ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1281 วันพักผ่อน

บทที่ 1281 วันพักผ่อน

ในการเก็บกวาดหอยพิษใช้เวลาไปถึงสองวัน และนักดำน้ำที่มาเข้าร่วมทีมเพิ่มทีหลังก็มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีนักดำน้ำมืออาชีพสองคนจากนครเซนต์จอห์นและอีกหลายทีมมาเข้าร่วม รวมไปถึงแฮมเล็ตก็ยังให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่สำหรับเหตุการณ์นี้

สื่อมวลชนของเซนต์จอห์นที่คอยติดตามและรายงานเหตุการณ์นี้อยู่ตลอด ข่าวบนอินเทอร์เน็ตก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นข่าวที่ทำให้ชื่อเสียงของเมืองแฟร์เวลแปดเปื้อน โดยบอกว่าบริเวณรอบๆ ทะเลนั้นอันตราย วอนให้เหล่านักท่องเที่ยวคอยระมัดระวัง

แต่ที่ฉินสือโอวคิดก็คือไม่ว่าสื่อมวลชนพวกนั้นจะพูดกันอย่างไร ทางฝั่งเมืองแฟร์เวลก็ไม่ต้องไปโต้ตอบ คอยสืบหาความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ และหาผู้กระทำผิดให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นค่อยมาย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ยังไม่สาย

ส่วนตอนนี้เขามีเป้าหมายแล้ว นั่นก็คือคนเม็กซิกันพวกนั้น คนพวกนี้มาที่นี่ได้ยังไม่ถึงสัปดาห์ เกาะแฟร์เวลก็เกิดวิกฤตการณ์หอยพิษพอดิบพอดี จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันก็จะไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ?

แต่วินนี่ไม่มีทางที่จะนำเอาความคิดเห็นของเขามาใช้ ส่วนเออร์บักก็บอกว่าเช่นนี้มันจะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายกับเมืองนี้เป็นอย่างมาก สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของเมือง ไม่อย่างนั้นก็พูดตรงๆ ไปเลยว่าเมืองเล็กๆ นี้ถูกใส่ร้าย และหอยพิษพวกนี้ก็ไม่ใช่สัตว์ในท้องถิ่นอย่างแน่นอน

เมืองแฟร์เวลจัดงานแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ จากนั้นก็แถลงต่อสื่อมวลชนว่า พวกเขาได้ลงมือจัดการตรวจสอบความจริงของเหตุการณ์นี้ ถ้าหากว่าพบผู้กระทำผิด ก็จะนำมาฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม

เมื่อฉินสือโอวดูงานแถลงข่าว ก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาพร้อมพูด “แบบนี้มันแหวกหญ้าให้งูตื่นชัดๆ การจะหาตัวคนทำผิดนี่มันยากยิ่งกว่าอะไร”

วินนี่ตอบกลับอย่างจนปัญญา “แต่เดิมก็ยากอยู่แล้ว เรื่องที่ไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้ ใครมันจะสามารถหาความจริงได้? แต่ตอนนี้ความจริงจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ สิ่งที่สำคัญก็คือพวกเราต้องขัดขวางทำลายแผนร้ายของพวกมันให้ได้”

ฝั่งตรงข้ามต้องการที่จะทำลายกิจการการท่องเที่ยวของเมืองแฟร์เวล ดังนั้นหลังจากที่วินนี่และเออร์บักปรึกษาหารือกัน ก็ตัดสินใจแถลงการณ์ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ ขอเพียงแค่มูลค่ารวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังไม่ลดลง แผนร้ายของอีกฝ่ายก็เท่ากับล้มเหลว

หลังจากฟังการวิเคราะห์ของทั้งสองคน ฉินสือโอวก็เข้าใจแจ่มแจ้ง

ถ้าทำตามความคิดเห็นของเขา ก็จะสามารถสาวไปถึงพวกที่อยู่เบื้องหลังได้ แต่ถ้าเจอแล้วจะทำยังไงต่อล่ะ? หรือจะส่งพวกมันเข้าคุก ถ้าเป็นแบบนั้นพวกมันคงไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่กิจการการท่องเที่ยวของเมืองเล็กๆ นี้คงขาดทุนย่อยยับเป็นแน่

การประชาสัมพันธ์โดยตรงนั้นอาจจะทำให้เรื่องนี้ยังไม่สามารถปิดคดีได้ แต่มันส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของเมืองน้อยที่สุด และยังเป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามไม่อยากเห็นมากที่สุด

นี่เป็นปัญหาของสถานการณ์โดยรวม ฉินสือโอวมองจากมุมมองของเขา ในขณะที่วินนี่มองจากมุมมองของเมืองเล็กๆ จึงเป็นการตัดสินใจขั้นสูงระหว่างทั้งสองฝ่าย

ฉินสือโอวต้องการให้ความจริงของเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง เขาจึงให้เบิร์ดและนีลเซ็นคอยจับตามองพวกคนเม็กซิกันไว้ให้ดี เพื่อคอยจับพิรุธของพวกเขา

เบิร์ดและนีลเซ็นกลับมาหลังจากคอยจับตาดูอยู่สองวัน และกลับมารายงานถึงสิ่งที่พบ ซึ่งเป็นไปตามการคาดคะเนของฉินสือโอว ที่ว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาที่เกาะนี้เพียงเพื่อขายสินค้าท้องถิ่น

ฉินสือโอวรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที แต่เบิร์ดก็พูดต่อว่า “พวกเขามาที่นี่เพื่อจะมาเปิดบ่อนพนัน! พอผมไปถึงที่ที่พวกเขาอยู่ ก็พบกับอุปกรณ์พนันเต็มไปหมด แต่ยังไม่ได้เปิดกิจการ”

ฉินสือโอวนิ่งไปหลังจากได้ยินเช่นนั้น “เปิดบ่อนพนันงั้นเหรอ?”

ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าพวกเม็กซิกันทำเช่นนั้นก็คงเปิดบ่อนลำบาก เพราะการเปิดบ่อนพนันนั้นจะต้องอาศัยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายิ่งเศรษฐกิจของเมืองพัฒนามากขึ้นและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก้าวหน้าทันสมัยมากขึ้นเท่าไหร่พวกเม็กซิกันก็จะมีกำไรมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนเม็กซิกันเหล่านี้จะอยู่เบื้องหลังของการทำลายธุรกิจการท่องเที่ยวของเกาะแฟร์เวล กลับกันพวกเขาก็คงหวังให้ธุรกิจท่องเที่ยวของเกาะแฟร์เวลเติบโตขึ้นเสียมากกว่า เพราะมันคงจะดีมากถ้าสามารถเจริญได้อย่างเกาะฮาวาย

แล้ววันหยุดสุดสัปดาห์ก็มาถึง ในคืนวันศุกร์ วินนี่บิดขี้เกียจและบอกว่าวันหยุดนี้จะไม่ไปทำโอทีแล้ว อยากพักผ่อนอยู่บ้านสักหน่อย

แล้วฉินสือโอวก็นึกถึงคำเชิญของเหมาเหว่ยหลงขึ้นมา และไหนจะสัญญาที่ให้ไว้กับผู้กำกับคาเมรอนอีก สองเรื่องนี้ติดอยู่ในใจเขาซึ่งก็ชัดเจนเลยว่าเรื่องของผู้กำกับใหญ่คาเมรอนนั้นย่อมสำคัญมากกว่า

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะไปเที่ยวเล่นกับเหมาเว่ยหลง เนื่องจากวินนี่เดินทางไปนิวยอร์กและไมอามีไม่ไหว เพราะมันไกลเกินไป ตอนนี้ดูท่าว่าภรรยาของเขามีอำนาจสูงสุด

ฉินสือโอวโทรศัพท์หาเหมาเหว่ยหลง หลังจากนั้นก็นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปยังสนามบินเซนต์จอห์น และนั่งเครื่องบินต่อไปยังแฮมิลตัน หลังจากเครื่องลงจอด ก็มีรถกระบะของเหมาเหว่ยหลงจอดรอรับอยู่ที่นั่นแล้ว

เหมาเหว่ยหลงขับรถกระบะพังๆ คันนั้นของเขามารับ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเชฟโรเลตรุ่นไหน แม้แต่วินนี่ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ก็ยังดูไม่ออก ที่รถคันนี้ยังสามารถขับได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากจริงๆ

ของที่ทำโดยคนอเมริกันช่างทนทานจริงๆ หลังจากนั่งรถมาตามทาง คาดไม่ถึงเลยว่ารถกระบะพังๆ คันนี้จะยังสามารถแล่นได้ฉิว ด้วยความเร็วนั้นสามารถขับได้ถึงแปดสิบไมล์หรือหนึ่งร้อยยี่สิบแปดกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ฉินสือโอวถึงกับร้องตกใจไม่หยุด “โอ้โห แกขับช้าๆ หน่อยก็ได้โคโกโร่! รถพังๆ คันนี้ของแกเป็นแค่เชฟโรเลตนะไม่ใช่ปอร์เช่! ยังมีครอบครัวฉันอีกสามชีวิตอยู่บนรถแกด้วยนะเว้ย!”

เหมาเหว่ยหลงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ไอ้ขี้ขลาดตาขาวเอ๊ย ฉันก็ขับหนึ่งร้อยไมล์เป็นปกตินะเว้ย!”

หลังจากมาถึงฟาร์มอย่างปลอดภัย ฉินสือโอวก็รีบกระโดดลงรถอย่างรวดเร็วและถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ถามหน่อย ทำไมแกไม่เปลี่ยนรถนี่ซะทีว่ะ? รถคันนี้แม่งโคตรเก่าเลย”

เหมาเหว่ยหลงถอนหายใจและตอบ “แกคิดว่าทุกคนจะรวยแล้วไร้สาระแบบแกไปหมดหรือไง? จริงๆ แล้วฉันตั้งใจรวบรวมเงินไว้ซื้อรถใหม่ แต่สุดท้ายก็กลายมาเป็นม้าอเมริกันควอเตอร์สี่ตัวไปซะได้ ดังนั้นเรื่องที่จะเปลี่ยนรถใหม่ก็คงต้องรอไปก่อน”

ฉืนสือโอวโบกมือไปมาและพูด “ถ้าแกชอบคันไหนก็แค่บอกฉันมา ฉันจะส่งมาให้แกซักคัน”

เนื่องจากงานกู้เหมืองทองที่น่านน้ำโซมาเลียเสร็จสิ้นแล้ว ขอเพียงแค่เรือที่บรรทุกหินแร่ทองคำกลับมาถึงอเมริกา ฉินสือโอวก็จะได้รับเงินหลายร้อยล้านเลยในทันที

ดังนั้นถ้าจะให้พูดตามจริงแล้ว รถคันละหลายหมื่นหลายแสน สำหรับฉินสือโอวนั้นก็เหมือนของเล่น

เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวและหัวเราะ “ไม่ล่ะ ฉันอยากจะเก็บเงินด้วยตัวเอง…เออใช่ รถจี๊ปที่แกเคยให้ฉันจอดไว้อยู่ในบ้านนะ ฉันนี่มันโง่จริงๆ เฮ้อ รู้งี้ก็โทรให้เพื่อนช่วยจัดการเอารถมาเปลี่ยนให้ที่นี่ไปแล้ว”

ฉินสือโอวตะลึง “รถคันนั้น แกจอดไว้ในโรงรถที่บ้านตลอดเลยเหรอ? แน่ใจเหรอว่ายังขับได้อยู่น่ะ?”

แล้วเหมาเหว่ยหลงก็หัวเราะขึ้นมา ฉินสือโอวที่เพิ่งอยากจะด่าเขา ตอนนี้เองตั๋วตั่วก็รวบกระโปรงเจ้าหญิงวิ่งออกมา และมีพวกสุนัขอเมริกันบูลลี่ตัวใหญ่วิ่งตามเธอออกมาเป็นแถว ท่าทางเหิมเกริมดุร้าย

ฉินสือโอวนั่งยองๆ และอ้าแขนออก ตั๋วตั่วก็วิ่งเข้ามาในอ้อมแขนของเขา และริมฝีปากนุ่มนิ่มก็หอมลงบนแก้มของเขา นั่นทำให้ฉินสือโอมีความสุข

หลังจากที่ตั๋วตั่วหอมเขาเสร็จก็มองไปที่เสี่ยวเถียนกวาอย่างอยากรู้อยากเห็น จากนั้นพอยื่นมือออกไปจิ้มแก้มนุ่มฟูของเสี่ยวเถียนกวาไปมา แล้วก็หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ

เดิมทีเสี่ยวเถียนกวาก็มองตั๋วตั่วและหมาเจ้าถิ่นของเธอด้วยความสงสัยอยู่แล้ว สุดท้ายพอถูกจิ้มมากๆ เข้าเสี่ยวเถียนกวาก็เริ่มไม่ชอบใจ จึงเริ่มส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ “ปะป๊า ปะป๊า ปะป๊า…”

เหมาเหว่ยหลงถามอย่างประหลาดใจ “ลูกสาวแกพูดได้แล้วเหรอเนี่ย?”

ฉินสือโอวหัวเราะชอบใจ “ตอนนี้เรียกได้แค่ปะป๊ามะม๊า ดังนั้นอาอย่างแกก็อย่าได้ฝันเลย”

เหมาเหว่ยหลงกลับไม่ได้พูดเล่นกับเขาต่อ แต่มองไปที่ตั๋วตั่วด้วยสายตาอ่อนโยน และไม่พูดอะไรออกมา

ทักษะการฟังของตั๋วตั่วฟื้นคืนสู่สภาพเดิม แต่อาการป่วยที่สูญเสียความสามารถในการพูดนั้นยังรักษาไม่หาย จนวันนี้ก็ยังไม่สามารถพูดได้

ฉินสือโอวก็เลยหุบยิ้ม การที่ตั๋วตั่วพูดไม่ได้นั้นทำให้เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาอยากลองให้พลังแห่งโพไซดอนแก่เธอซึ่งก็ไม่รู้เลยว่ามันจะได้ผลกับอาการป่วยหรือไม่

เหมาเหว่ยหลงพาพวกเขาเข้าไปในฟาร์ม ฉินสือโอวจงใจเปิดหัวข้อสนทนาและถามด้วยความคึกคัก “ม้าแข่งของแกอยู่ตรงไหนล่ะ? อ้อ ฉันหมายถึงม้าตัวนั้นที่พูดเมื่อถึงตอนกลางวัน”

เหมาเว่ยหลง “…”

…………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท