คนขุดสุสาน คือหนึ่งในนิยายที่ฉินสือโอวชอบมากที่สุด อย่างเมื่อสามปีก่อนที่เขาจะมาแคนาดา ด้วยความกลัวว่าตัวเองจะเหงาไม่มีกิจกรรมจรรโลงใจจึงดาวน์โหลดอีบุ๊กของนิยายเรื่องนี้มาด้วย
อย่างนี้ จึงพอดีกับที่จะเอามาใช้อ่านในเย็นนี้ เพียงแต่น่าเสียดายเล็กน้อยที่หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายแนวผจญภัย ไม่ใช่แนวสยองขวัญ
ฉินสือโอวบรรยายวรรคหนึ่งขึ้นด้วยเสียงทำนองอันไพเราะนุ่มนวล ชาวประมงที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็มีบางครั้งที่พากันอุทานออกมาบ้าง ทุกอย่างนั้นเพอร์เฟกต์ไปหมด
แต่พอเมื่อฉินสือโอวบรรยายจนถึงจุดที่เขาคิดว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ที่สุดแล้ว ซึ่งก็คือตอนที่หูปาอีกับหวังพ้างจื่อเตรียมตัวที่จะลงไปสำรวจสุสาน พวกชาวประมงก็ไม่ฟังกันแล้ว พวกเขาพากันส่ายหน้า พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความผิดหวังว่า “เจ้าพวกนี้คือโจรขโมยขุดสุสานงั้นเหรอ?”
ฉินสือโอวตอบ “ใช่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแค่การปล้นสุสานเท่านั้น เขายังมีเรื่องสนุกๆ ให้ต้องทำอีกเยอะเลยล่ะ”
ชาร์คจึงพูดขึ้นว่า “ก็ช่าง การขโมยขุดสุสานถือว่าเป็นเรื่องที่เลวทรามต่ำช้ามาก ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะทำไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมว่ายังไงมันก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี หึ ก็พวกเราจะไปรบกวนการนอนหลับสนิทของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้ยังไงกัน ใช่ไหมล่ะ?”
นี่คือความน่าแปลกใจของวัฒนธรรมจีนและตะวันตก ชาวแคนาดาจะเคารพต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเป็นอย่างมาก และคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยกลัวหรือเชื่อพวกเรื่องผีสางเท่าไร ดังนั้นจึงมีการสร้างที่พักอาศัยใกล้ๆ กับสุสาน เพราะพวกเขาคิดว่าสุสานเป็นสถานที่ที่โลกอยู่ใกล้กับสวรรค์มากที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ถ้าพูดถึงชาวแคนาดา ความกลัวไม่ใช่ปัจจัยที่จะห้ามไม่ให้พวกเขาแอบไปขุดสุสานเพื่อขโมยของ แต่เป็นความเคารพยำเกรงต่างหาก เพราะโจรขโมยขุดสุสานจะเป็นที่น่ารังเกียจมาก และพวกที่ทำงานแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกติดยา เป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคม
ฉินสือโอวไม่อยากที่จะต้องมาพูดถึงคุณค่าและความสำคัญของการปล้นสุสาน จึงต้องตามน้ำไป เพราะเขาเคารพในค่านิยมของชาร์คและคนอื่นๆ เพียงแต่มีบางที่เขายอมไม่ได้ เขาจึงพูดขึ้น “งั้นศึกษาโบราณคดีล่ะ? ศึกษาโบราณคดีก็เป็นการขโมยขุดสุสานไม่ใช่เหรอ?”
แลนซ์กลอกตาอย่างดูหมิ่น พร้อมกับพูดว่า “ก็แล้วแคนาดามีวิชาโบราณคดีหรือไงกันครับ? ประเทศนี้จะไปมีประวัติศาสตร์อะไรให้ศึกษาล่ะ”
ฉินสือโอวคิดไปคิดมาก็ถึงกับเถียงไม่ออก
“คุณเล่าเรื่องผีก็ให้มันสั้นกระชับและเล่าถึงจุดที่มันน่ากลัวหน่อย ดีที่สุดคืออย่าเล่าที่พอเปิดมาแล้วทุกคนก็เดาถึงตอนจบได้ก็พอ” ชาร์คพูด
ฉินสือโอวยักไหล่และตอบกลับ “ก็ได้ มีเรื่องผีคลาสสิคประจำหมู่บ้านของฉันอยู่เรื่องหนึ่ง เย็นวันหนึ่งฉันเจอผีผู้หญิงตนหนึ่ง เธอตดออกมา จากนั้นตัวเธอก็แตกตาย”
เมื่อเสียงของเขาเงียบลง พวกชาวประมงก็ค่อยๆ หันไปมองที่เขาอย่างนิ่งสงบ มีเพียงกาแฟบนกองไฟที่ส่งเสียงเดือด ‘ปุดปุด’
วินนี่เดินเข้ามาถาม “เฮ้ พวกคุณกำลังเล่าเรื่องผีอะไรอยู่เหรอ? น่ากลัวมากเลยเหรอ? ถึงกับไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคนน่ะ?”
พวกชาวประมงค่อยๆ พากันพยักหน้าอย่างเงียบๆ เพราะพวกเขาเหนื่อยที่จะแขวะการเล่าเรื่องของฉินสือโอวแล้ว
ส่วนท่านชายฉินก็เหนื่อยกับสมรรถภาพในความเข้าใจของพวกเขาด้วยเหมือนกัน เรื่องผีคลาสสิคก็เยอะอยู่ แต่นี่เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่โดนแชร์เยอะที่สุดบนอินเทอร์เน็ตจีนเลยนะ
ชาร์คเลยเตะสะกิดซีมอนสเตอร์ให้เขาเล่าเรื่องสักเรื่อง
ซีมอนสเตอร์ส่งเสียงครวญครางพร้อมกับหายใจหอบ จากนั้นก็พูดขึ้น “งั้นก็คงจะเป็นเรื่องในโรงละครโอเปราที่นิวยอร์ก มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นักแสดงนำหญิงคนเดิมเกือบจะถูกฆ่าตาย เพราะเห็นภาพลวงตาที่น่าหวาดกลัวในโรงละคร…”
“ภาพลวงตาบ้านแกสิ นี่มันเดอะแฟนธอม ออฟ ดิ โอเปราไม่ใช่รึไง? นายเปลี่ยนจากปารีสเป็นนิวยอร์กก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่แล้วงั้นสิ? แถมยังคิดว่าเป็นเรื่องผีอีก?” นีลเซ็นพูดตัดตอนเขาอย่างไม่สบอารมณ์
ส่วนบูลที่อยู่ข้างๆ ก็ถึงกับปาดเหงื่อและพูดขึ้น “ให้ตายสิ ฉันก็ตกใจหมด ก็ว่าแล้วว่าทำไมเรื่องนี้มันฟังดูคุ้นได้ขนาดนี้น่ะ”
แล้วบรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็กลับมาเงียบอีกครั้ง ครั้งนี้ทุกคนต่างพากันมองไปยังบูล แม้แต่วินนี่ก็ยังต้องเอามือป้องปากแอบหัวเราะ
กิจกรรมยามเย็นจัดได้ว่าล้มเหลวมาก เพราะว่าความต่างของวัฒนธรรมทั้งสองฝ่าย ฉินสือโอวก็คิดไปเองว่าพวกเขาจะกลัว แต่พอเขาเล่าพวกเรื่องวิญญาณ ผีดูดเลือดให้ชาวประมงฟังพวกเขากลับไม่มีความรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
ชาวประมงก็รู้สึกอย่างเดียวกันกับตอนที่เขาเล่าเรื่องผี จุดขายของเรื่องผีจีนจะเน้นในเรื่องของความลึกลับ และเดาตอนจบไม่ได้ บางเรื่องก็ไม่มีผีออกมา แต่พอเวลามีผีปรากฏออกมาคนกลับไม่สามารถรับมือได้
และนี่ก็ทำให้พวกชาวประมงไม่เข้าใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าในเรื่องที่ไม่มีผีมันมีอะไรให้น่ากลัว? หรือแม้กระทั่งถึงเรื่องที่คนไม่สามารถรับมือได้เหล่านั้นอีก หรือพระเจ้าเป็นคนทำงั้นเหรอ?
เช่นนี้ค่ำคืนแห่งเรื่องราวสยองขวัญที่ได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้กลายเป็นค่ำคืนแห่งการจับผิด เมื่อมีคนหนึ่งเล่าเรื่องผี คนอื่นๆ ก็คอยแต่จะหาจุดที่ดูไม่สมเหตุสมผล บรรยากาศจึงดูเร่าร้อน
พอถึงเวลาที่ควรนอน ฉินสือโอวก็ส่งชาวประมง ส่วนวินนี่ขึ้นไปชั้นบนแล้ว เขาเลยต้องจัดการเก็บกระป๋องเบียร์ ก้นบุหรี่เถ้าบุหรี่และคราบกาแฟที่เปื้อนอยู่เต็มพื้น
เชอร์ลี่ย์ที่เข้ามาหาอะไรดื่มในห้องครัว หันมาเห็นฉินสือโอวกำลังทำความสะอาดอยู่ก็เข้ามาช่วย
ฉินสือโอวที่กวาดขยะมารวมกันและให้เชอร์ลี่ย์จับที่ตักผงไว้ แต่เรียกเท่าไรเชอร์ลี่ย์ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เขารู้สึกแปลกใจเลยเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นเชอร์ลี่ย์กำลังมองไปที่ครัวด้วยความสงสัย
“มีอะไรเหรอ?” ฉินสือโอวหัวเราะถาม
เชอร์ลี่ย์จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ฉิน เมื่อกี้มีใครมาเล่นบ้าง? พวกเขาได้พาเด็กมาด้วยเหรอคะ? ทำไมถึงมีเด็กผู้ชายสองคนนั่งรออยู่ที่มุมครัวล่ะ”
ฉินสือโอวเลยมองเข้าไปในครัว แต่มันมืดมากจนมองอะไรไม่เห็น ส่วนข้างนอกก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน จนทำให้มองอะไรไม่ชัดได้เหมือนกัน
“เด็กผู้ชายที่ไหนกัน? พอเลย เชอร์ลี่ย์ ฉันรู้นะว่าเธอคิดจะทำอะไร เธอจะแกล้งให้ฉันขวัญเสียใช่ไหมล่ะ?” แล้วฉินสือโอวก็หัวเราะขึ้นมา
เชอร์ลี่ย์จูงแขนเขาพร้อมกับพูดอย่างร้อนใจว่า “จริงๆ นะฉิน หนูไม่ได้จะแกล้งให้คุณขวัญเสีย คุณมองไม่เห็นเหรอคะ? ตรงนั้นมีเด็กผู้ชายสองคนน่ะ? คนหนึ่งผมสีเหลือง อีกคนผมสีดำ หนูก็นึกว่าใครพาลูกของนักท่องเที่ยวมาเล่นด้วยซะอีก”
พอเห็นเชอร์ลี่ย์มีท่าทีจริงจัง ฉินสือโอวก็รู้สึกสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงพูดด้วยความแน่วแน่ว่า “ไม่นะ ไม่เห็นมีอะไร เชอร์ลี่ย์ข้างในนั้นน่ะไม่มีคน!”
แต่เชอร์ลี่ย์ยังคงชี้นิ้วไปยังมุมครัวพร้อมกับพูดว่า “นั่นไงทำไมจะไม่มี ก็ที่กำลังมองพวกเราอยู่ตรงนั้นไง! หนูสาบานเลยฉิน ถ้าตรงนั้นไม่มีเด็กนะ คุณไล่หนูไปอยู่หอพักโรงเรียนประจำได้เลย”
ฉินสือโอวรู้ว่า คำสาบานสำหรับเชอร์ลี่ย์แล้วแรงมาก แรงกว่าคำปฏิญาณต่อพระเจ้าอะไรเทือกนั้นมาก
จากนั้นเขาก็ชาเล็กน้อยไปทั่วหัว มันไม่จริงใช่ไหม หรือว่าในครัวจะมีผีอยู่จริงๆ ล่ะ?
เขาถึงกับกลืนน้ำลาย พลางจับไปที่บ่าของเชอร์ลี่ย์และพูดอย่างจริงจังว่า “เธอเห็นเด็กสองคนตรงมุมนั้นใช่ไหม?”
เชอร์ลี่ย์พยักหน้าอย่างมั่นใจ แต่ยังถามขึ้นด้วยความสงสัย “คุณมองไม่เห็นเหรอ?”
ฉินสือโอวรีบควักโทรศัพท์มือถือออกมา แต่โชคไม่ดี เพราะเมื่อกี้เขาใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปจนตอนนี้แบตหมดไปเป็นที่เรียบร้อย ถึงเขาจะพยายามเปิด แต่พอมีแสงกะพริบที่โทรศัพท์หนึ่งที แล้วหน้าจอก็กลับมามืดสนิทเหมือนเดิม
“ซวยล่ะ มาดับอะไรเอาตอนนี้!” ฉินสือโอวด่าไปหนึ่งที จากนั้นเขาก็หันไปเห็นหู่จือเป้าจือ เลยนึกถึงคำบอกเล่าที่เล่าต่อๆ กันมาว่าหมาสามารถเห็นผีได้ แล้วเขาก็รีบลากพวกมันมา
หู่จือและเป้าจือมองเขาอย่างไร้เดียงสา พลางกระโดดโลดเต้นต้องการความสนใจ ฉินสือโอวเลยปล่อยพวกมันลงพร้อมทั้งด่าไปอีกหนึ่งที “แม่งเอ๊ยนี่ก็ไม่ได้เรื่อง!”
แล้วอยู่ๆ ก็มีแสงสาดมา ฉินสือโอวถึงกับตกใจเล็กน้อย พอหันหน้ากลับไปก็เป็นเชอร์ลี่ย์เองที่เปิดไฟฉายในโทรศัพท์ของเธอ
“คุณดูสิ ตรงนั้นมีเด็กสองคนใช่ไหม? เด็กผู้ชายสองคน คนหนึ่งผมสีเหลือง อีกคนผมสีดำน่ะ?” เชอร์ลี่ย์ใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องไปยังมุมห้องพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
แล้วฉินสือโอวก็รวบรวมความกล้ามองตามไปยังที่เชอร์ลี่ย์ชี้ จากนั้นก็เห็นเด็กสองคนจริงๆ คนหนึ่งผมสีเหลือง อีกคนผมดำ แต่พวกเขาติดอยู่ที่ประตูตู้เย็น นอกจากนั้นยังมีตัวอักษรติดอยู่ด้านบนหัวของเด็กทั้งสองว่า ไฮเออร์…
………………………………………..