ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1278 วิกฤตการณ์ของหอยพิษ

บทที่ 1278 วิกฤตการณ์ของหอยพิษ

ตามหลักแล้วอาหารเย็นของแม่ฉินสือโอวจะเป็นกับข้าวเจ็ดอย่างซุปสองอย่าง ที่ฟาร์มปลานั้นมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งบางครั้งพวกชาวประมงก็จะวิ่งเบียดกันมาเอาข้าว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำไว้เยอะๆ

ส่วนฉินสือโอวที่อยากจะใช้เวลาอยู่กับพ่อและแม่ให้ได้มากที่สุด เขาไม่อยากที่จะให้แม่มาจัดเตรียมกับข้าวให้ เพราะปกติแล้วเขาก็ทำกับข้าวเองอยู่แล้ว และแน่นอนว่าเขาไม่ทำกับข้าวเยอะขนาดนี้ มากสุดก็แค่สี่อย่าง หรือทำข้าวหม้อใหญ่หรือไม่ก็เพิ่มเมนูเนื้อย่าง เพื่อจะได้สะดวกและประหยัดเวลา

แม่ของฉินสือโอวทำไก่ตุ๋นเห็ดหอม ผัดผักกาดขาวใส่พริก ไก่ผัดพริก ไก่เส้นผัดเห็ดหอม ผัดสามเซียน ฟักผัดกุ้งแห้ง เนื้อทอด ส่วนซุปก็เป็นซุปเต้าหู้หัวปลากับซุปเห็ดหอมเนื้อวัว

นอกจากนี้วินนี่ยังเอาไก่ย่างซอสฮาวายเอี้ยนหนึ่งตัวและสเต๊กเนื้อวัวจานใหญ่หนึ่งจานกลับมาจากในเมือง ซึ่งอาหารหลักนั้นคือพิซซ่าที่มีกลิ่นอายรสชาติหลากหลายสไตล์ ผสมผสานระหว่างจีนและยุโรปทำให้ดูเป็นอาหารจานหรูที่เข้ากันเป็นอย่างมาก

ตอนที่รับประทานอาหาร วินนี่ไม่รีบมานั่งที่โต๊ะ ฉินสือโอวจึงตะโกนเรียก “ที่รัก ทานข้าวได้แล้ว”

วินนี่จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยสบายใจว่า “พวกคุณทานกันไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันขอชงนมให้เสี่ยวเถียนกวาก่อนนะคะ”

เห็นได้ชัดเลยว่าวินนี่มีเรื่องอยู่ภายในใจ และที่ชัดไปกว่านั้นก็คือเรื่องงาน

ฉินสือโอวนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อเช้านี้วินนี่ดูรีบร้อนออกไป ฉินสือโอวจึงเข้าไปถามว่า “บอกผมมาที่รัก เมื่อเช้าคุณเจอเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจหรือเปล่า?”

เขาเดาว่าสิ่งที่กวนใจวินนี่อยู่คือเรื่องเมื่อเช้านี้

วินนี่ทั้งชงนมให้ลูกไปพลางทั้งพูดไปพลางว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณไปกินข้าวก่อนเถอะค่ะ”

ฉินสือโอวดึงตัววินนี่มาตรงหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ คุณบอกสามีคนนี้ได้ สามีคนนี้จะช่วยคุณแก้ปัญหาเอง คุณไม่เชื่อใจสามีที่ทำได้ทุกอย่างคนนี้แล้วเหรอ?”

เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของฉินสือโอว วินนี่จึงยิ้มอย่างอบอุ่นออกมาและพูดว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับนักท่องเที่ยวนิดหน่อยค่ะ มีคนออกทะเลไปกับชาวประมงในตอนเช้าตรู่ สุดท้ายถูกหอยพิษทำร้ายเข้าให้”

เมื่อชงนมเสร็จวินนี่จึงลองเช็กอุณหภูมิก่อนจะส่งให้ลูกสาว เสี่ยวเถียนกวากอดขวดนมขวดใหญ่ไว้และทำแก้มป่องดื่มนมเข้าไป

เมื่อได้ยินว่ามีหอยพิษทำร้ายคน ฉินสือโอวก็รีบถามขึ้น “หอยพิษอะไรเหรอ? เหตุการณ์เป็นอย่างไรล่ะ?”

วินนี่กล่าว “เป็นหอยเต้าปูนชนิดหนึ่ง โชคดีที่หมอโอดอมที่เป็นหมอเฉพาะด้านนี้เห็นเข้าพอดี มิเช่นนั้นแล้วคงจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นในครั้งนี้เข้าให้จริงๆ ดูเหมือนว่าบริเวณรอบๆ ทะเลจะค่อนข้างอันตราย คุณกับพวกชาวประมงต้องระวังตัวกันด้วยนะ”

ในโลกตอนนี้ชนิดสายพันธุ์ของหอยที่จดขึ้นทะเบียนแล้วมีประมาณหนึ่งแสนสายพันธุ์ ไม่เพียงแต่มีหอยที่งดงามล้ำค่าและหอยเชลล์ที่รสชาติแสนอร่อย แต่ยังมีหอยพิษจำนวนหนึ่งที่สามารถหลั่งสารพิษออกมาได้ อีกทั้งสายพันธุ์มีอยู่ไม่น้อย มากกว่าพันสายพันธุ์เลยทีเดียว

และหอยพิษที่พบเจอได้บ่อยที่สุดก็คือหอยสังข์ หอยลิ้นจี่และหอยเต้าปูนที่วินนี่พูดถึง โดยเฉพาะหอยเต้าปูน แม้ภายนอกจะดูสวยงามอีกทั้งดูเหมือนหอยเต้าปูนจะมีพลังดึงดูดน่าหลงใหลเป็นอย่างมาก หากมีคนพบเห็นแล้วใช้มือจับขึ้นมาคงยุ่งยากเป็นแน่

สายพันธุ์ของหอยเต้าปูนเป็นหนึ่งในหอยพิษที่พบเจอมากที่สุด ซึ่งตอนนี้ที่มีการพบเจอมากกว่าห้าร้อยสายพันธุ์ ส่วนยอดปลายแหลมของพวกมันได้ซ่อนปากเล็กๆ อันหนึ่งไว้ ซึ่งด้านในนั้นมีเข็มพิษสามารถที่จะปล่อยพิษได้จากตรงนี้ ซึ่งเพียงแค่หนึ่งมิลลิกรัมก็สามารถทำให้คนตายได้

แต่เรื่องที่หอยเต้าปูนทำร้ายคนที่แคนาดายังมีค่อนข้างน้อย ฉินสือโอวเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เนื่องจากหอยเต้าปูนส่วนใหญ่แล้วจะอาศัยอยู่ที่ทะเลเขตร้อน ซึ่งพบเจออยู่บริเวณแถบมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงบริเวณทะเลไห่ผิงเป็นจำนวนมาก ส่วนมหาสมุทรแอตแลนติกโดยเฉพาะทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกจะมีค่อนข้างน้อย

แต่มีน้อยก็ใช่ว่าจะไม่มี ครั้งนี้จึงได้มีคนโชคร้าย

ฉินสือโอวจึงถามวินนี่เกี่ยวกับลักษณะสายพันธุ์ของหอยเต้าปูนที่ทำร้ายคน วินนี่ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้คนเจ็บยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เลยยังบอกลักษณะรูปพรรณสัณฐานไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติดี รู้แต่เพียงว่าพิษของหอยชนิดนี้ที่โดนพ่นเข้าไปเป็นสารพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท”

พ่อแม่ฉินสือโอวฟังที่ทั้งสองคนคุยกันก็รู้สึกกลัวขึ้นมา จึงพูดกำชับกับฉินสือโอวว่า “เสี่ยวโอว เวลาที่พวกลูกออกทะเลก็ต้องระวังให้มากขึ้นนะ อย่าให้โดนสิ่งนี้กัดเข้าให้ล่ะ”

วินนี่จึงพูดปลอบใจทั้งสองคนว่า “ไม่ต้องห่วงนะคะ หอยพิษชนิดนี้มีน้อยมาก ตอนเช้าหนูหาข้อมูลไปบ้างแล้ว จากบันทึกสถิติโลกเรื่องที่หอยพิษทำร้ายคน ตอนนี้ที่ถูกบันทึกไว้มีแค่ 38 รายเท่านั้น”

แต่เธอไม่ได้บอกคนแก่ทั้งสองคนว่า ใน 38 รายนี้เสียชีวิตไปเกือบครึ่ง แถมยังเป็นอัตราการเสียชีวิตที่สูงที่สุดอีกด้วย

ดังนั้นจะว่าไปแล้ว ดวงของนักท่องเที่ยวคนนี้ถือว่าดีมาก ที่สามารถรอดจากเงื้อมมือของหอยเต้าปูนมาได้ หรือจะพูดได้อีกอย่างก็คือพญายมราชใจดีที่ไว้ชีวิตเขาก็ว่าได้

เชอร์ลี่ย์พยักหน้าและพูดขึ้น “โรงเรียนของเราก็มีการประกาศเตือนออกมาว่า ช่วงนี้ไม่อนุญาตให้พวกเราเข้าใกล้ทะเล พี่วินนี่คะ ทางในเมืองมีการจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรเหรอคะ?”

วินนี่ที่กำลังทานซุปอยู่จึงพูดขึ้นว่า “ก็ต้องรายงานให้กับภาครัฐและกรมเจ้าท่า พี่ทำรายงานส่งไปแล้วล่ะ รอเพียงพวกเขาส่งผู้เชี่ยวชาญออกมาสำรวจและจัดการแก้ไข”

ฉินสือโอวจึงพูดขึ้น “รอรัฐบาลงั้นเหรอ? ฮ่า งั้นคงต้องรอไปอีกยาว ช่วงนี้คาดว่าชายหาดคงถูกปิดล้อมแล้วใช่ไหม? พวกคุณชี้แจงกับบริษัททัวร์และนักท่องเที่ยวว่าอย่างไรบ้างล่ะ?”

โครงการท่องเที่ยวของเหล่านักท่องเที่ยวถูกกำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว สาเหตุที่การท่องเที่ยวที่เกาะแฟร์เวลเป็นที่นิยมมากขนาดนี้ เป็นเพราะว่ามีจิตสำนึกทางการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก อย่างพ่อค้าแม่ขายที่จะเข้ามาบนเกาะก็ต้องได้รับการตรวจสอบและยอมรับจากรัฐบาล พร้อมทั้งยอมรับคำร้องเรียนของนักท่องเที่ยว

ดังนั้นการมาเที่ยวที่เกาะแฟร์เวลจึงไม่มีการหลอกลวง ไม่มีการบังคับขาย และไม่มีการซื้อขายของปลอม เพราะที่นักท่องเที่ยวจ่ายไปนั้นคือเงินทองจริงๆ จึงอยากได้ความสุขที่เป็นของจริงสมน้ำสมเนื้อ

อีกทั้งเส้นทางท่องเที่ยวเกาะแฟร์เวลก็เป็นเส้นท่องเที่ยวที่สำคัญมากของชายหาดทางตอนเหนือของประเทศที่สะอาด ซึ่งถ้าหากปิดล้อมชายหาด งั้นก็เท่ากับว่ารัฐบาลในเมืองเล็กทำผิดสัญญา จึงต้องดำเนินการชดเชยเงินให้กับนักท่องเที่ยว

ที่วินนี่กลัดกลุ้มก่อนหน้านี้ก็คือเรื่องนี้ ซึ่งรายการการชดเชยก็ใช่ว่าจะน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ตามมายังมีนักท่องเที่ยวอีกเกือบสิบกลุ่มที่ยังรอขึ้นเกาะมาเที่ยว ซึ่งพวกเขาก็ได้เซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากมีการชดเชยก็ต้องมีส่วนได้ด้วยเช่นกัน

“เมื่อไม่มีวิธีที่จะชี้แจงได้ ก็ทำได้เพียงชดเชยค่าเสียหายนั่นแหละค่ะ” วินนี่พูดขึ้นด้วยความรู้สึกหดหู่เศร้าใจ

ฉินสือโอวยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยื่นมือไปจับปอยผมที่อยู่ตรงหน้าผากของวินนี่ขึ้นแล้วพูดว่า “กินข้าวดีกว่า ส่วนเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของผม พรุ่งนี้ผมจะพาคนไปเอาหอยพิษออกมาเอง”

ซึ่งที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องหาหอยพิษออกมาทั้งหมด ใครจะไปรู้ว่าริมชายหาดนั้นมีหอยพิษอยู่จำนวนเท่าไหร่? เพียงแค่หาได้ตัวเดียวก็สามารถบอกผลได้แล้ว สำหรับฉินสือโอวแล้วเรื่องนี้ง่ายนิดเดียว

แต่ทว่าวินนี่ก็ยังรู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงพูดขึ้นว่า “หรือว่าจะรอผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงดี? เพราะว่าสิ่งนี้มีพิษ”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างมั่นใจ “คุณก็รู้ว่า หอยเต้าปูนจะไม่จู่โจมเองโดยธรรมชาติ สมรรถภาพทางกายของพวกมันแย่มาก ถึงผมหามันเจอ แต่แค่ไม่ไปจับมันด้วยมือเปล่าก็ถือว่าปลอดภัยแล้ว”

วินนี่ก็ยังไม่ยอมที่จะให้เขาไปเสี่ยงอันตรายอยู่ดี พ่อและแม่ของฉินสือโอวก็เช่นเดียวกัน แต่นี่ก็เป็นปัญหาเรื่องงานของวินนี่ จึงได้แต่สนับสนุนเธอ และทำได้เพียงแค่กำชับกับลูกอย่างกังวลว่าให้ระวัง

พอทานข้าวเย็นเสร็จ ฉินสือโอวออกไปเดินเล่นรอบหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าบริเวณเขตทะเลของฟาร์มปลาสาธารณะจะเจอหอยเต้าปูน ถ้างั้นน่านน้ำอื่นๆ เองก็คงไม่ปลอดภัย แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือว่า หอยเต้าปูนเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน?

นี่เป็นเรื่องด่วนที่ต้องจัดการในทันที เขาคิดไปไกลและซับซ้อนกว่าวินนี่มาก

แต่ในประวัติของเกาะแฟร์เวลไม่มีสถิติการค้นพบหอยเต้าปูนเลย อีกทั้งเหตุการณ์นี้ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ ซึ่งแน่นอนว่า หอยเต้าปูนที่อยู่ในช่วงวางไข่ ไข่ของมันที่พัดไปตามกระแสน้ำจะสามารถแพร่พันธุ์ไปได้ทั่วทุกสารทิศ

แต่ตัวอ่อนของพวกมันจำเป็นต้องอยู่ในทะเลเขตร้อนที่อบอุ่นจึงจะสามารถมีชีวิตรอด แต่อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือสำหรับตัวอ่อนแล้วค่อนข้างเย็น ทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

ดังนั้นเขาจึงเดาไว้ในใจว่า หอยเต้าปูนเหล่านี้เป็นของคนงานที่นำมาปล่อยเอาไว้ใกล้กับเขตทะเลแฟร์เวล หรือจะมีผู้ไม่หวังดีต้องการทำลาย!

ขณะเดินอยู่บนชายหาด จิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ออกตระเวนไปทั่วทั้งสี่ทิศ ในขณะเดียวกันเขาได้ออกคำสั่งให้บอลหิมะ ไอซ์สเกตและบีนช่วยกันค้นหา

………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท