ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1282 ร้านขายอุปกรณ์ขี่ม้า

บทที่ 1282 ร้านขายอุปกรณ์ขี่ม้า

ฉินสือโอวไม่เคยขี่ม้ามาก่อน ที่ประเทศบ้านเกิดของเขา การขี่ม้าถือเป็นกิจกรรมสำหรับผู้ดีตระกูลสูงศักดิ์ หลังจากที่เขาย้ายมาอยู่ที่แคนาดาก็อาศัยอยู่ที่เกาะแฟร์เวล ยิ่งไปกว่านั้นบนเกาะก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตประเภทม้าเลยสักตัว

ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นกับลานม้าของเหมาเหว่ยหลงอย่างมาก หลังจากที่มาถึงเขาก็ทักทายหลิวซูเหยียนที่กำลังตั้งท้อง พูดคุยกันอยู่ไม่กี่ประโยค ก็รบเร้าเหมาเหว่ยหลงให้พาไปดูม้า

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะ “อย่าตั้งความหวังไว้สูงเกินล่ะ มันก็แค่ม้าอเมริกันควอเตอร์ธรรมดาๆ ไม่ใช่ม้าสายพันธุ์แท้อะไรแบบนั้น และฉันก็ไม่มีแรงจะทำความสะอาดพวกมัน เพราะงั้นอาจจะไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่นะ”

ฉินสือโอวโบกมือและพูด “พี่ชายก็แค่อยากลองอะไรใหม่ๆ วางใจได้เลย ฉันไม่ได้ตั้งความหวังอะไรขนาดนั้น ฉันรู้แค่ว่าฉันจะมาขี่ม้า ไม่ใช่มาขี่เสือ”

ทั้งคู่พูดคุยหัวเราะกันไปและเดินลัดฟาร์มไปยังโรงม้า ในนั้นเลี้ยงม้าไว้สี่ตัว ฉินสือโอวเดินเข้าไปพินิจพิเคราะห์พวกมันใกล้ๆ เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับประเภทของม้าเลย เหมาเหว่ยหลงจึงแนะนำให้เขาฟังว่า ม้าพวกนี้คือม้าอเมริกันควอเตอร์

โดยในม้าสี่ตัวแบ่งเป็นม้าโตสองตัวและม้าเล็กอีกสองตัว โดยตัวโตจะมีสีดำและน้ำตาล ส่วนตัวเล็กจะมีสีขาวแดง ซึ่งสีของม้าทั้งสี่ตัวนั้นแตกต่างกันออกไป พวกมันไม่ได้มีสีเดียวแบบเพียวๆ สีขนของมันค่อนข้างดูผสมปนเปกัน

ม้าตัวใหญ่สองตัวมีขนาดตัวที่ใหญ่พอๆ กัน ระดับความสูงของไหล่ฉินสือโอวกับม้าต่างกันไม่มาก พวกมันดูแข็งแรงดีมาก กล้ามเนื้อแน่น ยืนอยู่ในโรงม้าอย่างว่านอนสอนง่ายพร้อมดวงตากลมโตที่เปล่งแสงแวววับอย่างซื่อสัตย์ พอฉินสือโอวเข้าไปใกล้ มันก็ค่อยๆ ยื่นจมูกเข้ามาดม

ฉินสือโอวยื่นมือออกไปลูบหัวม้าตัวสีดำ ม้าตัวนั้นทำท่าทางต่อต้านและถอยไปด้านหลัง เหมาเหว่ยหลงจึงสอนเขา “อย่าเอามือไปจับหัวม้าตรงๆ แบบนั้นสิ นายต้องจับที่คอมันก่อน เพื่อให้มันได้คุ้นเคยกับกลิ่นของนายและยอมรับนาย”

ฉินสือโอวจึงยื่นมือไปสัมผัสที่คอมันอย่างระมัดระวัง ในช่วงแรกมันยังทำท่าทางขัดขืนเล็กน้อย แต่เมื่อเขาลูบขนที่คอมันอย่างแผ่วเบา จนม้าสีดำรู้สึกสบายใจและค่อยๆ หยุดต่อต้านการลูบคลำของเขา

หลังจากผ่านไปสักครู่ฉินสือโอวก็ยื่นมือไปลูบหัวของมัน ม้าดำก้มหัวลงต่ำอย่างซื่อสัตย์ ด้วยท่าทางเชื่องๆ

พอเห็นแบบนั้นฉินสือโอวก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก และถามขึ้น “แล้วตอนนี้ขี่ม้าได้แล้วหรือยัง?”

เหมาเหว่ยหลงกลอกตาแล้วตอบกลับ “รีบอะไรขนาดนั้น ม้าพวกนี้น่ะเป็นม้าเลี้ยงสัตว์ ก่อนหน้านี้ที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ คาวบอยจะขี่พวกมันเพื่อไล่ต้อนวัวและแพะเข้าคอก พวกมันถูกทำให้เชื่อง ว่านอนสอนง่าย ไม่ทำร้ายผู้คนง่ายๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมถูกคนขี่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน”

ฉินสือโอวกลอกตาแล้วพูด “งั้นไม่ใช่ว่าฉันจะต้องดูแลมันสักปีครึ่งเลยเหรอ? การจะขี่ม้าทำไมมันลำบากขนาดนี้เนี่ย?”

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะขึ้นมา “ไม่จำเป็นหรอก วันนี้แกก็ทำความรู้จักกับมันให้คุ้นชินไปก่อน ม้าตัวนี้ชื่อฟรีดริช อายุมันก็เกือบจะสิบปีแล้ว มันเป็นม้าที่ฉลาดมาก งั้นเย็นนี้กับพรุ่งนี้เช้าแกก็ช่วยทำความสะอาดมันก่อน ก็ขึ้นขี่มันได้แล้ว”

ฉินสือโอวพยักหน้า และบ่นพึมพำว่ามันช่างยุ่งยากเสียจริง

และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เขาพูดไม่มีผิด มันยุ่งยากจริงๆ จะขี่ม้าก็ยังต้องมีอุปกรณ์อีก เหมาเหว่ยหลงไม่ได้จัดเตรียมรองเท้าและชุดขี่ม้าไว้ให้เขาและวินนี่ พวกเขาสวมชุดลำลองสำหรับฤดูร้อนมา ซึ่งไม่เหมาะกับการขี่ม้าเอาเสียเลย ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องออกไปซื้อ

โชคดีที่ในเมืองมีร้านขายอุปกรณ์ขี่ม้า เหมาเหว่ยหลงจึงขับรถพามั้งสองคนไปที่นั่น ฉินสือโอวมองทางด้วยความสนใจ เขารู้สึกว่าบรรยากาศของที่นี่ค่อนข้างแตกต่างจากเกาะแฟร์เวลอย่างเห็นได้ชัด บนถนนมีรถยนต์และคนน้อยมาก นานๆ ครั้งถึงจะเห็นรถยนต์หนึ่งคัน และคนที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตะลอนๆ ก็เหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา

ห้องของหมู่บ้านชนบทแคนาดามักจะมีสไตล์แบบใหญ่ๆ ซึ่งนี่ก็มีความเกี่ยวข้องกับสภาพลักษณะของประเทศ และที่ดินของหมู่บ้านในชนบทก็ถูกมาก ส่วนร้านขายอุปกรณ์ขี่ม้านี้เมื่อมองจากด้านนอกแล้วจะมีขนาดเท่าซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดกลาง แต่เมื่อเข้ามาด้านใน กลับพบว่าภายในมีของไม่เยอะ

ซึ่งเจ้าของร้านเป็นชายผิวดำอายุราวสี่สิบปี สวมหมวกคาวบอย ถือขวดเบียร์นั่งดูการแข่งขันอะไรสักอย่างอยู่บนเคาน์เตอร์ พอมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เขาไม่แม้แต่จะกล่าวต้อนรับลูกค้า แค่พูดส่งๆ ไปว่า “สายบังเหียนไปทางซ้าย บู๊ตขี่ม้าอยู่ทางขวา จ่ายเงินมาที่ฉัน”

เหมาเหว่ยหลงให้ฉินสือโอวและวินนี่ไปดูของด้วยตัวเอง ส่วนเขาเดินไปที่เคาน์เตอร์ “ไง คาร์ริล ฉันเอง นายกำลังทำอะไรอยู่?”

ชายผิวดำเงยหน้าขึ้นมองเหมาเหว่ยหลงและหัวเราะออกมา แล้วยื่นกำปั้นมาชนกับเขา “อะอ้าว ไอ้น้องชายคนจีนเองหรอกเหรอ? ม้าสี่ตัวของนายเป็นไงบ้าง? มันไม่กลัวคนแปลกหน้าแล้วเหรอ? ครั้งนี้มาเลือกซื้ออะไรล่ะ? แต่ฉันคงไปเป็นเพื่อนไม่ได้หรอกนะ นายก็เห็น ทีมรักชาติกับทีมเหยี่ยวแดงกำลังสู้กันอย่างดุเดือดเลย ฉันไปไหนไม่ได้หรอก”

ชายผิวดำคนนี้พูดเร็วมาก เหมือนกำลังร้องแร็ปอยู่อย่างไรอย่างงั้น ฉินสือโอวเดาว่าเหมาเหว่ยหลงคงไม่เข้าใจที่ชายคนนั้นพูดเพราะเขาก็ฟังได้แค่คร่าวๆ…

ฉินสือโอวไม่จำเป็นต้องซื้อสายบังเหียน เพราะที่ฟาร์มมีอยู่ เขาเลือกซื้อชุดคาวบอย หมวกคาวบอย รองเท้าบู๊ตและตะปูที่ติดอยู่ที่ส้นรองเท้าบูตอย่างละชุดซึ่งแค่นี้ก็พอแล้ว

กางเกงยีนที่ขายที่ร้านนี้มีทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก แต่เป็นแบบเดียวกันหมด เป็นยีนธรรมดาทั่วๆ ไปที่ไม่ได้ประดับตกแต่งเพิ่มเติมอะไรแม้แต่น้อย ฉินสือโอวลองจับดูก็รู้สึกว่ามันดูแข็งแรงและหนาดี มันถูกผลิตขึ้นสำหรับคาวบอยและสำหรับเกษตรกรที่ต้องทำงานในฟาร์ม

ซึ่งชุดประเภทนี้จะค่อนข้างราคาถูก ฉินสือโอวมองดูราคาก็พบว่าแค่เพียงไม่กี่สิบดอลลาร์แคนาดา เขาและวินนี่จึงเลือกมาคนละชุด

ส่วนหมวกคาวบอย เข็มขัด และรองเท้าบู๊ตมีหลายรูปแบบมาก เข็มขัดจะมีตั้งแต่เป็นรูปตัวยูธรรมดาไปจนถึงประดับด้วยทองที่ดูหรูหรา แม้แต่เข็มขัดลายผีเสื้อก็มี

หมวกคาวบอยก็เช่นเดียวกัน ฉินสือโอวเลือกหมวกคาวบอยใบเล็ก สีฟ้ามีแถบขาวด้านข้างสวมบนหัวให้ลูกสาวของเขา พอเขามองดูและก็รู้สึกว่าอยากเปลี่ยนให้ลองอีกใบ

แต่เสี่ยวเถียนกวาก็ดูจะถูกใจไม่น้อย มือเล็กๆ จับหมวกไว้แน่นไม่ยอมให้เขาถอดออก

วินนี่หัวเราะ “เอาล่ะ งั้นก็ซื้อใบนี้ให้เธอ ลูกสาวของเราอาจเป็นคาวบอยสาวในอนาคตก็ได้นะคะ”

ส่วนฉินสือโอวเลือกหมวกสีน้ำตาลหนึ่งใบ เข็มขัดและรองเท้าบูตยาวหนึ่งคู่ที่เหมือนทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สองให้ตัวเอง

วินนี่หัวเราะและส่ายหัวไปมา พลางจับรองเท้าบูตยาววางลงและเปลี่ยนเป็นบูตสั้นให้เขาแทน พร้อมกับอธิบายว่า “จะใส่บูตยาวท่ามกลางอากาศแบบนี้น่ะเหรอ? ฉันพนันได้เลย เพียงแค่คุณอยู่ด้านนอกทั้งวัน จะต้องมีกลิ่นอับแน่ๆ”

ฉินสือโอวรู้สึกชอบรองเท้าบู๊ตยาวคู่นั้น เขาหยิบมันขึ้นมาใหม่แล้วพูดว่า “อย่าทำแบบนี้สิที่รัก ผมจะเอาคู่นี้แหละ คุณไม่คิดว่ามันเท่ดีเหรอ?”

และชายผิวดำที่อยู่เคาน์เตอร์ก็มองรองเท้าบู๊ตในมือเขาแล้วพูดออกมา “พ่อหนุ่ม นายตาถึงมาก รองเท้าคู่นั้นน่ะเป็นสมบัติของร้านฉันเลยนะ เป็นรองเท้าคู่สุดท้ายที่ทำโดยตาเฒ่าไวท์ เป็นของที่ทำด้วยมือ นอกจากร้านของฉันแล้ว อย่าคิดว่าจะได้เห็นมันที่ไหนอีก”

เหมาเหว่ยหลงเดินมาและพูดว่า “ตาเฒ่าไวท์คือช่างทำรองเท้าหนังที่เก่งที่สุดในเมืองของเรา ภายในหนึ่งปีเขาสามารถผลิตรองเท้าได้หนึ่งร้อยคู่ แต่ปีที่ผ่านมาขายออกไปกว่าสองร้อยคู่ และทุกคนต่างก็จะบอกว่ารองเท้าบูตของพวกเขาคือรองเท้าที่ทำโดยตาเฒ่าไวท์”

ชายผิวดำหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “นายพูดถูกเพื่อน จริงๆ แล้วมีหลายคนที่ชอบพูดจาไร้สาระไปทั่ว แต่ฉันไม่ใช่ นายไม่สังเกตเหรอ ว่ารองเท้าคู่นั้นมันถูกฉันวางตรงจุดที่ดูสะดุดตาที่สุด? แสดงให้เห็นว่ามันเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของร้านฉันเลย! มีแต่คนมาขอซื้อมัน แต่ฉันจะขายให้แค่คนที่ถูกชะตาด้วยเท่านั้น!”

“นายจะบอกว่าเพื่อนของฉันเป็นคนที่นายถูกชะตา และรอมาตลอดเลยงั้นเหรอ?” เหมาเหว่ยหลงถามกลับ

ชายผิวดำทำท่านับธนบัตร แล้วหัวเราะและพูดขึ้น “ก็ขึ้นอยู่ที่ว่ากระเป๋าตังค์จะหนาขนาดไหน”

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท