ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1292 ขยายพันธุ์กุ้ง

บทที่ 1292 ขยายพันธุ์กุ้ง

โลมาเป็นสัตว์ที่อยู่ร่วมกันเป็นฝูง ในทะเลจึงมักเห็นพวกมันอยู่กันเป็นฝูง ออกล่าเป็นฝูง หยอกเล่นกันเป็นฝูง ต่อสู้กับฉลามเป็นฝูง สืบพันธุ์กันเป็นฝูง…

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การอยู่กันเป็นฝูงของโลมาไม่เหมือนกับฝูงหมาป่าและฝูงปลาค็อด พวกมันไม่ได้รวมกลุ่มกันเพื่อชีวิตที่ดีกว่า แต่ว่าเหมือนกับคน คือเพราะอยากมีสังคมแค่นั้น

ระหว่างโลมาด้วยกันสามารถสื่อสารกันง่ายๆ ได้ หากว่าโลมาอยู่ตัวเดียวนานเกินไปจะทำให้สามารถเป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วย นอกเหนือจากนี้ สุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ตัวผู้ที่หาคู่ไม่ได้ในฤดูผสมพันธุ์ ก็สามารถเป็นโรคซึมเศร้าได้เหมือนกัน

และนอกเหนือจากนี้ ในด้านนี้ที่ฟาร์มปลาต้าฉินยังมีที่สุดยอดยิ่งกว่าอีก

เท่าที่ฉินสือโอวรู้ เรื่องแบบนี้เฟอเรทแบลคฟุตสุดยอดกว่ามาก เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์หากเฟอเรทแบลคฟุตตัวผู้หาตัวเมียไม่ได้ พวกมันถึงขั้นสามารถตายได้เลย

นั่นก็เพราะเฟอเรทตัวเมียเป็นสัตว์ที่ไข่จะตกก็ต่อเมื่อได้รับการกระตุ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพึ่งการผสมพันธุ์เพื่อให้เฟอเรทตัวเมียไม่ติดสัดต่อไป หากว่าไม่สามารถผสมพันธุ์ได้ เฟอเรทตัวเมียจะติดสัดต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายมีฮอร์โมนเอสโทรเจนที่สูง และหากปล่อยไว้อย่างนี้สักพัก จะทำให้ไขกระดูกของมันหยุดการผลิตเม็ดเลือดแดง และทำให้เสียชีวิตในที่สุด

พูดนอกประเด็นไปไกล สรุปก็คือปกติบีนจะเหงามาก มันไม่มีเพื่อนโลมาให้เล่นด้วย ทำได้แต่ขลุกอยู่กับไอซ์สเกตและบอลหิมะ พวกมันไม่สามารถทำการสื่อสารกันได้ แม้ว่าร่างกายจะไม่เหงา แต่ทางด้านจิตใจกลับเดินอยู่บนทางอันโดดเดี่ยวมาตลอด

ตอนนี้ดีแล้ว การมาถึงของโลมาหลายตัว แถมยังเป็นโลมาที่ไม่สามารถออกไปจากน่านน้ำนี้ได้เหมือนกับมันด้วย บีนมีเพื่อนที่สามารถคุยกันได้เพิ่มขึ้นแบบนี้ เรียกได้ว่ามันได้ตามดูแลอย่างเอาจริงเอาจังเลยล่ะ

เหล่าปลาโลมาลงทะเลยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย แต่ละตัวกลับกินอิ่มกันเสียจนตัวอ้วนกลม การที่บีนออกไปจับปลาจากทุกที่เพื่อมาเลี้ยงพวกเดียวกัน ทำเอาชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่มองดูอยู่รู้สึกตกตะลึงไม่น้อย

เมื่อมีบีนคอยดูแลพวกโลมาแบบนี้ ฉินสือโอวก็วางใจแล้ว จึงพาบัตเลอร์กลับฟาร์มปลาไป

แม้ว่าเมื่อกี้เขาจะเถียงกับบัตเลอร์ก็จริง แต่ความจริงในใจเขารู้สึกขอบคุณเขามาก ตอนทานอาหารค่ำกันจึงตั้งใจหยิบไอซ์ไวน์ที่คุณลุงฮิคสันหมักเองกับมือที่เหลืออยู่ไม่มากแล้วมาต้อนรับเขา

หลังทานข้าวเสร็จ ฉินสือโอวถามบัตเลอร์ว่ามาครั้งนี้จะเอาผลิตภัณฑ์ทะเลอะไรกลับไปบ้าง หากว่าอยากได้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเขาก็สามารถจับให้ได้ ขอแค่ออกคำสั่งมาก็พอ

บัตเลอร์ที่ใช้ไม้จิ้มฟันแทะฟันอยู่พูดด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “ปลาทูน่าครีบน้ำเงินยังไม่เอาก่อน นายไปอบปลาโอแถบต่อเถอะ แล้วก็นะ น้ำปลาที่กรองได้จากกระบวนการอบยังไม่ต้องทิ้งนะ ถ้าเอาไปปิดผนึกเก็บไว้ก็ยังสามารถเอาไปขายได้อีก”

ฉินสือโอวพูดอย่างตกใจว่า “ไอ้นั่นก็ขายได้เหรอ?”

บัตเลอร์พูดว่า “อะไรคือขายได้ ขายได้ราคาสูงเลยล่ะ! ”

เขาเห็นว่าฉินสือโอวไม่เชื่อ จึงหยิบไอแพดออกมาให้เขาดูรูปที่ถ่ายไว้ “นายรู้ใช่ไหมว่าคนญี่ปุ่นชอบใช้น้ำซุปที่เคี่ยวมาจากปลาโอแถบเป็นน้ำสต๊อก ความจริงแล้วพวกเขาก็ชอบใช้น้ำสกัดจากปลาโอแถบมาเป็นเครื่องปรุงอาหารด้วย แน่นอนว่า น้ำซุปพวกนี้จำเป็นจะต้องนำไปกลั่นให้เข้มข้นก่อน แต่ว่าเรื่องขายได้เงินนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว”

ฉินสือโอวพูดว่า “เรื่องนั้นง่ายมาก เริ่มจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันจะให้พวกชาร์คเก็บน้ำที่กรองออกมาไว้ก็ได้แล้ว ”

บัตเลอร์พูดด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “ความจริงตอนนี้เป็นฤดูกาลที่ดีในการจับปลาโอแถบ ฉิน หากว่านายออกทะเลได้ก็ดีสิ ออกไปที่ทะเลแถบมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วไปกว้านมาสักล็อตใหญ่ๆ ปลาโอแถบที่เอามาทำเป็นปลาแห้งเก็บรักษาง่าย พวกเราสามารถขายได้ไปอีกหลายปีไม่มีปัญหา!”

ฉินสือโอวเข้าใจความหมายของบัตเลอร์ แต่ว่าเขาก็ยังคงส่ายหัวอย่างแน่วแน่แล้วพูดว่า “ปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าแล้วกัน ตอนนี้เถียนกวายังเด็กเกินไป ฉันไม่สามารถทิ้งลูกไว้ให้วินนี่ดูแลคนเดียวได้”

จากนั้นฉินสือโอวก็ถามบัตเลอร์ต่อว่าตอนนี้ตลาดอาหารทะเลมีอะไรที่กำลังขายดีบ้าง เพื่อที่ฟาร์มปลาจะได้ทำการเพาะเลี้ยง พอพูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงเรื่องที่บิลแนะนำให้เขาทำหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสขึ้นมา จึงถามออกไป

เมื่อได้ยินชื่อหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสแล้ว บัตเลอร์ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “นายสามารถหาเม่นชนิดนี้ได้เหรอ? ชิท งั้นก็รีบเพาะเลี้ยงเลยสิ นี่น่ะเป็นสมบัติทางทะเลที่ขายดีมากๆ ในแถบทวีปเอเชียเลยนะ นายไม่รู้จริงเหรอ?”

ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “ก็ไม่เชิงว่าไม่รู้ แค่ว่าช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง เลยลืมเรื่องนี้ไป”

บัตเลอร์ลูบเคราใต้คางทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ให้ตายสิ นายนี่ทำงานไม่มืออาชีพเลยจริงๆ! ผลิตภัณฑ์ทะเลที่สำคัญอย่างหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสนายยังกล้าที่จะไม่ใส่ใจอีก! รีบไปเพราะเลี้ยงไป เจ้าสิ่งนี้สามารถขายในเอเชียตะวันออกได้ในราคาสูงเลย!”

ระหว่างพูดอยู่ เจ้าหมอนี่ก็ตื่นตัวขึ้นมา ดึงแขนฉินสือโอวไว้ แล้วพูดว่า “ฟังนะ น้องชาย ที่ฉันจะพูดก็คือ ให้นายรีบไปเพาะเลี้ยงเม่นทะเลแบบว่าตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย! เพราะอุณหภูมิน้ำที่เหมาะที่สุดสำหรับการเพาะเลี้ยงลูกพันธุ์หอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสคือ 10 ถึง 20 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิน้ำต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียสพวกมันจะไม่กินอาหาร จึงจำเป็นต้องให้พวกมันลงหลักปักฐานในฟาร์มปลาช่วงฤดูร้อนให้ได้”

ฉินสือโอวโทรศัพท์หาบิลในทันที แล้วถามว่า “คุณจำเรื่องหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสได้ไหมเพื่อน?”

บิลพูดว่า “แน่นอน ผมจะลืมได้อย่างไร นั่นน่ะเป็นไพ่ตายในมือของผมเลยนะ! ว่าอย่างไร คุณตัดสินใจจะเลี้ยงแล้วเหรอครับ?”

ฉินสือโอวพูดว่า “ใช่แล้ว ผมจะเลี้ยง ในมือคุณมีลูกพันธุ์หอยเม่นทะเลเท่าไร? ส่งมาให้ผมหมดเลยแล้วกัน”

หลังวางสาย เขามองไปที่บัตเลอร์ทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ตอนนี้นายวางใจได้แล้วใช่ไหม?”

บัตเลอร์ตบเบาๆ ไปที่กระเป๋าเงินแล้วพูดว่า “ไม่ ตราบใดที่เงินยังไม่เข้ามาในนี้ ฉันก็ยังไม่วางใจ ”

ฉินสือโอว “…”

เขาไม่มีวันเข้าใจคนแบบบัตเลอร์เลย กับการที่โหยหาเงินทองมากเกินเหตุแบบนี้ เขาเองก็ชอบเงิน แต่รู้สึกว่าของอย่างเงินนั้นมีไว้เพื่อบริการชีวิตเท่านั้น ขอแค่ชีวิตไม่มีปัญหา งั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาเงินมากมายก็ได้

ดังนั้น แม้ว่าตอนนี้ฉินสือโอวจะมีความสามารถมากแค่ไหน ก็ยังไม่เคยตระหนี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว เงินที่สามารถโยกย้ายได้ในบัญชีจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เกินสองร้อยล้านดอลลาร์แคนาดาเลย

หลังกินข้าวเสร็จฉินสือโอวส่งบัตเลอร์กลับไป ตัวเองก็ไปแกล้งเสี่ยวเถียนกวาอีกสักพัก แล้วจึงปล่อยพลังโพไซดอนลงไปในฟาร์มปลา เพื่อตรวจดูสถานะความเป็นอยู่ของเหล่าสมาชิกใหม่

ครั้งนี้ฟาร์มปลามีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมาก อย่างเช่นกุ้งกุลาดำ ปลาลิ้นหมามินิ หอยเชลล์ และหอยนางรมเป็นต้น พวกอย่างหลังถือว่ายังไม่เท่าไร แต่ว่าพวกกุ้งกุลาดำกับปลาลิ้นหมามินิต้องระมัดระวังเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นคงถูกปลาค็อดกินหมดเป็นแน่

ลูกกุ้งถูกเลี้ยงไว้ในน้ำที่ผ่านการดัดแปลงเพื่อการเพาะเลี้ยงโดยเฉพาะ ใต้น้ำมีใบสาหร่ายเป็นชิ้นๆ และแมงกะพรุนผงมากมาย ซึ่งสามารถให้โปรตีนที่สูงแก่ลูกกุ้งได้ ทำให้พวกมันเติบโตได้เร็วขึ้น

นิโค ตู้เป็นนักธุรกิจที่ไม่เลวคนหนึ่ง ลูกกุ้งที่เขาขายให้ฉินสือโอว ไม่ได้มีเพียงแค่ลูกกุ้งเท่านั้น ยังมีกุ้งโตเต็มตัวอีกห้าพันตัวด้วย

ฤดูร้อนเป็นฤดูผสมพันธุ์ของกุ้งกุลาดำ กุ้งตัวเมียที่โตเต็มตัวพวกนี้ล้วนผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้ว จึงทำให้มีลูกกุ้งติดมาด้วย ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเริ่มทำการผสมพันธุ์ได้แล้ว

ฉินสือโอวพบว่ากุ้งกุลาดำไม่เหมือนกับกุ้งล็อบสเตอร์ กระบวนการผสมพันธุ์ของพวกมันเริ่มจากการปล่อยไข่ที่ผ่านการปฏิสนธิแล้วออกไป ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิพวกนี้จะลอยอยู่บนทะเล จากนั้นค่อยแตกออกมาเป็นลูกกุ้ง

ลูกกุ้งจะไม่เหมือนกับพ่อแม่ หน้าตาออกจะคล้ายกับแมงมุมตัวเล็ก ตอนแรกฉินสือโอวไม่รู้ เมื่อเห็นว่าในฟาร์มเพาะเลี้ยงมีแมงมุมตัวเล็กอยู่เป็นกลุ่มๆ ยังนึกว่ากำลังเจอกับภาวะปรสิตคุกคามเสียอีก หลังจากหาข้อมูลแล้วถึงได้เข้าใจความเป็นมา

กุ้งกุลาดำเหมือนกับกุ้งล็อบสเตอร์ ตลอดชีวิตของพวกมันจะต้องผ่านการลอกคราบสิบยี่สิบกว่าครั้ง ในตอนนี้ชื่อทางการของกุ้งแมงมุมพวกนี้คืออาร์โทรโปดา พวกมันจะต้องผ่านการลอกคราบหกครั้งเพื่อให้ขาและตายื่นออกมา จากนั้นก็ต้องลอกคราบอีกหกครั้งเพื่อกลายเป็นลูกกุ้งเต็มตัว

………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท