ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1287 ในที่สุดก็วิ่งสักที

บทที่ 1287 ในที่สุดก็วิ่งสักที

หลังจากฉินสือโอวกับวินนี่ออกมา เหมาเหว่ยหลงก็พาพวกเขาไปทำความสะอาดโรงม้าต่อ ในเวลาเดียวกันก็ไปอาบน้ำแปรงขนให้ม้าดำฟรีดริชด้วย

แล้วฉินสือโอวก็หันไปพูดกับพอลลี่ “เฮ้ ผมไม่ต้องไปทำความสะอาดฟรีดริชต่อแล้วใช่ไหม? ก็วันนี้ผมคงไม่ได้ขี่มัน อีกอย่างตรงนั้นก็มีม้าอีกสองตัว พอสำหรับผมกับวินนี่แล้ว”

เหมาเหว่ยหลงจึงตอบกลับ “แกคิดให้ดีนะ ถ้าแกรับมือกับฟรีดริชได้ ต่อไปแกก็จะมีม้าคู่ใจขี่ได้ตลอด แต่ถ้าวันนี้แกขี่ม้าของพอลลี่ งั้นถ้าครั้งหน้าแกมาเล่นที่นี่อีก แกก็จะไปยืมม้าบ้านพอลลี่ทุกครั้งเลยงั้นเหรอ?”

“เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปทั้งชาติ โอเค แกพูดถูก” แล้วฉินสือโอวก็ยักไหล่และเดินไปในโรงม้ากับเหมาเหว่ยหลง

เมื่อวานเขาได้เรียนรู้วิธีการจัดการม้า การเรียนรู้ของฉินสือโอวนั้นยอดเยี่ยมมาก วันนี้เขาจัดการทำได้อย่างเรียบร้อยเป็นระเบียบแบบแผน และในตอนที่แปรงขนแผงคอให้ฟรีดริช เขายังใช้ฝ่ามือขยี้ขนคอมันอย่างแรง

เหมาเหว่ยหลงประหลาดใจเล็กน้อย จึงถามเขาว่า “แกเคยเรียนวิธีการปรนนิบัติม้ามาก่อนเหรอ?”

ฉินสือโอวตอบ “แกไม่รู้จักฉันรึไง? ฉันจะไปเรียนวิธีปรนนิบัติม้ามาจากที่ไหน?”

เหมาเหว่ยหลงจึงพูดเล่นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นพรสวรรค์แล้วล่ะ คาดไม่ถึงเลยว่าจะอุ่นร่างกายให้ม้าเป็นด้วย”

ฉินสือโอวที่เพิ่งใช้มือลูบขนแผงคอม้าด้วยแรงที่เสมอกันอย่างทั่วถึง นี่ก็เป็นวิธีที่ช่วยวอร์มร่างกายก่อน จริงๆ แล้วนี่เป็นวิธีสำหรับม้าแข่ง เป้าหมายคือเพื่อให้เลือดของมันไหลเวียนได้อย่างรวดเร็ว

วิธีพวกนี้แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดเอง แต่แค่มีโทรศัพท์มือถือ เขาแกว่งโทรศัพท์มือถือไปมา เมื่อคืนเขาโหลดแอปพลิเคชันอันหนึ่งเอาไว้ เป็นแอปพลิเคชันที่แนะนำและสอนโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องการขี่ม้า

ฟรีดริชถูกเขาปรนนิบัติอย่างสบายแล้ว ด้านหลังก็ต้องทำแบบเดียวกันฉินสือโอวเดินลากบังเหียนม้าอยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็นฟรีดริชที่ส่งเสียงร้องออกมาทางจมูกพอฉินสือโอวหยุดเดิน มันก็เอาหน้ามาดันหลังเขา

เหมาเหว่ยหลงยิ้ม “นั่งไง ฉันบอกแล้วว่าม้าฉลาดกว่าหมา ครั้งนี้แกเชื่อหรือยังล่ะ?”

ฉินสือโอวเบะปากแล้วหันกลับมาพูดกับฟรีดริชว่า “นั่งลง! กลิ้ง! ขอมือ! ลาก่อน!”

ม้าดำมองมาที่เขาอย่างงงๆ ใบหน้าของมันไม่มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย

ฉินสือโอวจึงพูดกับเหมาเหว่ยหลงว่า “ครั้งหน้าถ้าแกไปหาฉัน ฉันจะให้หู่จือเป้าจือแสดงท่าทางพวกนี้ให้แกดูสักหน่อย พวกมันชำนาญมาก มองแล้วเบิกบานหัวใจสุดๆ”

เหมาเหว่ยหลงยิ้มออกมาแล้วทำได้แค่พูดว่า “เรื่องของแก เอาจริงเอาจังกันจริงว่ะๆ!”

ต่อไปก็ต้องขี่ม้าแล้ว เหมาเหว่ยหลงเอาบังเหียนมาใส่ให้กับฟรีดริช หลังจากนั้นก็จัดให้รู้สึกมั่นคงมากขึ้น แล้วเขาก็พยักหน้าและพูดว่า “อืม แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ใช่ไหมพอลลี่?”

จากนั้นพอฉินสือโอวกำลังจะพลิกตัวขึ้นบนม้า เหมาเหว่ยหลงก็ถามขึ้นจนทำให้เขาตกใจ “ซวยล่ะ แกยังไม่ใส่บังเหียนให้ม้าหรอกเหรอวะ?”

บังเหียนม้าก็คือที่บังคับม้าของจีน เป็นอุปกรณ์หลักสำหรับคนขี่ม้า ก็เหมือนกับพวงมาลัยและเกียร์ของรถยนต์ ดังนั้นบังเหียนสำหรับม้าจึงถือว่าสำคัญมาก

ซึ่งฉินสือโอวจำเป็นต้องเข้าใจวิธีใช้มัน ก็เหมือนกับตอนขับรถแต่ยังติดตั้งพวงมาลัยไม่เสร็จดี ก่อนขับรถก็จะยังไม่มีอะไร แต่พอรถออกตัวเร่งความเร็ว สุดท้ายพอออกแรงพวงมาลัยก็หลุดออกมา ในตอนนั้นก็คงทำได้แค่สวดภาวนาต่อพระเจ้าให้ลงมาช่วยชีวิตเขา

พอลลี่ยิ้มแล้วเดินเข้ามาช่วยจัดการ ฉินสือโอวจึงลากเหมาเหว่ยหลงมาคุยด้วย “แกล้อเล่นอะไร แกทำไม่เป็นเหรอวะ?”

เหมาเว่ยหลงพูดอย่างคนไร้ความผิด “ก็ปกติฉันไม่ขี่ม้านี่น่า อีกอย่างใส่บังเหียนมันก็ยุ่งยากออกขนาดนั้น แกว่าฉันจะทำมันเป็นได้ยังไงล่ะ?”

พอลลี่เป็นคนดีอย่างที่สุด เขาช่วยเอาอานม้ามาติดตั้งให้เรียบร้อย ฉินสือโอวถือโอกาสนี้นับถือเขาเป็นอาจารย์ คอยชี้แนะวิธีขี่ม้าให้เขา ชัดเจนเลยว่าเหมาเหว่ยหลงคือคนไร้ประโยชน์ไปเลยจริงๆ

ไม่แปลกใจเลยที่เหมาเหว่ยหลงถึงช่วยพอลลี่ เขาเป็นคนจริงใจคนหนึ่งเลย ในตอนที่ช่วยสอนฉินสือโอวก็สอนด้วยใจ และยังสาธิตท่าทางให้เขาได้เรียนรู้ด้วย

วินนี่หัวเราะอยู่ด้านข้าง ฉินสือโอวเลยถามขึ้น “คุณขี่เป็นหรือยัง? ให้อาจารย์พอลลี่สอนอีกสักครั้งไหม”

วินนี่พูดยิ้มๆ “ก็ไม่เชิงค่ะ ฉันแค่ขี่เร็วๆ ไม่ค่อยได้ แต่ก่อนก็เคยเรียนมาบ้าง คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรนะคะ”

ฉินสือโอวเลยพูดอย่างเป็นห่วงว่า “งั้นเดี๋ยวผมลองก่อน คุณรอดูว่าถ้าไม่มีปัญหาอะไรค่อยขี่มันแล้วกันนะ”

พูดจบ เขาก็เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบไปบนโกลนม้าอย่างมั่นคง สองมือตบลงบนหลังม้าฟรีดริชอย่างแรง เพื่ออยากที่จะใช้ท่วงท่าที่สง่างามผ่าเผยเหมือนนกนางแอ่นขึ้นขี่ม้า

สุดท้ายตอนที่เขากำลังจะกระโดดขึ้นมา ฟรีดริชก็ออกแรงวิ่งอย่างรวดเร็วไปด้านหน้าสองสามก้าวในทันที!

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกน่าเวทนามาก เขายังไม่ทันขึ้นขี่ม้าเลย และตอนนั้นเท้าของเขาก็เหยียบอยู่ในโกลนม้าแน่นมาก แล้วในตอนนั้นก็ดึงเท้าออกมาไม่ได้ด้วย มองดูแล้วอันตรายมาก ถ้าหากเขาจับไว้ไม่แน่นพอก็จะถูกม้าลากไปตามทางได้เลย

แบบนี้เท้าของฉินสือโอวจึงถูกตรึงไว้ในโกลนม้า ถ้าแค่ข้อเท้าหักนี่ก็ถือว่าเบาแล้ว!

โชคดีที่ฉินสือโอวถูกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนปรับเปลี่ยนให้สมรรถภาพทางกายดีขึ้น ความยืดหยุ่นและการตอบสนองของเขานั้นแข็งแกร่งมาก ฟรีดริชที่วิ่งตรงไปข้างหน้า เอวของเขาแข็งราวกับรากต้นไม้เก่า สองมือของเขายึดบังเหียนม้าไว้อย่างมั่นคง เท้าซ้ายติดอยู่ในโกลน เท้าขวาวางแนบไปกับท้องม้า…

ฟรีดริชวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุด ฉินสือโอวเกาะอยู่ด้านข้างตัวม้าเหมือนกับจิ้งจกตุ๊กแก คนอื่นๆ เห็นก็ล้วนแต่อ้าปากค้าง

“เฮ้ย ฉินโซ่ว ทักษะกังฟูแกนี่สุดยอดจริงๆ เลยว่ะ” เหมาเหว่ยหลงอุทานอย่างตกตะลึงออกมา “ปกติเวลาไม่มีอะไรทำแกแอบฝึกโยคะอยู่ฟาร์มปลาหรือว่ายังไงกันวะ?”

ฉินสือโอวเหงื่อท่วมตัว เขาจ้องเหมาเหว่ยหลงด้วยความโกรธแค้น แล้วพูด “หยุดพล่ามซะทีไอ้บ้าเอ๊ย ไหนแกบอกว่าม้าถูกฝึกมาอย่างดีแล้วไม่ใช่เหรอวะ? แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

พอลลี่จึงพูดอย่างเป็นกลางขึ้นมา “มันไม่เกี่ยวอะไรกับม้าหรอกนะ ฉิน เมื่อกี้นี้ทำไมคุณถึงตบที่อานม้าแรงอย่างนั้นล่ะ? ในตอนที่ฝึกซ้อม นี่มันเป็นการทำให้ม้าเพิ่มความเร็วไม่ใช่เหรอ แต่โชคยังดีนะที่ฟรีดริชได้รับการฝึกมาก่อน ถ้าทำรุนแรงกับม้าแบบนั้นก็จะทำให้มันตกใจ มันจะไม่ใช่แค่วิ่งไม่กี่ก้าวแบบนั้นน่ะ!”

ฉินสือโอวยิ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอลลี่ช่วยเขาลงมาจากฟรีดริช และแนะนำให้เขาขึ้นขี่ม้าด้วยท่าทางที่อ่อนโยน “ให้ม้ารับรู้ถึงคุณ หลังจากนั้นทั้งสองก็จะรวมเข้าด้วยกัน นี่ถึงจะเป็นเทคนิคการขี่ม้าอย่างแท้จริง!”

วินนี่พูดเสริม “แล้วก็ที่รัก อย่าเหยียบโกลนม้าด้วยเท้าสองข้างสิคะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุแบบกะทันหันก็จะได้กระโดดออกมาได้ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกม้าหนีบเท้าไว้อย่างน่าเวทนา”

ฉินสือโอวลองยื่นเท้าไปเหยียบบนโกลนม้า พอลลี่แสดงวิธีควบคุมม้าโดยใช้บังเหียนม้าให้เขา แต่ว่าดูคนอื่นควบคุมกับตัวเองควบคุมเองมันไม่เหมือนกัน ฉินสะบัดบังเหียนม้าไปมา ฟรีดริชไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ยังคงใจจดใจจ่ออยู่กับการพ่นลมออกมาทางจมูก

“แม่งเอ๊ย โคตรโง่เลย” ฉินสือโอวถอนหายใจอย่างน่าเสียดาย เทียบกับเจ้าพวกนั้นไม่ได้เอาซะเลย ก็เหมือนความแตกต่างของเครื่องซักผ้ารุ่นเก่ากับเครื่องซักผ้าแบบหมุนรุ่นใหม่ล่ะนะ

ไม่ว่าเขาจะลองอีกกี่ครั้ง ฟรีดริชก็ไม่ขยับเลย ฉินสือโอวร้อนใจ จึงสะบัดบังเหียนม้าพลางร้องตะโกน “ไป!”

ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ฟรีดริชที่งง พอลลี่เองก็งงไปด้วย เขาถามเหมาเหว่ยหลงด้วยความงงงัน “เมื่อกี้นี้ฉินตะโกนอะไรเหรอ?”

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะจนตัวงอ เขาอธิบายให้กับพอลลี่ พอลลี่มีสีหน้าเงิบไปหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ฉิน ฟรีดริชไม่เคยเรียนภาษาจีน ฉันว่ามันน่าจะฟังคำสั่งนายไม่ออกนะ”

ในตอนนั้นมีม้าหนึ่งตัววิ่งมาอย่างนุ่มนวลดังสายลม ฟรีดริชค่อนข้างตกใจจึงก้าวถอยหลังอยู่กับที่ แต่พอฉินสือโอวใช้บังเหียนบังคับได้ ม้าดำก็ก้าวตามไปทีละก้าวเล็กๆ โดยทันที

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท