ฉินสือโอวไม่เคยขี่ม้ามาก่อน ที่ประเทศบ้านเกิดของเขา การขี่ม้าถือเป็นกิจกรรมสำหรับผู้ดีตระกูลสูงศักดิ์ หลังจากที่เขาย้ายมาอยู่ที่แคนาดาก็อาศัยอยู่ที่เกาะแฟร์เวล ยิ่งไปกว่านั้นบนเกาะก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตประเภทม้าเลยสักตัว
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นกับลานม้าของเหมาเหว่ยหลงอย่างมาก หลังจากที่มาถึงเขาก็ทักทายหลิวซูเหยียนที่กำลังตั้งท้อง พูดคุยกันอยู่ไม่กี่ประโยค ก็รบเร้าเหมาเหว่ยหลงให้พาไปดูม้า
เหมาเหว่ยหลงหัวเราะ “อย่าตั้งความหวังไว้สูงเกินล่ะ มันก็แค่ม้าอเมริกันควอเตอร์ธรรมดาๆ ไม่ใช่ม้าสายพันธุ์แท้อะไรแบบนั้น และฉันก็ไม่มีแรงจะทำความสะอาดพวกมัน เพราะงั้นอาจจะไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่นะ”
ฉินสือโอวโบกมือและพูด “พี่ชายก็แค่อยากลองอะไรใหม่ๆ วางใจได้เลย ฉันไม่ได้ตั้งความหวังอะไรขนาดนั้น ฉันรู้แค่ว่าฉันจะมาขี่ม้า ไม่ใช่มาขี่เสือ”
ทั้งคู่พูดคุยหัวเราะกันไปและเดินลัดฟาร์มไปยังโรงม้า ในนั้นเลี้ยงม้าไว้สี่ตัว ฉินสือโอวเดินเข้าไปพินิจพิเคราะห์พวกมันใกล้ๆ เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับประเภทของม้าเลย เหมาเหว่ยหลงจึงแนะนำให้เขาฟังว่า ม้าพวกนี้คือม้าอเมริกันควอเตอร์
โดยในม้าสี่ตัวแบ่งเป็นม้าโตสองตัวและม้าเล็กอีกสองตัว โดยตัวโตจะมีสีดำและน้ำตาล ส่วนตัวเล็กจะมีสีขาวแดง ซึ่งสีของม้าทั้งสี่ตัวนั้นแตกต่างกันออกไป พวกมันไม่ได้มีสีเดียวแบบเพียวๆ สีขนของมันค่อนข้างดูผสมปนเปกัน
ม้าตัวใหญ่สองตัวมีขนาดตัวที่ใหญ่พอๆ กัน ระดับความสูงของไหล่ฉินสือโอวกับม้าต่างกันไม่มาก พวกมันดูแข็งแรงดีมาก กล้ามเนื้อแน่น ยืนอยู่ในโรงม้าอย่างว่านอนสอนง่ายพร้อมดวงตากลมโตที่เปล่งแสงแวววับอย่างซื่อสัตย์ พอฉินสือโอวเข้าไปใกล้ มันก็ค่อยๆ ยื่นจมูกเข้ามาดม
ฉินสือโอวยื่นมือออกไปลูบหัวม้าตัวสีดำ ม้าตัวนั้นทำท่าทางต่อต้านและถอยไปด้านหลัง เหมาเหว่ยหลงจึงสอนเขา “อย่าเอามือไปจับหัวม้าตรงๆ แบบนั้นสิ นายต้องจับที่คอมันก่อน เพื่อให้มันได้คุ้นเคยกับกลิ่นของนายและยอมรับนาย”
ฉินสือโอวจึงยื่นมือไปสัมผัสที่คอมันอย่างระมัดระวัง ในช่วงแรกมันยังทำท่าทางขัดขืนเล็กน้อย แต่เมื่อเขาลูบขนที่คอมันอย่างแผ่วเบา จนม้าสีดำรู้สึกสบายใจและค่อยๆ หยุดต่อต้านการลูบคลำของเขา
หลังจากผ่านไปสักครู่ฉินสือโอวก็ยื่นมือไปลูบหัวของมัน ม้าดำก้มหัวลงต่ำอย่างซื่อสัตย์ ด้วยท่าทางเชื่องๆ
พอเห็นแบบนั้นฉินสือโอวก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก และถามขึ้น “แล้วตอนนี้ขี่ม้าได้แล้วหรือยัง?”
เหมาเหว่ยหลงกลอกตาแล้วตอบกลับ “รีบอะไรขนาดนั้น ม้าพวกนี้น่ะเป็นม้าเลี้ยงสัตว์ ก่อนหน้านี้ที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ คาวบอยจะขี่พวกมันเพื่อไล่ต้อนวัวและแพะเข้าคอก พวกมันถูกทำให้เชื่อง ว่านอนสอนง่าย ไม่ทำร้ายผู้คนง่ายๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมถูกคนขี่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน”
ฉินสือโอวกลอกตาแล้วพูด “งั้นไม่ใช่ว่าฉันจะต้องดูแลมันสักปีครึ่งเลยเหรอ? การจะขี่ม้าทำไมมันลำบากขนาดนี้เนี่ย?”
เหมาเหว่ยหลงหัวเราะขึ้นมา “ไม่จำเป็นหรอก วันนี้แกก็ทำความรู้จักกับมันให้คุ้นชินไปก่อน ม้าตัวนี้ชื่อฟรีดริช อายุมันก็เกือบจะสิบปีแล้ว มันเป็นม้าที่ฉลาดมาก งั้นเย็นนี้กับพรุ่งนี้เช้าแกก็ช่วยทำความสะอาดมันก่อน ก็ขึ้นขี่มันได้แล้ว”
ฉินสือโอวพยักหน้า และบ่นพึมพำว่ามันช่างยุ่งยากเสียจริง
และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เขาพูดไม่มีผิด มันยุ่งยากจริงๆ จะขี่ม้าก็ยังต้องมีอุปกรณ์อีก เหมาเหว่ยหลงไม่ได้จัดเตรียมรองเท้าและชุดขี่ม้าไว้ให้เขาและวินนี่ พวกเขาสวมชุดลำลองสำหรับฤดูร้อนมา ซึ่งไม่เหมาะกับการขี่ม้าเอาเสียเลย ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องออกไปซื้อ
โชคดีที่ในเมืองมีร้านขายอุปกรณ์ขี่ม้า เหมาเหว่ยหลงจึงขับรถพามั้งสองคนไปที่นั่น ฉินสือโอวมองทางด้วยความสนใจ เขารู้สึกว่าบรรยากาศของที่นี่ค่อนข้างแตกต่างจากเกาะแฟร์เวลอย่างเห็นได้ชัด บนถนนมีรถยนต์และคนน้อยมาก นานๆ ครั้งถึงจะเห็นรถยนต์หนึ่งคัน และคนที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตะลอนๆ ก็เหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา
ห้องของหมู่บ้านชนบทแคนาดามักจะมีสไตล์แบบใหญ่ๆ ซึ่งนี่ก็มีความเกี่ยวข้องกับสภาพลักษณะของประเทศ และที่ดินของหมู่บ้านในชนบทก็ถูกมาก ส่วนร้านขายอุปกรณ์ขี่ม้านี้เมื่อมองจากด้านนอกแล้วจะมีขนาดเท่าซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดกลาง แต่เมื่อเข้ามาด้านใน กลับพบว่าภายในมีของไม่เยอะ
ซึ่งเจ้าของร้านเป็นชายผิวดำอายุราวสี่สิบปี สวมหมวกคาวบอย ถือขวดเบียร์นั่งดูการแข่งขันอะไรสักอย่างอยู่บนเคาน์เตอร์ พอมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เขาไม่แม้แต่จะกล่าวต้อนรับลูกค้า แค่พูดส่งๆ ไปว่า “สายบังเหียนไปทางซ้าย บู๊ตขี่ม้าอยู่ทางขวา จ่ายเงินมาที่ฉัน”
เหมาเหว่ยหลงให้ฉินสือโอวและวินนี่ไปดูของด้วยตัวเอง ส่วนเขาเดินไปที่เคาน์เตอร์ “ไง คาร์ริล ฉันเอง นายกำลังทำอะไรอยู่?”
ชายผิวดำเงยหน้าขึ้นมองเหมาเหว่ยหลงและหัวเราะออกมา แล้วยื่นกำปั้นมาชนกับเขา “อะอ้าว ไอ้น้องชายคนจีนเองหรอกเหรอ? ม้าสี่ตัวของนายเป็นไงบ้าง? มันไม่กลัวคนแปลกหน้าแล้วเหรอ? ครั้งนี้มาเลือกซื้ออะไรล่ะ? แต่ฉันคงไปเป็นเพื่อนไม่ได้หรอกนะ นายก็เห็น ทีมรักชาติกับทีมเหยี่ยวแดงกำลังสู้กันอย่างดุเดือดเลย ฉันไปไหนไม่ได้หรอก”
ชายผิวดำคนนี้พูดเร็วมาก เหมือนกำลังร้องแร็ปอยู่อย่างไรอย่างงั้น ฉินสือโอวเดาว่าเหมาเหว่ยหลงคงไม่เข้าใจที่ชายคนนั้นพูดเพราะเขาก็ฟังได้แค่คร่าวๆ…
ฉินสือโอวไม่จำเป็นต้องซื้อสายบังเหียน เพราะที่ฟาร์มมีอยู่ เขาเลือกซื้อชุดคาวบอย หมวกคาวบอย รองเท้าบู๊ตและตะปูที่ติดอยู่ที่ส้นรองเท้าบูตอย่างละชุดซึ่งแค่นี้ก็พอแล้ว
กางเกงยีนที่ขายที่ร้านนี้มีทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก แต่เป็นแบบเดียวกันหมด เป็นยีนธรรมดาทั่วๆ ไปที่ไม่ได้ประดับตกแต่งเพิ่มเติมอะไรแม้แต่น้อย ฉินสือโอวลองจับดูก็รู้สึกว่ามันดูแข็งแรงและหนาดี มันถูกผลิตขึ้นสำหรับคาวบอยและสำหรับเกษตรกรที่ต้องทำงานในฟาร์ม
ซึ่งชุดประเภทนี้จะค่อนข้างราคาถูก ฉินสือโอวมองดูราคาก็พบว่าแค่เพียงไม่กี่สิบดอลลาร์แคนาดา เขาและวินนี่จึงเลือกมาคนละชุด
ส่วนหมวกคาวบอย เข็มขัด และรองเท้าบู๊ตมีหลายรูปแบบมาก เข็มขัดจะมีตั้งแต่เป็นรูปตัวยูธรรมดาไปจนถึงประดับด้วยทองที่ดูหรูหรา แม้แต่เข็มขัดลายผีเสื้อก็มี
หมวกคาวบอยก็เช่นเดียวกัน ฉินสือโอวเลือกหมวกคาวบอยใบเล็ก สีฟ้ามีแถบขาวด้านข้างสวมบนหัวให้ลูกสาวของเขา พอเขามองดูและก็รู้สึกว่าอยากเปลี่ยนให้ลองอีกใบ
แต่เสี่ยวเถียนกวาก็ดูจะถูกใจไม่น้อย มือเล็กๆ จับหมวกไว้แน่นไม่ยอมให้เขาถอดออก
วินนี่หัวเราะ “เอาล่ะ งั้นก็ซื้อใบนี้ให้เธอ ลูกสาวของเราอาจเป็นคาวบอยสาวในอนาคตก็ได้นะคะ”
ส่วนฉินสือโอวเลือกหมวกสีน้ำตาลหนึ่งใบ เข็มขัดและรองเท้าบูตยาวหนึ่งคู่ที่เหมือนทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สองให้ตัวเอง
วินนี่หัวเราะและส่ายหัวไปมา พลางจับรองเท้าบูตยาววางลงและเปลี่ยนเป็นบูตสั้นให้เขาแทน พร้อมกับอธิบายว่า “จะใส่บูตยาวท่ามกลางอากาศแบบนี้น่ะเหรอ? ฉันพนันได้เลย เพียงแค่คุณอยู่ด้านนอกทั้งวัน จะต้องมีกลิ่นอับแน่ๆ”
ฉินสือโอวรู้สึกชอบรองเท้าบู๊ตยาวคู่นั้น เขาหยิบมันขึ้นมาใหม่แล้วพูดว่า “อย่าทำแบบนี้สิที่รัก ผมจะเอาคู่นี้แหละ คุณไม่คิดว่ามันเท่ดีเหรอ?”
และชายผิวดำที่อยู่เคาน์เตอร์ก็มองรองเท้าบู๊ตในมือเขาแล้วพูดออกมา “พ่อหนุ่ม นายตาถึงมาก รองเท้าคู่นั้นน่ะเป็นสมบัติของร้านฉันเลยนะ เป็นรองเท้าคู่สุดท้ายที่ทำโดยตาเฒ่าไวท์ เป็นของที่ทำด้วยมือ นอกจากร้านของฉันแล้ว อย่าคิดว่าจะได้เห็นมันที่ไหนอีก”
เหมาเหว่ยหลงเดินมาและพูดว่า “ตาเฒ่าไวท์คือช่างทำรองเท้าหนังที่เก่งที่สุดในเมืองของเรา ภายในหนึ่งปีเขาสามารถผลิตรองเท้าได้หนึ่งร้อยคู่ แต่ปีที่ผ่านมาขายออกไปกว่าสองร้อยคู่ และทุกคนต่างก็จะบอกว่ารองเท้าบูตของพวกเขาคือรองเท้าที่ทำโดยตาเฒ่าไวท์”
ชายผิวดำหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “นายพูดถูกเพื่อน จริงๆ แล้วมีหลายคนที่ชอบพูดจาไร้สาระไปทั่ว แต่ฉันไม่ใช่ นายไม่สังเกตเหรอ ว่ารองเท้าคู่นั้นมันถูกฉันวางตรงจุดที่ดูสะดุดตาที่สุด? แสดงให้เห็นว่ามันเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของร้านฉันเลย! มีแต่คนมาขอซื้อมัน แต่ฉันจะขายให้แค่คนที่ถูกชะตาด้วยเท่านั้น!”
“นายจะบอกว่าเพื่อนของฉันเป็นคนที่นายถูกชะตา และรอมาตลอดเลยงั้นเหรอ?” เหมาเหว่ยหลงถามกลับ
ชายผิวดำทำท่านับธนบัตร แล้วหัวเราะและพูดขึ้น “ก็ขึ้นอยู่ที่ว่ากระเป๋าตังค์จะหนาขนาดไหน”
…………………………………………