ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1284 เกือบได้ขึ้นโรงพักแล้ว

บทที่ 1284 เกือบได้ขึ้นโรงพักแล้ว

เมื่อเห็นพนักงานของกรมสรรพากร เหมาเหว่ยหลงก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยและพูด “แย่แล้ว คู่สามีภรรยาพอลลี่กำลังมีปัญหา แกรออยู่นี่ไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวฉันไปจัดการเรื่องนี้ก่อน ฉันต้องช่วยครอบครัวพอลลี่”

หลังจากลงจากรถ ตำรวจพวกนี้ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มหลักคอยล้อมร้านขายเนื้อนี้ไว้ ส่วนอีกสองคนก็เดินตรงเข้ามาที่รถของเหมาเหว่ยหลง และเคาะกระจกรถเพื่อจะบอกให้คนบนรถลงมา

เหมาเหว่ยหลง ลงมาจากรถและถาม “มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ?”

ชายที่สวมเสื้อไออาร์เอสมองเขาและเอ่ยถาม “ฟาร์มเลี้ยงสัตว์นี้ตั้งแผงลอยขายเนื้อมานานแค่ไหนแล้ว?”

เหมาเหว่ยหลงตอบ “แผงลอยขายเนื้อเหรอครับ? ตั้งแผงลอยขายเนื้ออะไร? ไม่ใช่ละ ผมว่าพวกคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ พวกเขาไม่ได้ทำธุรกิจอะไรนะ ไม่ได้ขายเนื้อด้วย”

ชายคนนั้นยิ้มเย็นชาและพูด “โอ้? เพื่อน นี่คุณคิดว่าผมตาบอดเหรอ? ถ้าไม่ได้ขายเนื้ออยู่ งั้นก็จัดปาร์ตี้กันอยู่หรือไง?”

เหมาเหว่ยหลงพยักหน้าและพูด “ใช่แล้วครับ พี่ผมมาจากเมืองเซนส์จอห์นเลยแวะมาเล่นกันน่ะ” เขาชี้ไปที่ฉินสือโอว “ผมกำลังจะเตรียมจัดปาร์ตี้กัน แล้วครอบครัวพอลลี่ก็บอกว่าพวกเขาจะให้เนื้อแพะและวัวกับผม ดังนั้นพวกเราจึงมาที่นี่กัน”

ฉินสือโอยักไหล่และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและแสดงการจองตั๋วเครื่องบินให้ตำรวจดูเพื่อยืนยันสิ่งที่เหมาเหว่ยหลงพูดเป็นความจริง

ชายคนนั้นมองนิ่งและปัดโทรศัพท์มือถือออก แล้วโวยวายกับเหมาเหว่ยหลง “แม่งอย่ามาพูดไร้สาระกับฉัน! คุณก็รู้ดีนี่ว่าครอบครัวนี้กำลังหนีภาษีอยู่ ซึ่งมันผิดกฎหมาย! คุณแน่ใจไหมว่าคุณจะปกป้องพวกเขาน่ะ?”

เหมาเหว่ยหลงพูดเสียงนิ่งลง “พวกเขาจะหนีภาษีหรือไม่ผมก็ไม่รู้หรอกนะ ผมไม่ใช่กรมสรรพากร แต่ที่ผมพูดทั้งหมดนั้นเป็นความจริง ผมต้องการจัดปาร์ตี้แล้วมาหาเขาที่นี่เพื่อมาเอาเนื้อเท่านั้น”

พูดไปเหมาเหว่ยหลงก็ตะโกนไปหาครอบครัวพอลลี่ว่า “เฮ้ย พวก นายไปก่อเรื่องยุ่งยากอะไรมาหรือเปล่า? เอาเนื้อมาให้ฉันสักทีสิ ฉันต้องกลับไปจัดปาร์ตี้ต่อนะ มีหลายคนรออยู่ ฉันไม่อยากมาเสียเวลาอยู่นี่ทั้งวันหรอกนะ”

เมื่อเหตุการณ์มาถึงตรงนี้ฉินสือโอวก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น ครอบครัวพอลลี่กำลังขายเนื้อที่หน้าประตูโดยไม่เสียภาษี และกรมสรรพากรคอยจับตามองพวกเขาอยู่ วันนี้ก็เลยเข้ามาจับกุมในตอนที่พวกเขาอยู่ที่นี่พอดี

ที่ยุโรปและอเมริกา การจ่ายภาษีเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การหนีภาษีถ้าหากถูกจับได้ ไม่เพียงแค่โดนปรับเงินง่ายๆ แบบนั้น แต่อาจจะมีสิทธิ์ถูกจับเข้าคุกได้ ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อการทำธุรกิจในอนาคต และส่งผลต่อการดำเนินการทำบัตรเครดิต

มีคำพูดที่คนอเมริกามักพูดกันว่า “บนโลกใบนี้มีแต่ความตายกับการเสียภาษีเท่านั้นที่จะคงอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์” และคำพูดนี้ก็ถูกนำมาใช้ที่แคนาดาด้วยเช่นกัน

ที่แคนาดาแทบไม่มีใครเกรงกลัวรัฐบาลหรือตำรวจเลย ประชากรในประเทศนี้มีจำนวนมากเป็นอันดับแรกของทั่วโลก ในตอนที่รัฐบาลและตำรวจปฏิบัติตามหลักกฎหมายจึงต้องคอยระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะเป็นการเหยียบกับระเบิดอย่างเช่น การเหยียดสีผิวหรือการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ

แต่ไม่มีผู้ใดไม่เกรงกลัวกรมสรรพากรไออาร์เอส นอกจากพวกคนจนที่ไม่มีอะไรเลย ขอเพียงแค่มีเงินที่พอจ่ายภาษีขั้นต่ำก็จะต้องถูกตรวจสอบโดยไออาร์เอส

และในตอนที่ไออาร์เอสตรวจสอบภาษี พวกเขาจะไม่สนใจว่าคุณจะมาจากที่ไหน นับถืออะไร ถ้าแน่นอนว่าหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี งั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เพราะแค่หนึ่งคำก็ผิด!

หากต้องการให้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ไออาร์เอสก็คือระบบการปกครองของแคนาดา เหมือนการจัดการปัญหาเศรษฐกิจ เหมือนการบังคับให้ปฏิบัติตามหลักกฎหมาย เหมือนกับพนักงานกลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถและชาญฉลาด…

อย่าคิดว่าพนักงานของไออาร์เอสนั้นจะอ่อนเรื่องการบัญชี พวกเขาทำงานหลายหน่วยมาก ซึ่งในนั้นมีหน่วยตรวจสอบ ซึ่งจะสามารถตรวจสอบผู้ที่หนีภาษีและจัดการได้อย่างทันที โดยพนักงานทุกคนจะพกอาวุธ พกปืนและกุญแจมือ!

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ของรถคันนั้นก็ยึดมั่นในสิ่งถูกต้องเหมือนกับเหมาเหว่ยหลง และพอยืนยันว่าครอบครัวพอลลี่ไม่ได้ขายเนื้อ แต่สมองคนพวกนี้ไม่ค่อยฉลาดปราดเปรียวนัก คาดไม่ถึงว่าจะพูดว่าครอบครัวพอลลี่กำลังทำการบริจาคเนื้อให้แก่คนในเมือง

คนในหน่วยไออาร์เอสหน้าตาเต็มไปด้วยความรำคาญเบื่อหน่าย ฉินสือโอวยังคงพยักหน้าเออออตาม ไอ้พวกโง่เอ๊ย ได้เจอกับหลุมดำของกลุ่มแบบนี้ นับว่าเป็นโชคร้ายของครอบครัวพอลลี่

แต่ครอบครัวพอลลี่ก็ไม่กล้ายอมรับเรื่องที่พวกเขาขายเนื้ออยู่ เพราะฉินสือโอวคาดว่าพวกเขาก็คงไม่จ่ายภาษี และแน่นอนว่าการขายเนื้อนั้นไม่มีภาษีเนื่องจากราคาของเนื้อที่พวกเขาขายนั้นต่ำกว่าในตลาด คนในเมืองจึงชอบมาซื้อเนื้อที่นี่กัน

แต่ว่าเขาเคยถูกไออาร์เอสจับในข้อหาหนีภาษี ซึ่งมันสร้างความยากลำบากอย่างมากให้เขา อย่าพูดว่าเขาก็มีฟาร์มเป็นของตัวเอง ในความเป็นจริงแล้วเขานั้นไม่ได้ร่ำรวย ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มาขายเนื้อที่หน้าประตูบ้านแบบนี้หรอก

ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ฟาร์มทำเกษตรกรรม และฟาร์มเลี้ยงปลาของแคนาดานั้นล้วนต้องกู้เงินจากธนาคาร ถ้าครอบครัวพอลลี่ถูกไออาร์เอสกำหนดข้อหาว่าไม่จ่ายภาษีแล้วล่ะก็ หลังจากนี้มีหวังธนาคารคงไม่ยอมให้พวกเขากู้เงินอีกเป็นแน่

เพราะแบบนี้ทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มการถกเถียงกัน โดยคนของไออาร์เอสไม่ได้ลงมือ ครั้งนี้พวกเขาได้วางแผนเตรียมรับมือมาก่อน โดยร่วมมือกับตำรวจของเมืองในการจับกุมครอบครัวพอลลี่และเหมาเหว่ยหลงและคนอื่นๆ โดยตรง โดยกะว่าจะกลับไปที่สถานีตำรวจแล้วทำการบุกอย่างช้าๆ

ฉินสือโอไม่อยากจะเสียเวลาอยู่นี่นานนัก เขามาใช้เวลาพักผ่อนกับวินนี่ แต่แทบไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ถ้าหากเหมาเหว่ยหลงถูกลากเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ คงกินเวลากว่าสามวันห้าวัน ซึ่งจะทำให้การมาครั้งนี้ของเขาเปล่าประโยชน์

ดังนั้นฉินสือโอวจึงโทรหาเออร์บักเพื่อขอคำแนะนำว่าควรทำอย่างไรกับสถานการณ์ในขณะนี้ดี

เออร์บักจึงให้คำแนะนำกับเขาว่า “ข้อเสนอแรก รับประกันเลยว่านายจะไม่ถูกทำให้เข้าไปพัวพัน เพียงแค่นายเอาหลักฐานใบจ่ายภาษีให้ไออาร์เอสตรวจสอบ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาก็จะปล่อยเจ้าของฟาร์มนั้นไป”

ฉินสือโอวตอบรับ พอกำลังจะวางสาย เออร์บักก็พูดขึ้นมาอีก “แต่ต้องจำไว้ว่า ถ้าหากตรวจสอบแล้วคนพวกนี้ยังต้องการจับกุมเจ้าของฟาร์มอยู่ นายกับเหมาเหว่ยหลงก็หนีให้ห่างเลย!”

เขาเข้าใจในสิ่งที่เออร์บักต้องการจะสื่อ ฉินสือโอวลังเลครู่หนึ่ง เขากับเจ้าของฟาร์มก็ไม่ได้สนิทสนมหรือมีความเกี่ยวข้องกัน งั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ได้นี่นา?

แต่เขาเห็นว่าเหมาเหว่ยหลงดูเหมือนจะคอยแก้ต่างให้กับเจ้าของฟาร์มตลอด จึงสะกิดเขาและถามเสียงเบา “นายสนิทกับเขาเหรอ?”

เหมาเหว่ยหลงก็กระซิบตอบ “พอลลี่เป็นคนดี เขาคอยช่วยเหลือฉันหลายครั้ง ครั้งนี้พวกเขาลำบากฉันจะไม่ช่วยได้ยังไงล่ะ”

ได้ยินดังนั้น ฉินสือโอวจึงเดินไปหาหัวหน้าของกรมสรรพากรไออาร์เอส พร้อมกับบอกหมายเลขใบจ่ายภาษีของตัวเองให้เขา “พวก ผมไม่กล้ารับประกันเท่าไร แต่ผมอยากจะบอกว่าทุกครั้งที่ผมมาที่นี่เพื่อมาหาพวกพี่ชาย เขามักจะมาเอาเนื้อที่นี่เสมอ”

“แล้วได้จ่ายเงินไหม?” คนพวกนั้นถามอย่างไม่ใส่ใจนักพลางตรวจสอบหมายเลขไปด้วย

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “อย่าทำแบบนี้สิพวก คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าต้องใช้เงินเท่าไรในการซื้อเนื้อ?”

ชายคนนั้นกรอกหมายเลขลงบนคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็ปรากฏ ก่อนมองไปที่ฉินสือโอวอย่างประหลาดใจหลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจว่าภาพที่ปรากฏบนจอและคนตรงหน้าเป็นคนเดียวกัน และเขาก็ขมวดหัวคิ้วจนแทบเป็นปม

ฉินสือโอวรอดูปฏิกิริยาของเขา หลังจากนั้นประมาณสิบวินาที เขาก็โบกมือเพื่อเรียกลูกน้องให้กลับขึ้นรถ และหันไปพูดกับเจ้าของฟาร์มว่า “คราวนี้มันยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ดังนั้นพวกเราจะให้โอกาสอีกครั้ง แต่จำไว้ ครั้งหน้าคุณไม่โชคดีแบบนี้อีกแน่!”

แล้วรถตำรวจสองคันรีบเลี้ยวกลับออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าจะไปหาเรื่องใครต่อ

……………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท