ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1263 ลูกกุ้งมาส่งแล้ว

บทที่ 1263 ลูกกุ้งมาส่งแล้ว

สุดท้ายเหล่าครูโรงเรียนประถมแกรนท์ก็ยอมรับข้อเสนอของเทศบาลท้องถิ่น วินนี่กับครูใหญ่แกรนท์จับมือกัน บอกว่าจะกลับไปยื่นเรื่องไปที่การปกครองส่วนท้องถิ่นกับกระทรวงศึกษาธิการ ถ้าผ่านแล้วก็สามารถขึ้นเงินเดือนได้เลย

ครูใหญ่แกรนท์พูดว่าหวังว่าหลังจากที่วินนี่เป็นนายกเทศมนตรีจะควบคุมราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของเมืองเสียหน่อย “คุณก็รู้ดีว่าครูอย่างเราๆ ไม่ค่อยมีโอกาสออกไปนอกเมือง การจับจ่ายของพวกเขาก็แทบจะแล้วเสร็จภายในเมืองนี้ ด้วยสถานการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตอนนี้ ค่าใช้จ่ายของพวกเขาค่อนข้างสูง”

เห็นได้ชัดว่าพวกครูก็ไม่ได้ถูกหลอกได้ง่ายๆ อุบายของวินนี่พวกเขาดูออกแล้ว และไม่ค่อยพอใจกับมาตรฐานการขึ้นเงินเดือนที่เธอเสนอให้สักเท่าไร

วินนี่พยักหน้าบอกว่าเธอจะคิดหาวิธีจัดการปัญหาพวกนี้แล้วพูดตรงๆ ว่า “เศรษฐกิจของเมืองพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากเกินไป คงเลี่ยงที่จะเกิดปัญหายิบย่อยไม่ได้ แต่ก็อย่างที่ฉันสัญญาในตอนได้รับเลือก ฉันจะทำให้ชาวเมืองที่เลือกฉันมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น โรงเรียนก็เป็นพื้นที่ในการดูแลของฉัน ฉันรับผิดชอบแน่ค่ะ”

จัดการไปได้สองเรื่อง ความกดดันเรื่องงานของวินนี่ก็ลดลงไปมาก ช่วงหลายวันให้หลังก็ไม่ได้ทำงานล่วงเวลาแล้ว ไปทำงานตามเวลา เลิกงานตามเวลา สุดสัปดาห์ก็พักผ่อน ก็ถือว่าดีทีเดียว

เสี่ยวเถียนกวาเริ่มรู้เรื่องขึ้นแล้ว เธอเริ่มติดพ่อแม่ ตอนกลางวันเวลาฉินสือโอวออกทะเลก็จะให้วินนี่ดูแล วินนี่จะพาเธอไปทำงานด้วยในเมือง ขอแค่มีของเล่นและอยู่ในสายตาพ่อแม่ เธอก็เล่นได้ทั้งวัน

หลังจากยุ่งมาหลายวัน ในที่สุดลูกปลาก็รวบรวมสำเร็จ ต่อจากนี้ก็จะแยกประเภท

แรกเริ่มลูกปลาพวกนี้จะถูกเอากลับมาแบบปนกัน แต่พอผ่านไปช่วงหนึ่ง พวกลูกปลาก็จะแยกกลุ่มกัน พวกมันจะหาพวกเดียวกันแล้วรวมกลุ่ม ขอแค่หาฝูงปลาให้เจอแล้วเอาออกไปก็พอ เทียบกันแล้วง่ายกว่าการเอาลูกปลามาจากฟาร์มปลาเสียอีก

เจ้าของฟาร์มปลาที่ฉินสือโอวทำความรู้จักมาจากงานประมูลของกรมประมงทยอยโทรมาหาเขา ให้เขาเตรียมบริเวณเพาะเลี้ยงไว้ ลูกปลากับลูกกุ้งของพวกเขาพร้อมส่งมาให้ได้แล้ว

หลังจากวางแผนดู เขาตัดสินใจที่จะเลี้ยงกุ้งกุลาดำก่อน

นิโค ตู้ เจ้าของฟาร์มเลี้ยงกุ้งกุลาดำอาศัยอยู่ที่เมืองโบราณลือเนนบูร์กทางตะวันออกของรัฐโนวาสโกเชีย ซึ่งอยู่ใกล้กับมาโฮนเบย์มาก ฟาร์มเพาะเลี้ยงของเขาก็อยู่ในมาโฮนเบย์ กุ้งกุลาดำก็เลี้ยงที่นั่น

ตอนนั้นนิโค ตู้ก็เคยบอกกับฉินสือโอวว่าเพราะมาโฮนเบย์อยู่ใกล้กับทางใต้ อุณหภูมิสูงสักหน่อย กุ้งกุลาดำค่อยๆ ปรับตัวจนชิน แต่ถ้าอยู่ที่เซนต์จอห์น เขาเองก็ไม่กล้ารับรองว่าจะรอดกี่ตัว

ฉินสือโอวเคยบอกว่าไม่มีปัญหา ขอแค่ตอนที่ส่งกุ้งมามันยังมีชีวิตอยู่ก็พอ เรื่องหลังจากนั้นเขาจะจัดการเอง

นิโค ตู้เป็นเจ้าของฟาร์มที่ค่อนข้างรับผิดชอบ แม้ว่าฉินสือโอวจะพูดแบบนั้นแล้ว แต่เขาก็ยังพยายามคิดหาวิธีเพิ่มอัตราที่กุ้งจะอยู่รอด

หลายวันมานี้เขาเร่งให้ฉินสือโอวมารับไปตลอด เพราะช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นเดือนที่อุณหภูมิสูงที่สุดในสี่ฤดูของนิวฟันด์แลนด์ อุณหภูมิน้ำในตอนนั้นเหมาะกับกุ้งกุลาดำมาก

ฉินสือโอวกับแซนเดอร์สเอาบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำวิศวกรรมออกมา ปูดันเจเนสส์ลงทะเลไปหมดแล้ว เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าพวกมันทนต่อสภาพแวดล้อมในแอตแลนติกเหนือมาก ตอนที่ล้อมตาข่ายทดลองเลี้ยงก็พบว่าพวกมันอยู่ได้โดยไม่มีปัญหา แซนเดอร์สเอาพวกมันปล่อยลงทะเลไปแล้ว

นิโค ตู้จ้างเรือขนส่งมาลำหนึ่งเพื่อขนลูกกุ้งกุลาดำหนึ่งแสนตัวมาที่นี่ เรือขนส่งขับช้ามาก พวกเขาออกจากมาโฮนเบย์เมื่อตอนเช้า จวบจนตกเย็นเพิ่งจะมาถึงเขตฟาร์มปลา

นิโค ตู้ยืนอยู่ที่หัวเรือพลางมองสำรวจบรรยากาศของฟาร์มปลา เขามองดูทรายสีขาวหิมะละเอียดบนหาดฟาร์มปลาแล้วส่ายหน้าไม่หยุด น้อยมากที่แคนาดาจะมีชายหาดสวยงามขนาดนี้ อย่างมาโฮนเบย์ที่เขาอยู่ ชายหาดก็คดเคี้ยวมาก

ฉินสือโอวรอรับเขาที่ท่าเรือ พอนิโค ตู้ลงเรือก็อุทานออกมาในขณะที่มองดูท่าเรือที่ทอดยาว “พระเจ้า ช่างดูยิ่งใหญ่จริงๆ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นท่าเรือแบบนี้ที่ฟาร์มปลาส่วนตัว คุณคงทุ่มเงินไปเยอะเลยใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “โอ้ ก็ไม่เท่าไร ประเด็นคือผมจำเป็นต้องใช้ ดูสิ ตอนนี้ที่คุณมาส่งลูกกุ้งก็เข้าจอดเทียบท่าได้เลย สะดวกจะตาย”

นิโค ตู้ทำปากพะงาบๆ เขาก็รู้ดีว่าสะดวก แต่ประเด็นคือค่าใช้จ่ายมหาศาล สร้างท่าเรือที่ฟาร์มปลาตัวเอง? เอาเถอะ เขาแค่คิดเล่นๆ ก็พอ

ลูกกุ้งอยู่ในกล่องเพาะเลี้ยงกับเพื่อนๆ นิโค ตู้อธิบายว่าในหนึ่งกล่องมีลูกกุ้งห้าร้อยตัว บนเรือมีทั้งหมดสองร้อยกล่อง ให้เขาไปตรวจดู

ฉินสือโอวพยักหน้า ชาวประมงที่รออยู่นานแล้วก็ขึ้นไปสุ่มตรวจดูลูกกุ้ง ไม่ใช่แค่ตรวจจำนวนเท่านั้น ยังต้องตรวจดูความกระฉับกระเฉงและอาการเจ็บป่วยด้วย โดยเฉพาะเรื่องอาการป่วยที่ต้องตรวจเข้มงวดหน่อย ถ้าเกิดว่าเอาแบคทีเรียอันตรายเข้ามาในฟาร์มก็วุ่นวายกันพอดี

เรื่องนี้แซนเดอร์สกับทิญารับผิดชอบอยู่ พวกเขาเตรียมบีกเกอร์ มาหลอดทดลองและตัวทำปฏิกิริยาเป็นกอง คอยเขย่าและตรวจดูผลไม่หยุด ทิญายังเอาสไลด์มาส่องใต้กล้องจุลทรรศน์ด้วย จริงจังมาก

นิโค ตู้พูดขำๆ “นี่เพื่อน ผมต้องยอมรับเลยว่า ที่นี่เป็นความผสมผสานระหว่างฝ่ายวิชาการกับฝ่ายลงสนาม ที่มีแบบแผนจริงๆ เทียบกับคุณแล้วฟาร์มปลาคาร์เตอร์กลายเป็นมือสมัครเล่นไปเลย”

นึกถึงเจ้าของฟาร์มปลาใหญ่แห่งที่สองที่เก๊กไม่สำเร็จจนเสียหน้าแทน ฉินสือโอวก็ถามอย่างสนใจ “ลูกกุ้งที่คาร์เตอร์ซื้อ คุณเอาไปส่งให้เขาหรือยังครับ?”

นิโค ตู้ยักไหล่แบบจนใจ “ใช่ ไปส่งให้แล้ว ให้ตายเถอะ ต่อไปผมคงไม่ทำธุรกิจกับเขาแล้ว เจ้านั่นน่ะขี้เหนียวมาก ผมทนไม่ไหวหรอก”

จากนั้นนิโคก็บ่น เพราะฟาร์มของเขากับคาร์เตอร์ห่างกันไม่มาก พอกลับไปเขาก็จ้างเรือขนส่งเพื่อไปส่งลูกกุ้งให้เขา

ตามหลักการแล้ว ค่าขนส่งทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันรับผิดชอบ แต่คาร์เตอร์กลับไม่ยอม เขาให้นิโครับผิดชอบค่าขนส่งแถมยังให้เขารับผิดชอบภาษีสำหรับธุรกรรมนี้ด้วย

ตอนนั้นนิโคโมโหมาก ค่าขนส่งเดิมทีก็ควรจะเป็นทั้งสองฝ่ายร่วมกันรับผิดชอบ เรื่องอะไรให้เขารับไปคนเดียว? นอกจากนั้นยังมีภาษีอีก นี่ยิ่งเป็นเรื่องที่ฝ่ายคนซื้อต้องจัดการ เขาก็ต้องจ่ายภาษี ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องจ่ายภาษี เรื่องอะไรให้เขารับผิดชอบคนเดียว?

คาร์เตอร์ปัดความรับผิดชอบ เขาใช้ประโยชน์จากสัญญาการประมูล บอกว่าถ้าไม่ยินยอมรับผิดชอบก็จะยกเลิกการซื้อขาย

“ผมจะยกเลิกสัญญากับเขาได้อย่างไร? ฮ่ะ ต่อให้ผมลดครึ่งราคาผมก็จะขายให้เขา ลูกกุ้งขายได้ในราคากุ้งเต็มวัย ทั้งชีวิตนี้ผมคงเจอได้เพียงครั้งเดียว” นิโคพูดไปก็หัวเราะร่าออกมา

ฉินสือโอวยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “เจ้านี่ก็ขี้เหนียวเกินจริงๆ”

นิโคบ่นต่อไปอีก “แค่ขี้เหนียวที่ไหน ยังเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก พอลูกกุ้งของผมส่งไปถึง เขาไม่ได้สุ่มตรวจ แต่ตรวจทีละกล่อง กุ้งตายสักตัวก็ไม่เอา”

ลูกกุ้งอยู่ในกล่องเพาะเลี้ยงจะตายง่าย คาร์เตอร์ตรวจดูทีละตัวๆ แบบนี้เปลืองเวลามาก ยิ่งผ่านไปนานลูกกุ้งก็จะตายเยอะขึ้น แล้วเขาไม่รับกุ้งตายแล้วก็ไม่ทำการซื้อขายกันครั้งหน้าด้วย ที่ส่งมาห้าหมื่นตัวมีรอดกี่ตัวเขาก็เอาไป

ฉินสือโอวพูด “เจ้านี่ได้เปรียบเห็นๆ ถ้าเป็นอย่างที่คุณบอกเขาก็เจ้าเล่ห์จริงๆ”

นิโคจนใจ แต่ไม่นานเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาอีก “ลูกกุ้งที่ตายไปก็ไม่เยอะ ผมก็ได้เงินจากเขาไปเยอะ ก็ถือว่าดีมากแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

ทั้งสองคุยกันไป พวกชาวประมงก็ตรวจเสร็จแล้วจึงมารายงานผล

………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท