ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1277 กะปิหวาน

บทที่ 1277 กะปิหวาน

หลังจากจัดการลูกสาวของเขาเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็นั่งลงบนโซฟาและส่ายหัว การเลี้ยงลูกนั้นยากจริงๆ วินนี่ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ

แม่ฉินทำอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงเรียกเขามากินข้าว หลังจากที่ฉินสือโอวเห็นโจ๊กสีเหลืองๆ ส้มๆ และไส้กรอกชิ้นเล็กที่ทอดแล้ว ท้องและลำคอของเขาซึ่งสงบลงแล้วก็กลับมาปั่นป่วนอีกครั้งจนเขาแทบจะอ้วกลงบนโต๊ะ

เมื่อไม่รู้เรื่องไหนก็มักจะถามถึงเรื่องนั้น เมื่อพาชาวประมงออกทะเลในตอนเช้า ชาร์คก็ถามด้วยใบหน้าทะเล้นว่า “อาหารเช้าเป็นยังไงบ้างล่ะบอส? เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวตั้งแต่เช้าตรู่ น่าจะเรียกน้ำย่อยได้ดีเลยใช่ไหมครับ?”

“ฟัค ยู!”ฉินสือโอวชูนิ้วกลางใส่ “บ้าเอ๊ย นายรู้ได้ยังไงเนี่ย? เชอร์ลี่ย์โพสต์ทวีตบ้านั่นอีกแล้วเหรอ?”

แลนซ์ส่ายหน้า ฉินสือโอวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่ใช่ทวิตเตอร์ก็ดี ยังถือว่าเด็กนี่ยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่”

แลนซ์จึงพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่กัปตัน ที่ผมส่ายหัวคือ เธอไม่เพียงโพสต์ลงบนทวิตเตอร์เท่านั้น แต่ยังมีเฟซบุ๊กและเอ็มเอสเอ็นพวกนั้นด้วย” เขายังส่ายหัวต่อ “ทุกช่องทางที่คุณสามารถรู้ได้ เธอโพสต์ลงหมดเลย!”

“บ้าเอ๊ย!” ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา

และบูลก็พูดปลอบใจเขา “ไม่เป็นไรหรอกกัปตัน การเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กมันก็น่าขยะแขยงแบบนี้ ทุกครั้งที่ผมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกชายมันก็น่าขยะแขยงมากเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องปกติ”

เมื่อดูอาการอยากจะอ้วกของบูลในเฟซบุ๊ก ฉินสือโอวก็รู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงว่าลูกชายของบูลสามารถกินได้เยอะ เขาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม

เขารู้สึกว่าตัวเองและบูลมีหัวอกเดียวกัน ชาวประมงคนอื่นๆ น่ะไม่มีทางเข้าใจหรอก เขาเลยถามขึ้นว่า “พวก ลูกชายใช้นายใช้ผ้าอ้อมยี่ห้ออะไร แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”

บูลเลยตอบว่า “ยี่ห้อมามี๊เบบี้น่ะ แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับคุณ เพราะมีเด็กสองคนอยู่บนผ้าอ้อมด้วย ฮ่าๆ”

“ฟัค ยู!” ฉินสือโอวยกนิ้วกลางให้บูล

หลังฝนตกหนักหยุดลง ฟาร์มปลาต้าฉินยังคงต้องขนส่งลูกปลาออกไป และก็ยังมีคนส่งมาให้เขา ครั้งนี้ฟาร์มปลาแห่งหนึ่งของอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ได้ส่งหอยนางรมจำนวนหนึ่งมา ฉินสือโอวไปรับพวกมันและเจ้าของฟาร์มปลานั้นก็ให้กุ้งตัวเล็กๆ แถมเพิ่มมาอีกหนึ่งถัง

ฉินสือโอวมองไปที่มันและพบว่าเป็นกุ้งกึ่งสุกกึ่งดิบที่ยังสดใหม่ มีขนาดเล็กมาก แต่คุณภาพดี มีผิวมันวาวและตัวอวบอ้วนเห็นได้ชัดเลยว่าเนื้อแน่นเต็ม

“นี่คือกุ้งแดงเหรอครับ? ดูไปแล้วก็ไม่เลวเลย ในฟาร์มปลาของผมก็มี” ฉินสือโอวยิ้ม

เจ้าของฟาร์มปลานั้นรีบส่ายหัวตอบทันที “เปล่าครับ นี่คือกุ้งน้ำเย็นอเมริกา มันเป็นกุ้งหวานอเมริกา รสชาติดีมากเลยล่ะ ผมแนะนำให้คุณลองชิม ฟาร์มปลาของผมเพาะเลี้ยงกุ้งพวกนี้ไว้ หากคุณสนใจพวกเราสามารถมาร่วมมือกันต่อไปได้นะครับ”

กุ้งน้ำเย็นสามารถรับประทานแบบดิบๆ ได้ เพราะกุ้งพวกนี้จะสุกแบบครึ่งๆ กลางๆ จึงสามารถรับประทานได้เลย

ฉินสือโอวไม่อยากที่จะปฏิเสธน้ำใจเลยหยิบไปกินหนึ่งตัว ก็สัมผัสได้ถึงหนังกุ้งที่ค่อนข้างนุ่มและเนื้อกุ้งที่เยอะมาก นอกจากนี้ยังมีกุ้งตัวอวบๆ รสชาติหวานนิดๆ ซึ่งมันดีจริงๆ

แต่การเพาะเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ก็เหมือนกับการเพาะเลี้ยงกุ้งแดง เพิ่มเติมคือเป็นชั้นอาหารต่ำสุดสำหรับฟาร์มปลาซะมากกว่า ไม่ใช่เพื่อการจับไปขาย

แน่นอนว่า อเมริกาเหนือก็มีหลายที่มากที่ผลิตกุ้งพวกนี้ เช่นชายฝั่งทะเลตะวันตกของรัฐวอชิงตัน รัฐออริกอน และน่านน้ำแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ ในเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปีจะสามารถตกได้หลายหมื่นตัน ซึ่งก็เปรียบเป็นโภคทรัพย์อีกอย่างได้เหมือนกัน

แต่ฉินสือโอวไม่ได้สนใจอะไร เพราะฟาร์มปลาของเขามีกุ้งแดงอยู่แล้ว จริงๆ แล้วกุ้งหวานอเมริกาก็คือกุ้งแดงแห่งมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เพียงแต่พวกมันใช้ชีวิตอยู่ที่น่านน้ำทะเลแปซิฟิกเหนือก็เท่านั้น

เหมือนกับกุ้งแดง กุ้งชนิดนี้ตัวไม่ใหญ่ พอโตเต็มวัยก็มีน้ำหนักแค่สามสี่กรัม หนึ่งปอนด์ขายได้เพียงร้อยตัว มูลค่าทางเศรษฐกิจก็ค่อนข้างน้อย เวลาตกขึ้นมาขายส่วนมากก็เอาไปเป็นอาหารหมาแมวหรือไม่ก็เอามาเป็นเหยื่อล่อปลาในฟาร์มปลา

อีกทั้งกุ้งน้ำเย็นเติบโตช้าเป็นพิเศษ สี่ปีถึงจะสามารถตกได้ตามกำหนด แล้วเช่นนี้จะเพาะเลี้ยงไปทำไม

แต่ก็มีอีกความหมายหนึ่งซึ่งก็คือ ระยะเวลาการเติบโตของกุ้งชนิดนี้แปลกมาก ช่วงแรกสุดของพวกมันเป็นเพศผู้ ต่อมาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเพศเมีย สุดท้ายถึงค่อยวางไข่และฟักไข่

ฉินสือโอวขอบคุณความหวังดีของเจ้าของฟาร์มปลาผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้สั่งพันธุ์กุ้งน้ำเย็น เอาเงินไปซื้อกุ้งแดงยังจะดีซะกว่า เจ้าตัวนี้ยังถูกกว่าเจ้าพวกนี้มากโข

หลังจากเจ้าของฟาร์มปลาเดินไป ถังกุ้งหวานนี้ก็ถูกทิ้งไว้ตรงนั้น

กุ้งหวานค่อนข้างเล็กไปหน่อย เอาไปทำอะไรกินก็ไม่อร่อย ถ้าจะเอาไปทอดหรือนึ่งกินก็ดูจะไม่เหมาะ ถ้าจะเททิ้งก็ดูจะเสียของเกินไป อีกอย่างนี่ก็เป็นความหวังดีของเจ้าของฟาร์มปลา ถ้าจะเททิ้งตรงๆ ก็จะดูไม่ดี

ฉินสือโอวจึงถามพวกชาวประมงว่ามีใครอยากได้ไหม โดยบอกว่านี่คือสวัสดิการจากฟาร์มปลา สุดท้ายพวกชาวประมงที่ฉลาดแกมโกงเลยพูดขึ้นว่าถ้าพวกเขาอยากกินกุ้งก็จะไปตกกุ้งล็อบสเตอร์ ใครจะไปอยากกินกุ้งตัวจ้อยแบบนี้กัน?

แลนซ์มองเขาที่ดูกลุ้ม แล้วพูดขึ้นว่า “หรือว่าคุณจะเอาไปทำเป็นกะปิก็ได้นะ สมัยก่อนตอนที่ผมทำงานที่เรือตกปลาลำหนึ่ง พวกเขาเป็นเรือตกกุ้งหวานเอามาทำเป็นกะปิโดยเฉพาะ จากนั้นก็นำไปขายให้ชาวจีน ผมจำได้ว่าพวกคุณชาวจีนชอบกินกะปิกันไม่ใช่เหรอ?”

พอได้ฟังที่แลนซ์พูด ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วรู้สึกว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดูไม่เสียเปล่าดี

ตอนที่ฉินสือโอวอยู่ที่บ้านเกิดก็กินของสิ่งนี้ไม่น้อย และสำหรับบ้านเขาตอนเด็กๆ อาหารทะเลมีเพียงแค่สองชนิดเท่านั้น ชนิดหนึ่งคือสาหร่ายทะเล อีกชนิดก็หนึ่งคือกะปิ…

กะปิคืออาหารที่เกิดจากการหมักเก็บไว้ โดยระหว่างระยะเวลาที่หมักเก็บไว้โปรตีนจะย่อยสลายกลายเป็นกรดอะมิโน จึงทำให้มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ สามารถนำไปทำอาหารได้โดยตรงเลยหรือจะนำไปทำเป็นน้ำจิ้มเลยก็ยังได้

นอกจากนี้ มันยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากอีกด้วย และปริมาณแคลเซียมของกุ้งจะกลายเป็นแคลเซียมที่มนุษย์สามารถดูดซึมเข้าไปได้ง่าย และไขมันก็เปลี่ยนเป็นกรดไขมัน ดังนั้นกะปิจึงสามารถเสริมโปรตีน แคลเซียม และกรดไขมันให้กับร่างกายได้ในเวลาเดียวกัน

พอคิดก็ลงมือทำเลย หลังจากกลับจากออกทะเลไม่มีอะไรทำพอดี ฉินสือโอวเลยหยิบถังกุ้งหวานกลับวิลล่า และหากระปุกสะอาดที่ว่างจากการทำไข่เป็ดเค็มมาเริ่มทำ

การทำสิ่งนี้ไม่ยาก หลังจากเขาล้างกุ้งจนสะอาดแล้วก็เอาไปใส่ไว้ในกะละมังเหล็ก จากนั้นก็ใส่เกลือลงไป

กุ้งหวานอุดมไปด้วยโปรตีนและไขมัน ทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องใส่เกลือจำนวนมาก โดยให้ใส่ประมาณห้าเปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวกุ้ง

คลุกเคล้าให้ทั่ว จากนั้นฉินสือโอวก็เรียกอีวิลสันที่กำลังเบื่อๆ อยู่เข้ามา แล้วให้เขาใช้ไม้กระบองตำกุ้งหวานให้ละเอียด

รอหลังจากที่มันเหนียวจนถึงที่สุด ฉินสือโอวก็ใส่ถั่วลิสงบด เมล็ดเอไนส์ พริกไทยเสฉวน อบเชย ซีอิ๊วขาวและน้ำมันงาจำนวนมากลงไป และให้อีวิลสันคนให้เข้ากันต่อ

ตำจนมันกลายเป็นน้ำจิ้มที่เหนียวข้นมากๆ ถึงจะถือว่าใช้ได้ ฉินสือโอวบรรจุกะปิลงในไห และใช้พลาสติกคลุมอาหารคลุมไว้อย่างมิดชิด จากนั้นก็เอาไปวางไว้ในห้องแล้วปัดมือและพูดขึ้น “โอเค ผ่านไปสักพักก็เอามากินได้แล้ว”

อีวิลสันลองเอามาแตะๆ ลิ้น และพูดขึ้น “ไม่เห็นอร่อยเลย โคตรเค็ม!”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เจ้าคนนี้ไม่ว่าจะอะไรก็ต้องลองชิมก่อน ถ้าคำว่า ‘ไม่อร่อย’ ได้หลุดออกมาจากปากเขาแล้วล่ะก็ ต้องเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากแน่ๆ

ก่อนหน้านั้น ฉินสือโอวแค่นึกว่าสำหรับอีวิลสันแล้ว มีแค่ของที่กินได้กับกินไม่ได้สองอย่างเท่านั้น ที่แท้เขาก็มีของที่ชอบกินกับไม่ชอบกินอยู่ด้วยนี่เอง

แต่ฉินสือโอวไม่เชื่อในจุดจุดนี้ เขาเลยพูดขึ้น “สิ่งนี้มันไม่ได้ให้กินเลย มันเอาไว้ทำกับข้าว รอดูนะอีวิลสัน ฉันจะใช้มันทอดซี่โครงหมู รสชาติอร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะ”

พอได้ฟังเขาพูดแล้ว อีวิลสันก็มองไปยังไหอย่างรอคอย และพูดว่า “วันนี้กินได้เลยไหม?”

“ไม่ได้สิ” ฉินสือโอวหัวเราะ “อันนี้มันต้องใช้เวลาหมักนะ”

“แล้วพรุ่งนี้กินได้หรือยัง?”

“ก็ยังไม่ได้อยู่ดี ต้องรอประมาณสิบกว่าวันนู้น”

อีวิลสันถอนหายใจอย่างผิดหวัง แล้วถามว่า “แล้วเย็นนี้กินอะไรล่ะ?”

………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท