ในการเก็บกวาดหอยพิษใช้เวลาไปถึงสองวัน และนักดำน้ำที่มาเข้าร่วมทีมเพิ่มทีหลังก็มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีนักดำน้ำมืออาชีพสองคนจากนครเซนต์จอห์นและอีกหลายทีมมาเข้าร่วม รวมไปถึงแฮมเล็ตก็ยังให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่สำหรับเหตุการณ์นี้
สื่อมวลชนของเซนต์จอห์นที่คอยติดตามและรายงานเหตุการณ์นี้อยู่ตลอด ข่าวบนอินเทอร์เน็ตก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นข่าวที่ทำให้ชื่อเสียงของเมืองแฟร์เวลแปดเปื้อน โดยบอกว่าบริเวณรอบๆ ทะเลนั้นอันตราย วอนให้เหล่านักท่องเที่ยวคอยระมัดระวัง
แต่ที่ฉินสือโอวคิดก็คือไม่ว่าสื่อมวลชนพวกนั้นจะพูดกันอย่างไร ทางฝั่งเมืองแฟร์เวลก็ไม่ต้องไปโต้ตอบ คอยสืบหาความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ และหาผู้กระทำผิดให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นค่อยมาย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ยังไม่สาย
ส่วนตอนนี้เขามีเป้าหมายแล้ว นั่นก็คือคนเม็กซิกันพวกนั้น คนพวกนี้มาที่นี่ได้ยังไม่ถึงสัปดาห์ เกาะแฟร์เวลก็เกิดวิกฤตการณ์หอยพิษพอดิบพอดี จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันก็จะไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ?
แต่วินนี่ไม่มีทางที่จะนำเอาความคิดเห็นของเขามาใช้ ส่วนเออร์บักก็บอกว่าเช่นนี้มันจะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายกับเมืองนี้เป็นอย่างมาก สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของเมือง ไม่อย่างนั้นก็พูดตรงๆ ไปเลยว่าเมืองเล็กๆ นี้ถูกใส่ร้าย และหอยพิษพวกนี้ก็ไม่ใช่สัตว์ในท้องถิ่นอย่างแน่นอน
เมืองแฟร์เวลจัดงานแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ จากนั้นก็แถลงต่อสื่อมวลชนว่า พวกเขาได้ลงมือจัดการตรวจสอบความจริงของเหตุการณ์นี้ ถ้าหากว่าพบผู้กระทำผิด ก็จะนำมาฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม
เมื่อฉินสือโอวดูงานแถลงข่าว ก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาพร้อมพูด “แบบนี้มันแหวกหญ้าให้งูตื่นชัดๆ การจะหาตัวคนทำผิดนี่มันยากยิ่งกว่าอะไร”
วินนี่ตอบกลับอย่างจนปัญญา “แต่เดิมก็ยากอยู่แล้ว เรื่องที่ไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้ ใครมันจะสามารถหาความจริงได้? แต่ตอนนี้ความจริงจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ สิ่งที่สำคัญก็คือพวกเราต้องขัดขวางทำลายแผนร้ายของพวกมันให้ได้”
ฝั่งตรงข้ามต้องการที่จะทำลายกิจการการท่องเที่ยวของเมืองแฟร์เวล ดังนั้นหลังจากที่วินนี่และเออร์บักปรึกษาหารือกัน ก็ตัดสินใจแถลงการณ์ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ ขอเพียงแค่มูลค่ารวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังไม่ลดลง แผนร้ายของอีกฝ่ายก็เท่ากับล้มเหลว
หลังจากฟังการวิเคราะห์ของทั้งสองคน ฉินสือโอวก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
ถ้าทำตามความคิดเห็นของเขา ก็จะสามารถสาวไปถึงพวกที่อยู่เบื้องหลังได้ แต่ถ้าเจอแล้วจะทำยังไงต่อล่ะ? หรือจะส่งพวกมันเข้าคุก ถ้าเป็นแบบนั้นพวกมันคงไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่กิจการการท่องเที่ยวของเมืองเล็กๆ นี้คงขาดทุนย่อยยับเป็นแน่
การประชาสัมพันธ์โดยตรงนั้นอาจจะทำให้เรื่องนี้ยังไม่สามารถปิดคดีได้ แต่มันส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของเมืองน้อยที่สุด และยังเป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามไม่อยากเห็นมากที่สุด
นี่เป็นปัญหาของสถานการณ์โดยรวม ฉินสือโอวมองจากมุมมองของเขา ในขณะที่วินนี่มองจากมุมมองของเมืองเล็กๆ จึงเป็นการตัดสินใจขั้นสูงระหว่างทั้งสองฝ่าย
ฉินสือโอวต้องการให้ความจริงของเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง เขาจึงให้เบิร์ดและนีลเซ็นคอยจับตามองพวกคนเม็กซิกันไว้ให้ดี เพื่อคอยจับพิรุธของพวกเขา
เบิร์ดและนีลเซ็นกลับมาหลังจากคอยจับตาดูอยู่สองวัน และกลับมารายงานถึงสิ่งที่พบ ซึ่งเป็นไปตามการคาดคะเนของฉินสือโอว ที่ว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาที่เกาะนี้เพียงเพื่อขายสินค้าท้องถิ่น
ฉินสือโอวรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที แต่เบิร์ดก็พูดต่อว่า “พวกเขามาที่นี่เพื่อจะมาเปิดบ่อนพนัน! พอผมไปถึงที่ที่พวกเขาอยู่ ก็พบกับอุปกรณ์พนันเต็มไปหมด แต่ยังไม่ได้เปิดกิจการ”
ฉินสือโอวนิ่งไปหลังจากได้ยินเช่นนั้น “เปิดบ่อนพนันงั้นเหรอ?”
ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าพวกเม็กซิกันทำเช่นนั้นก็คงเปิดบ่อนลำบาก เพราะการเปิดบ่อนพนันนั้นจะต้องอาศัยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายิ่งเศรษฐกิจของเมืองพัฒนามากขึ้นและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก้าวหน้าทันสมัยมากขึ้นเท่าไหร่พวกเม็กซิกันก็จะมีกำไรมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนเม็กซิกันเหล่านี้จะอยู่เบื้องหลังของการทำลายธุรกิจการท่องเที่ยวของเกาะแฟร์เวล กลับกันพวกเขาก็คงหวังให้ธุรกิจท่องเที่ยวของเกาะแฟร์เวลเติบโตขึ้นเสียมากกว่า เพราะมันคงจะดีมากถ้าสามารถเจริญได้อย่างเกาะฮาวาย
แล้ววันหยุดสุดสัปดาห์ก็มาถึง ในคืนวันศุกร์ วินนี่บิดขี้เกียจและบอกว่าวันหยุดนี้จะไม่ไปทำโอทีแล้ว อยากพักผ่อนอยู่บ้านสักหน่อย
แล้วฉินสือโอวก็นึกถึงคำเชิญของเหมาเหว่ยหลงขึ้นมา และไหนจะสัญญาที่ให้ไว้กับผู้กำกับคาเมรอนอีก สองเรื่องนี้ติดอยู่ในใจเขาซึ่งก็ชัดเจนเลยว่าเรื่องของผู้กำกับใหญ่คาเมรอนนั้นย่อมสำคัญมากกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะไปเที่ยวเล่นกับเหมาเว่ยหลง เนื่องจากวินนี่เดินทางไปนิวยอร์กและไมอามีไม่ไหว เพราะมันไกลเกินไป ตอนนี้ดูท่าว่าภรรยาของเขามีอำนาจสูงสุด
ฉินสือโอวโทรศัพท์หาเหมาเหว่ยหลง หลังจากนั้นก็นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปยังสนามบินเซนต์จอห์น และนั่งเครื่องบินต่อไปยังแฮมิลตัน หลังจากเครื่องลงจอด ก็มีรถกระบะของเหมาเหว่ยหลงจอดรอรับอยู่ที่นั่นแล้ว
เหมาเหว่ยหลงขับรถกระบะพังๆ คันนั้นของเขามารับ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเชฟโรเลตรุ่นไหน แม้แต่วินนี่ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ก็ยังดูไม่ออก ที่รถคันนี้ยังสามารถขับได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากจริงๆ
ของที่ทำโดยคนอเมริกันช่างทนทานจริงๆ หลังจากนั่งรถมาตามทาง คาดไม่ถึงเลยว่ารถกระบะพังๆ คันนี้จะยังสามารถแล่นได้ฉิว ด้วยความเร็วนั้นสามารถขับได้ถึงแปดสิบไมล์หรือหนึ่งร้อยยี่สิบแปดกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ฉินสือโอวถึงกับร้องตกใจไม่หยุด “โอ้โห แกขับช้าๆ หน่อยก็ได้โคโกโร่! รถพังๆ คันนี้ของแกเป็นแค่เชฟโรเลตนะไม่ใช่ปอร์เช่! ยังมีครอบครัวฉันอีกสามชีวิตอยู่บนรถแกด้วยนะเว้ย!”
เหมาเหว่ยหลงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ไอ้ขี้ขลาดตาขาวเอ๊ย ฉันก็ขับหนึ่งร้อยไมล์เป็นปกตินะเว้ย!”
หลังจากมาถึงฟาร์มอย่างปลอดภัย ฉินสือโอวก็รีบกระโดดลงรถอย่างรวดเร็วและถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ถามหน่อย ทำไมแกไม่เปลี่ยนรถนี่ซะทีว่ะ? รถคันนี้แม่งโคตรเก่าเลย”
เหมาเหว่ยหลงถอนหายใจและตอบ “แกคิดว่าทุกคนจะรวยแล้วไร้สาระแบบแกไปหมดหรือไง? จริงๆ แล้วฉันตั้งใจรวบรวมเงินไว้ซื้อรถใหม่ แต่สุดท้ายก็กลายมาเป็นม้าอเมริกันควอเตอร์สี่ตัวไปซะได้ ดังนั้นเรื่องที่จะเปลี่ยนรถใหม่ก็คงต้องรอไปก่อน”
ฉืนสือโอวโบกมือไปมาและพูด “ถ้าแกชอบคันไหนก็แค่บอกฉันมา ฉันจะส่งมาให้แกซักคัน”
เนื่องจากงานกู้เหมืองทองที่น่านน้ำโซมาเลียเสร็จสิ้นแล้ว ขอเพียงแค่เรือที่บรรทุกหินแร่ทองคำกลับมาถึงอเมริกา ฉินสือโอวก็จะได้รับเงินหลายร้อยล้านเลยในทันที
ดังนั้นถ้าจะให้พูดตามจริงแล้ว รถคันละหลายหมื่นหลายแสน สำหรับฉินสือโอวนั้นก็เหมือนของเล่น
เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวและหัวเราะ “ไม่ล่ะ ฉันอยากจะเก็บเงินด้วยตัวเอง…เออใช่ รถจี๊ปที่แกเคยให้ฉันจอดไว้อยู่ในบ้านนะ ฉันนี่มันโง่จริงๆ เฮ้อ รู้งี้ก็โทรให้เพื่อนช่วยจัดการเอารถมาเปลี่ยนให้ที่นี่ไปแล้ว”
ฉินสือโอวตะลึง “รถคันนั้น แกจอดไว้ในโรงรถที่บ้านตลอดเลยเหรอ? แน่ใจเหรอว่ายังขับได้อยู่น่ะ?”
แล้วเหมาเหว่ยหลงก็หัวเราะขึ้นมา ฉินสือโอวที่เพิ่งอยากจะด่าเขา ตอนนี้เองตั๋วตั่วก็รวบกระโปรงเจ้าหญิงวิ่งออกมา และมีพวกสุนัขอเมริกันบูลลี่ตัวใหญ่วิ่งตามเธอออกมาเป็นแถว ท่าทางเหิมเกริมดุร้าย
ฉินสือโอวนั่งยองๆ และอ้าแขนออก ตั๋วตั่วก็วิ่งเข้ามาในอ้อมแขนของเขา และริมฝีปากนุ่มนิ่มก็หอมลงบนแก้มของเขา นั่นทำให้ฉินสือโอมีความสุข
หลังจากที่ตั๋วตั่วหอมเขาเสร็จก็มองไปที่เสี่ยวเถียนกวาอย่างอยากรู้อยากเห็น จากนั้นพอยื่นมือออกไปจิ้มแก้มนุ่มฟูของเสี่ยวเถียนกวาไปมา แล้วก็หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
เดิมทีเสี่ยวเถียนกวาก็มองตั๋วตั่วและหมาเจ้าถิ่นของเธอด้วยความสงสัยอยู่แล้ว สุดท้ายพอถูกจิ้มมากๆ เข้าเสี่ยวเถียนกวาก็เริ่มไม่ชอบใจ จึงเริ่มส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ “ปะป๊า ปะป๊า ปะป๊า…”
เหมาเหว่ยหลงถามอย่างประหลาดใจ “ลูกสาวแกพูดได้แล้วเหรอเนี่ย?”
ฉินสือโอวหัวเราะชอบใจ “ตอนนี้เรียกได้แค่ปะป๊ามะม๊า ดังนั้นอาอย่างแกก็อย่าได้ฝันเลย”
เหมาเหว่ยหลงกลับไม่ได้พูดเล่นกับเขาต่อ แต่มองไปที่ตั๋วตั่วด้วยสายตาอ่อนโยน และไม่พูดอะไรออกมา
ทักษะการฟังของตั๋วตั่วฟื้นคืนสู่สภาพเดิม แต่อาการป่วยที่สูญเสียความสามารถในการพูดนั้นยังรักษาไม่หาย จนวันนี้ก็ยังไม่สามารถพูดได้
ฉินสือโอวก็เลยหุบยิ้ม การที่ตั๋วตั่วพูดไม่ได้นั้นทำให้เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาอยากลองให้พลังแห่งโพไซดอนแก่เธอซึ่งก็ไม่รู้เลยว่ามันจะได้ผลกับอาการป่วยหรือไม่
เหมาเหว่ยหลงพาพวกเขาเข้าไปในฟาร์ม ฉินสือโอวจงใจเปิดหัวข้อสนทนาและถามด้วยความคึกคัก “ม้าแข่งของแกอยู่ตรงไหนล่ะ? อ้อ ฉันหมายถึงม้าตัวนั้นที่พูดเมื่อถึงตอนกลางวัน”
เหมาเว่ยหลง “…”
…………………………………………..