ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1280 ชำระก้นทะเลครั้งใหญ่

บทที่ 1280 ชำระก้นทะเลครั้งใหญ่

หลังจากลากเอาฝูงปลาไส้ตันกลับมาที่ฟาร์มปลาเวลาก็ไม่เช้าแล้ว ฉินสือโอวจึงตัดสินใจจะกลับไปนอน

เขาเดินเลียบไปตามชายหาด ส่วนด้านหลังของเขาก็เป็นฉงต้า หู่จือ เป้าจือ พี่น้องเฟอเรท ราชาซิมบ้า หลัวปอ ที่พากันส่งเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวหยอกล้อกันไปมาอย่างสนิทสนม

หลังจากพวกเพื่อนตัวเล็กสงบลง ฉินสือโอวก็หอมเข้าให้คนละฟอด และพอกลับมาถึงห้องนอนเขาก็หยิบเอาตะไบมาถูกระดองแมลงยักษ์สีดำและนำผงกระดูกป้อนต้าป๋าย สุดท้ายถึงค่อยเข้านอนได้

ในขณะที่กินอาหารเช้า เออร์บักยื่นหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่ให้วินนี่ดูและพูดว่า “ข่าวแพร่ไปเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”

ฉินสือโอจึงเขยิบเข้าไปอ่านข่าวด้วย ซึ่งมันคือสำนักหนังสือพิมพ์ ‘ข่าวเช้าเมืองเซนต์จอห์น’ ในส่วนของการรายงานข่าวด้านการท่องเที่ยว ได้นำเสนอข่าวใหม่ว่าเจอหอยพิษทำร้ายคนบนเกาะแฟร์เวลและเนื้อหาด้านข้างกันนั้นก็มีรูปภาพของหอยเต้าปูนลายเสือติดอยู่หนึ่งรูป พร้อมพาดหัวข่าว ‘นักฆ่าเขตร้อนปรากฏตัวแล้ว พวกมันมาได้อย่างไร’

วินนี่พูดพร้อมขมวดคิ้ว “ซวยแล้ว มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ ข่าวนี้ถูกปิดไว้อย่างดี พวกสื่อไปรู้กันมาจากไหน?”

เชอร์ลี่ย์พูดเสริม “นั่นสิคะ อาจารย์และเพื่อนๆ ของเราต่างก็พากันเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทางโรงเรียนแจ้งเรามาแค่ว่าห้ามเข้าใกล้ชายหาด หลายคนก็พูดกันไปว่ามีสัตว์ประหลาดทะเลบ้าง มีเรือผีบ้าง ไม่มีใครคิดไปถึงว่าจะมีหอยพิษหรอก”

คนยิ่งอายุเยอะก็จะยิ่งฉลาด ม้ายิ่งอายุมากก็จะยิ่งคล่องแคล่วว่องไว กระต่ายยิ่งแก่ก็จะยิ่งโดนเหยี่ยวจับกินยาก จากข่าวนี้ เออร์บักวิเคราะห์ออกมาว่า “มีพวกผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังหอยพิษนี้ ระวังกันหน่อยนะ วินนี่ มีคนคอยจ้องจะจัดการพวกเราอยู่”

ฉินสือโอวตบบ่าพวกเขาทั้งสองคนเบาๆ แล้วพูด “เรื่องนี้ต้องค่อยๆ ตรวจสอบ หอยพิษนั้นยกให้เป็นหน้าที่ผม วันนี้ผมจะต้องจับคนผิดมารับสารภาพให้ได้”

เขาพูดแล้วก็ขยิบตาให้วินนี่ “อย่าลืมนะว่าผู้ชายของคุณกินอะไรเป็นอาหาร กับอีแค่ไปดำน้ำหาหอยพิษมันจะไปยากอะไรล่ะ?”

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ เขาก็รวบรวมชาวประมงชายที่สามารถดำน้ำได้ไปที่ท่าเรือในเมือง ชาร์คที่กำลังตะโกนผ่านทางวิทยุติดต่อ และผู้คนจำนวนหนึ่งก็มาถึงพร้อมอุปกรณ์ดำน้ำ

เมื่อรู้ว่าพวกเขาจะดำน้ำหาหอยพิษ ดอน แพตตันที่เป็นหัวหน้าดูแลรับผิดชอบด้านการเก็บซากฟอสซิลขึ้นจากน้ำก็ส่งนักดำน้ำมาช่วยสมทบ นักดำน้ำเหล่านี้มีประสบการณ์การดำน้ำสูงระดับประเทศ การที่มีพวกเขาอยู่น่าจะช่วยได้มากทีเดียว

เมื่อฉินสือโอวมาถึงท่าเรือ ก็มีคนไม่น้อยที่รวมตัวกันรออยู่บนชายหาดอย่างคึกคักอยู่ก่อนแล้ว เขาและประชาชนส่วนใหญ่ต่างรู้จักกันดี ถึงไม่รู้จักแต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ จึงกล่าวทักทายทุกคนมาตามทาง

แต่ทว่าในตอนที่เขาเดินไปบนชายหาด เขาก็สังเกตเห็นว่ามีกลุ่มเล็กๆ ที่ดูต่างออกไป พวกเขามีผิวสีน้ำตาลอ่อน ผมสีดำตาสีดำ จมูกโด่ง ใบหน้าเรียว ซึ่งดูแตกต่างจากคนที่อยู่บนเกาะนี้อย่างสิ้นเชิง

พอเห็นแบบนั้น ฉินสือโอวก็มีความรู้สึกว่าต้องระวังคนพวกนี้ไว้ เขาจึงดึงฮิวจ์มาถาม “คนพวกนั้นเป็นใครกัน? ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยล่ะ?”

ฮิวจ์เหลือบมองไปแวบหนึ่งแล้วตอบ “คนเม็กซิกันน่ะ เพิ่งมาที่เกาะนี้ได้ไม่นาน เห็นว่ามาขายพวกผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นของเม็กซิโกน่ะ ทำไมเหรอ?”

ฉินสือโอวส่ายหัวและบอกว่าเขาเพียงแค่รู้สึกแปลกๆ ครั้งนี้ชัดเจนเลยว่าเกาะแฟร์เวลถูกคนใส่ร้ายและที่ดูจะเป็นไปได้ก็คือพวกเม็กซิกันเป็นคนทำ

วินนี่และฮานี่ย์พาคนของพวกเขามาและแซนเดอร์สก็มาด้วย เขาถูกว่าจ้างให้มาช่วยค้นหาเบาะแสของหอยพิษ พร้อมกับชี้แนะในเรื่องความปลอดภัย

ศาสตราจารย์ที่มีความรู้เชิงลึกในด้านนี้พูดว่า “ผมเจอกับคุณหมอโอดอมโดยบังเอิญ เมื่อวานนี้เขาได้แยกเนื้อเยื่อบาดแผลของนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บ และดึงเศษแรดูลาที่เหลือออกมา หลังจากที่ผมทำการวิเคราะห์แล้ว เลยคิดว่าหอยเต้าปูนยังอยู่ในทะเล”

“ในสถานการณ์ทั่วไป เมื่อมันออกล่ามันจะฝังตัวเข้าไปในทราย โผล่เพียงจมูกขึ้นมา ไม่เพียงเพื่อเป็นการรับออกซิเจน แต่ยังใช้ในการเฝ้าสังเกตการณ์การเคลื่อนไหวของเหยื่อ”

“ดังนั้นการจะหาตัวมันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก พวกคุณจะต้องมีความอดทนและคอยระมัดระวังตัว แรดูลาของมันสามารถยืดยาวได้หลายเซนติเมตรและแหลมคมมาก และแน่นอนว่าอย่าให้ผิวหนังสัมผัสกับพวกมันโดยตรงโดยเด็ดขาด”

“แต่ทุกคนไม่ต้องกังวลจนเกินไป ในบรรดาหอยเต้าปูนหลายๆ ประเภท เช่นหอยเต้าปูนประเภทที่กินปลาเป็นอาหารจะมีพิษร้ายแรงที่สุด ประเภทที่ล่าสัตว์ลำตัวนิ่มพิษจะไม่ร้ายแรงเท่าไร ส่วนประเภทที่จับแมลงทะเลเป็นอาหารจะไม่ถึงกับทำให้คนเสียชีวิตได้”

“หอยเต้าปูนลายเสือที่ล่าสัตว์ที่มีลำตัวนิ่มเป็นอาหาร พิษของมันจึงไม่ถือว่ารุนแรงมาก ถ้าหากพวกคุณพบเจอพวกมันแล้วต้องดูให้ดี ถ้ามันมีปากแคบ พิษก็จะค่อนข้างน้อย แต่ถ้าปากยิ่งกว้าง พิษจะยิ่งรุนแรง พวกคุณต้องระวังให้ดี”

หลังจากแซนเดอร์สให้ข้อมูลความรู้พื้นฐานทั่วไปเสร็จ ฉินสือโอวก็เกิดคำถามสะกิดใจและถามขึ้น “ศาสตราจารย์ คุณบอกว่าพวกมันมักจะซ่อนอยู่ในทรายงั้นเหรอ? แต่เมื่อวานจากที่ผมสอบถามจากนักท่องเที่ยวมา เขาบอกว่าเห็นมันอยู่บนพื้นผิวก้นทะเล นี่มันยังไงกันแน่ล่ะ?”

“ง่ายมาก จากสภาพการณ์แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าพวกมันกำลังเตรียมพร้อมที่จะผสมพันธุ์และวางไข่ พวกมันก็เพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน” แซนเดอร์สตอบ

ได้ฟังอย่างนี้แล้ว ฉินสือโอวก็แน่ใจในการคาดเดาของตัวเองแล้ว เกาะแฟร์เวลโดนคนวางแผนจัดฉากใส่ร้ายอย่างแน่นอน

หลังจากรอจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นและอุณหูภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นเล็กน้อย ฉินสือโอวก็พาชาวประมงและนักดำน้ำลงไปใต้น้ำ โดยพวกเขาเริ่มสำรวจไปจากตำแหน่งที่นักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บ

เมื่อวานตอนกลางคืนฉินสือโอวเอาหอยเต้าปูนสิบสี่ตัวมาปล่อยไว้บริเวณรอบๆ แถวนี้ ดังนั้นในการค้นหาพวกมันจึงไม่ใช่เรื่องยาก และที่ใกล้ๆ กันนั้นก็มีคนดำน้ำอยู่สามสิบคน ค้นหาไปได้ไม่นานก็พบกับข่าวดี

ส่วนเขาไม่ได้ไปตำแหน่งที่ที่ค้นพบหอย เขาแค่ลอยไปลอยมาอยู่ใต้ท้องทะเล ชมทัศนียภาพใต้ท้องทะเลลึก

เนื่องจากรอบๆ ฟาร์มปลามีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ฟาร์มปลาสาธารณะในเมืองเล็กๆ ก็มีปลาจำนวนไม่น้อย แต่สภาพการเติบโตของสาหร่ายทะเลและวัชพืชในน้ำค่อนข้างแย่ จึงเป็นเหมือนแค่ทางผ่านของพวกปลาทะเล พวกมันจะไม่ค่อยมาอยู่กันนานนัก

ดังนั้น ใต้ท้องทะเลของฟาร์มปลาสาธารณะจึงสะอาดขึ้นมาก เบื้องหน้าของเขามีเศษหินและเม็ดทรายที่ละเอียดเกลี้ยงเกลา ฉินสือโอวยื่นมือออกไปกำมันขึ้นมา ทรายเม็ดละเอียดก็ค่อยๆ ลอยไปตามสายน้ำ ดูแล้วสวยงามมาก

หลังจากอยู่ใต้น้ำกว่าครึ่งชั่วโมง ฉินสือโอวก็ขึ้นมาพักหายใจ เห็นชาร์ค บลู และคนอื่นๆ นั่งอยู่บนเรือและกำลังพูดคุยหัวเราะกันเสียงดัง พอเห็นท่าทางอวดดีของพวกเขา ก็รู้ได้เลยว่าพวกเขาค้นพบหอยเต้าปูนแล้ว

ฉินสือโอวลอยขึ้นมาจากน้ำได้ไม่ถึงสิบนาที ก็มีคนโผล่ขึ้นมาจากน้ำ พร้อมกับชูตาข่ายและตะโกนขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ดูนี่สิพวกว่าฉันเจออะไร? หอยเต้าปูนหกตัวเลยนะ!”

ชาร์คก็หัวเราะและพูดขึ้น “ส่วนพวกเราเจอตั้งแปดตัว!”

ฉินสือโอวขมวดคิ้วและพูด “ทำไมมีเยอะขนาดนี้เนี่ย?”

พอได้ยินแบบนั้น ชาร์คก็คิ้วขมวดขึ้น “ตอนที่พวกเราเจอหอยเต้าปูนแปดตัวนี้ พวกมันอยู่บนผืนทราย ไม่ได้ซ่อนตัวเลยด้วยซ้ำ แถมยังมาอยู่รวมตัวกันอีก ผมเลยคิดว่าพวกมันน่าจะถูกคนเอามาปล่อยไว้ตรงนี้”

นักดำน้ำที่ในมือถือตาข่ายอยู่ก็พยักหน้าและพูด “เหมือนกัน ตอนที่ผมเจอพวกมันก็เป็นแบบนั้นเลย พวกมันไม่ได้ซ่อนตัวในทรายเลยแม้แต่น้อย แถมยังออกมาล่าสัตว์แบบโต้งๆ แบบนั้นอีกเลยด้วย”

จากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยขึ้นจากน้ำกัน จากที่ปกติพวกเขาไม่เคยหาหอยเต้าปูนเจอ แต่ตอนนี้กลับเห็นพวกมันตั้งสองชุด

ชาร์คและนักดำน้ำขึ้นไปยังริมฝั่งเพื่อส่งมอบหอยเต้าปูนให้แก่แซนเดอร์ส ฉินสือโอวยังคงค้นหาต่อไป ที่เขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีแล้ว แต่คนอื่นไม่รู้ แล้วรับประกันได้เลยว่าถ้าจะเจอได้อย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่ใกล้ทะเลในระยะสองร้อยเมตร

ซึ่งถึงจะหาไปยังไงก็คงจะไม่เจออย่างแน่นอน

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน