การขึ้นเงินเดือนประมาณ 6% ที่วินนี่เสนอก็ถือว่าต่ำจริงๆ

ตอนนี้รัฐบาลเมืองแฟร์เวลถือว่ามีเงินอยู่ ดูจากสถานการณ์ที่สำนักงานสรรพากรก็รู้แล้ว ตอนที่ฉินสือโอวเพิ่งมาถึงที่ฟาร์มปลา สำนักงานสรรพากรทำงานอาทิตย์ล่ะแค่สามวัน หยุดสี่วัน ตอนนี้กลับไปทำงานอาทิตย์ล่ะห้าวันตามเดิมนานแล้ว

โรงเรียนประถมแกรนท์ถือว่าเป็นโรงเรียนเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร เงินเดือนครู ค่าปรับเปลี่ยนอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็น คิดเป็นประมาณ 20% ของงบแกรนท์ รัฐบาลนครเซนต์จอห์นรับผิดชอบ 20% กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบ 10% อีก 50% ที่เหลือรัฐบาลเมืองแฟร์เวลเป็นคนรับผิดชอบ

ถ้าแค่เรื่องขึ้นเงินเดือนให้ครู รัฐบาลเมืองแฟร์เวลจะขึ้นให้พวกเขา 100% เลยก็ไม่มีปัญหา มีเงินเสียอย่าง

แต่พวกเขาทำแบบนั้นไม่ได้ โรงเรียนประถมแกรนท์ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของการปกครองส่วนท้องถิ่นและกระทรวงศึกษาธิการ เทศบาลท้องถิ่นกลับถูกควบคุมโดยการปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง ถ้าพวกเขาขึ้นเงินเดือนให้โรงเรียนในพื้นที่ที่ดูแลมากเกินไป แล้วโรงเรียนอื่นจะทำอย่างไร?

นี่ก็คือเรื่องที่วินนี่ปวดหัวอยู่ ตำแหน่งของเธอพูดให้ดูดีก็คือนายกเทศมนตรี ถ้าเอาแบบไม่น่าฟังก็คือตัวรักษาสมดุล จุดประสงค์คือการสร้างความสมดุลระหว่างการปกครองส่วนท้องถิ่นกับผู้แทนเมืองและเขตที่ดูแล

ได้ฟังคำของวินนี่ เหล่าคุณครูก็รวมตัวปรึกษากัน ฉินสือโอวยื่นหน้าเข้าไปฟัง เชอริลผลักเขาออกด้วยความโมโห ครูใหญ่แกรนท์ก็จำต้องยอมรับว่า ในหมู่ครูของเรามีคนทรยศ

………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท