ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1275 เด็กสองคน

บทที่ 1275 เด็กสองคน

คนขุดสุสาน คือหนึ่งในนิยายที่ฉินสือโอวชอบมากที่สุด อย่างเมื่อสามปีก่อนที่เขาจะมาแคนาดา ด้วยความกลัวว่าตัวเองจะเหงาไม่มีกิจกรรมจรรโลงใจจึงดาวน์โหลดอีบุ๊กของนิยายเรื่องนี้มาด้วย

อย่างนี้ จึงพอดีกับที่จะเอามาใช้อ่านในเย็นนี้ เพียงแต่น่าเสียดายเล็กน้อยที่หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายแนวผจญภัย ไม่ใช่แนวสยองขวัญ

ฉินสือโอวบรรยายวรรคหนึ่งขึ้นด้วยเสียงทำนองอันไพเราะนุ่มนวล ชาวประมงที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็มีบางครั้งที่พากันอุทานออกมาบ้าง ทุกอย่างนั้นเพอร์เฟกต์ไปหมด

แต่พอเมื่อฉินสือโอวบรรยายจนถึงจุดที่เขาคิดว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ที่สุดแล้ว ซึ่งก็คือตอนที่หูปาอีกับหวังพ้างจื่อเตรียมตัวที่จะลงไปสำรวจสุสาน พวกชาวประมงก็ไม่ฟังกันแล้ว พวกเขาพากันส่ายหน้า พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความผิดหวังว่า “เจ้าพวกนี้คือโจรขโมยขุดสุสานงั้นเหรอ?”

ฉินสือโอวตอบ “ใช่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแค่การปล้นสุสานเท่านั้น เขายังมีเรื่องสนุกๆ ให้ต้องทำอีกเยอะเลยล่ะ”

ชาร์คจึงพูดขึ้นว่า “ก็ช่าง การขโมยขุดสุสานถือว่าเป็นเรื่องที่เลวทรามต่ำช้ามาก ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะทำไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมว่ายังไงมันก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี หึ ก็พวกเราจะไปรบกวนการนอนหลับสนิทของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้ยังไงกัน ใช่ไหมล่ะ?”

นี่คือความน่าแปลกใจของวัฒนธรรมจีนและตะวันตก ชาวแคนาดาจะเคารพต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเป็นอย่างมาก และคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยกลัวหรือเชื่อพวกเรื่องผีสางเท่าไร ดังนั้นจึงมีการสร้างที่พักอาศัยใกล้ๆ กับสุสาน เพราะพวกเขาคิดว่าสุสานเป็นสถานที่ที่โลกอยู่ใกล้กับสวรรค์มากที่สุด

ด้วยเหตุนี้ ถ้าพูดถึงชาวแคนาดา ความกลัวไม่ใช่ปัจจัยที่จะห้ามไม่ให้พวกเขาแอบไปขุดสุสานเพื่อขโมยของ แต่เป็นความเคารพยำเกรงต่างหาก เพราะโจรขโมยขุดสุสานจะเป็นที่น่ารังเกียจมาก และพวกที่ทำงานแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกติดยา เป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคม

ฉินสือโอวไม่อยากที่จะต้องมาพูดถึงคุณค่าและความสำคัญของการปล้นสุสาน จึงต้องตามน้ำไป เพราะเขาเคารพในค่านิยมของชาร์คและคนอื่นๆ เพียงแต่มีบางที่เขายอมไม่ได้ เขาจึงพูดขึ้น “งั้นศึกษาโบราณคดีล่ะ? ศึกษาโบราณคดีก็เป็นการขโมยขุดสุสานไม่ใช่เหรอ?”

แลนซ์กลอกตาอย่างดูหมิ่น พร้อมกับพูดว่า “ก็แล้วแคนาดามีวิชาโบราณคดีหรือไงกันครับ? ประเทศนี้จะไปมีประวัติศาสตร์อะไรให้ศึกษาล่ะ”

ฉินสือโอวคิดไปคิดมาก็ถึงกับเถียงไม่ออก

“คุณเล่าเรื่องผีก็ให้มันสั้นกระชับและเล่าถึงจุดที่มันน่ากลัวหน่อย ดีที่สุดคืออย่าเล่าที่พอเปิดมาแล้วทุกคนก็เดาถึงตอนจบได้ก็พอ” ชาร์คพูด

ฉินสือโอวยักไหล่และตอบกลับ “ก็ได้ มีเรื่องผีคลาสสิคประจำหมู่บ้านของฉันอยู่เรื่องหนึ่ง เย็นวันหนึ่งฉันเจอผีผู้หญิงตนหนึ่ง เธอตดออกมา จากนั้นตัวเธอก็แตกตาย”

เมื่อเสียงของเขาเงียบลง พวกชาวประมงก็ค่อยๆ หันไปมองที่เขาอย่างนิ่งสงบ มีเพียงกาแฟบนกองไฟที่ส่งเสียงเดือด ‘ปุดปุด’

วินนี่เดินเข้ามาถาม “เฮ้ พวกคุณกำลังเล่าเรื่องผีอะไรอยู่เหรอ? น่ากลัวมากเลยเหรอ? ถึงกับไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคนน่ะ?”

พวกชาวประมงค่อยๆ พากันพยักหน้าอย่างเงียบๆ เพราะพวกเขาเหนื่อยที่จะแขวะการเล่าเรื่องของฉินสือโอวแล้ว

ส่วนท่านชายฉินก็เหนื่อยกับสมรรถภาพในความเข้าใจของพวกเขาด้วยเหมือนกัน เรื่องผีคลาสสิคก็เยอะอยู่ แต่นี่เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่โดนแชร์เยอะที่สุดบนอินเทอร์เน็ตจีนเลยนะ

ชาร์คเลยเตะสะกิดซีมอนสเตอร์ให้เขาเล่าเรื่องสักเรื่อง

ซีมอนสเตอร์ส่งเสียงครวญครางพร้อมกับหายใจหอบ จากนั้นก็พูดขึ้น “งั้นก็คงจะเป็นเรื่องในโรงละครโอเปราที่นิวยอร์ก มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นักแสดงนำหญิงคนเดิมเกือบจะถูกฆ่าตาย เพราะเห็นภาพลวงตาที่น่าหวาดกลัวในโรงละคร…”

“ภาพลวงตาบ้านแกสิ นี่มันเดอะแฟนธอม ออฟ ดิ โอเปราไม่ใช่รึไง? นายเปลี่ยนจากปารีสเป็นนิวยอร์กก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่แล้วงั้นสิ? แถมยังคิดว่าเป็นเรื่องผีอีก?” นีลเซ็นพูดตัดตอนเขาอย่างไม่สบอารมณ์

ส่วนบูลที่อยู่ข้างๆ ก็ถึงกับปาดเหงื่อและพูดขึ้น “ให้ตายสิ ฉันก็ตกใจหมด ก็ว่าแล้วว่าทำไมเรื่องนี้มันฟังดูคุ้นได้ขนาดนี้น่ะ”

แล้วบรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็กลับมาเงียบอีกครั้ง ครั้งนี้ทุกคนต่างพากันมองไปยังบูล แม้แต่วินนี่ก็ยังต้องเอามือป้องปากแอบหัวเราะ

กิจกรรมยามเย็นจัดได้ว่าล้มเหลวมาก เพราะว่าความต่างของวัฒนธรรมทั้งสองฝ่าย ฉินสือโอวก็คิดไปเองว่าพวกเขาจะกลัว แต่พอเขาเล่าพวกเรื่องวิญญาณ ผีดูดเลือดให้ชาวประมงฟังพวกเขากลับไม่มีความรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย

ชาวประมงก็รู้สึกอย่างเดียวกันกับตอนที่เขาเล่าเรื่องผี จุดขายของเรื่องผีจีนจะเน้นในเรื่องของความลึกลับ และเดาตอนจบไม่ได้ บางเรื่องก็ไม่มีผีออกมา แต่พอเวลามีผีปรากฏออกมาคนกลับไม่สามารถรับมือได้

และนี่ก็ทำให้พวกชาวประมงไม่เข้าใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าในเรื่องที่ไม่มีผีมันมีอะไรให้น่ากลัว? หรือแม้กระทั่งถึงเรื่องที่คนไม่สามารถรับมือได้เหล่านั้นอีก หรือพระเจ้าเป็นคนทำงั้นเหรอ?

เช่นนี้ค่ำคืนแห่งเรื่องราวสยองขวัญที่ได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้กลายเป็นค่ำคืนแห่งการจับผิด เมื่อมีคนหนึ่งเล่าเรื่องผี คนอื่นๆ ก็คอยแต่จะหาจุดที่ดูไม่สมเหตุสมผล บรรยากาศจึงดูเร่าร้อน

พอถึงเวลาที่ควรนอน ฉินสือโอวก็ส่งชาวประมง ส่วนวินนี่ขึ้นไปชั้นบนแล้ว เขาเลยต้องจัดการเก็บกระป๋องเบียร์ ก้นบุหรี่เถ้าบุหรี่และคราบกาแฟที่เปื้อนอยู่เต็มพื้น

เชอร์ลี่ย์ที่เข้ามาหาอะไรดื่มในห้องครัว หันมาเห็นฉินสือโอวกำลังทำความสะอาดอยู่ก็เข้ามาช่วย

ฉินสือโอวที่กวาดขยะมารวมกันและให้เชอร์ลี่ย์จับที่ตักผงไว้ แต่เรียกเท่าไรเชอร์ลี่ย์ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เขารู้สึกแปลกใจเลยเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นเชอร์ลี่ย์กำลังมองไปที่ครัวด้วยความสงสัย

“มีอะไรเหรอ?” ฉินสือโอวหัวเราะถาม

เชอร์ลี่ย์จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ฉิน เมื่อกี้มีใครมาเล่นบ้าง? พวกเขาได้พาเด็กมาด้วยเหรอคะ? ทำไมถึงมีเด็กผู้ชายสองคนนั่งรออยู่ที่มุมครัวล่ะ”

ฉินสือโอวเลยมองเข้าไปในครัว แต่มันมืดมากจนมองอะไรไม่เห็น ส่วนข้างนอกก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน จนทำให้มองอะไรไม่ชัดได้เหมือนกัน

“เด็กผู้ชายที่ไหนกัน? พอเลย เชอร์ลี่ย์ ฉันรู้นะว่าเธอคิดจะทำอะไร เธอจะแกล้งให้ฉันขวัญเสียใช่ไหมล่ะ?” แล้วฉินสือโอวก็หัวเราะขึ้นมา

เชอร์ลี่ย์จูงแขนเขาพร้อมกับพูดอย่างร้อนใจว่า “จริงๆ นะฉิน หนูไม่ได้จะแกล้งให้คุณขวัญเสีย คุณมองไม่เห็นเหรอคะ? ตรงนั้นมีเด็กผู้ชายสองคนน่ะ? คนหนึ่งผมสีเหลือง อีกคนผมสีดำ หนูก็นึกว่าใครพาลูกของนักท่องเที่ยวมาเล่นด้วยซะอีก”

พอเห็นเชอร์ลี่ย์มีท่าทีจริงจัง ฉินสือโอวก็รู้สึกสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงพูดด้วยความแน่วแน่ว่า “ไม่นะ ไม่เห็นมีอะไร เชอร์ลี่ย์ข้างในนั้นน่ะไม่มีคน!”

แต่เชอร์ลี่ย์ยังคงชี้นิ้วไปยังมุมครัวพร้อมกับพูดว่า “นั่นไงทำไมจะไม่มี ก็ที่กำลังมองพวกเราอยู่ตรงนั้นไง! หนูสาบานเลยฉิน ถ้าตรงนั้นไม่มีเด็กนะ คุณไล่หนูไปอยู่หอพักโรงเรียนประจำได้เลย”

ฉินสือโอวรู้ว่า คำสาบานสำหรับเชอร์ลี่ย์แล้วแรงมาก แรงกว่าคำปฏิญาณต่อพระเจ้าอะไรเทือกนั้นมาก

จากนั้นเขาก็ชาเล็กน้อยไปทั่วหัว มันไม่จริงใช่ไหม หรือว่าในครัวจะมีผีอยู่จริงๆ ล่ะ?

เขาถึงกับกลืนน้ำลาย พลางจับไปที่บ่าของเชอร์ลี่ย์และพูดอย่างจริงจังว่า “เธอเห็นเด็กสองคนตรงมุมนั้นใช่ไหม?”

เชอร์ลี่ย์พยักหน้าอย่างมั่นใจ แต่ยังถามขึ้นด้วยความสงสัย “คุณมองไม่เห็นเหรอ?”

ฉินสือโอวรีบควักโทรศัพท์มือถือออกมา แต่โชคไม่ดี เพราะเมื่อกี้เขาใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปจนตอนนี้แบตหมดไปเป็นที่เรียบร้อย ถึงเขาจะพยายามเปิด แต่พอมีแสงกะพริบที่โทรศัพท์หนึ่งที แล้วหน้าจอก็กลับมามืดสนิทเหมือนเดิม

“ซวยล่ะ มาดับอะไรเอาตอนนี้!” ฉินสือโอวด่าไปหนึ่งที จากนั้นเขาก็หันไปเห็นหู่จือเป้าจือ เลยนึกถึงคำบอกเล่าที่เล่าต่อๆ กันมาว่าหมาสามารถเห็นผีได้ แล้วเขาก็รีบลากพวกมันมา

หู่จือและเป้าจือมองเขาอย่างไร้เดียงสา พลางกระโดดโลดเต้นต้องการความสนใจ ฉินสือโอวเลยปล่อยพวกมันลงพร้อมทั้งด่าไปอีกหนึ่งที “แม่งเอ๊ยนี่ก็ไม่ได้เรื่อง!”

แล้วอยู่ๆ ก็มีแสงสาดมา ฉินสือโอวถึงกับตกใจเล็กน้อย พอหันหน้ากลับไปก็เป็นเชอร์ลี่ย์เองที่เปิดไฟฉายในโทรศัพท์ของเธอ

“คุณดูสิ ตรงนั้นมีเด็กสองคนใช่ไหม? เด็กผู้ชายสองคน คนหนึ่งผมสีเหลือง อีกคนผมสีดำน่ะ?” เชอร์ลี่ย์ใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องไปยังมุมห้องพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

แล้วฉินสือโอวก็รวบรวมความกล้ามองตามไปยังที่เชอร์ลี่ย์ชี้ จากนั้นก็เห็นเด็กสองคนจริงๆ คนหนึ่งผมสีเหลือง อีกคนผมดำ แต่พวกเขาติดอยู่ที่ประตูตู้เย็น นอกจากนั้นยังมีตัวอักษรติดอยู่ด้านบนหัวของเด็กทั้งสองว่า ไฮเออร์…

………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท